วิธีแก้ไขหนี้ที่ทุกคนต้องอ่าน

12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 9 ปี 1 เดือน ที่ผ่านมา #224 โดย 0834368962
ความสำคัญของหนังสือแฮร์คัท หรือหนังสือยืนยันส่วนลดในการชำระหนี้ และเอกสารที่คุณจะต้องเก็บไว้ให้ดี

1.หนังสือแฮร์คัท เป็นใบยืนยันว่าคุณได้รับข้อเสนอส่วนลดจากสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้) จริง
2.บิลชำระหนี้จากเคาเตอร์การเงิน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารต่างๆ หรือ non-bank หรือ เคาเตอร์เซอร์วิส เพื่อเป็นหลักฐานว่า คุณได้ชำระหนี้ในวันที่....เรียบร้อยแล้ว
(ให้ถ่ายเอกสารเก็บไว้ เพราะบิลส่วนใหญ่เป็นคาร์บอน เมื่อผ่านวันเวลาไปจะเลือนหายไป
3.หนังสือสิ้นสุดภาระหนี้ ซึ่งจะส่งให้อีกครั้งจากสถาบันการเงินที่คุณไปปิดหนี้ ประมาณ 15-30 วัน หรือบางสถาบันจะออกให้ทันทีหากไปจ่ายที่สำนักงาน (แล้วแต่ข้อตกลง)
ทั้งสามใบนี้ ให้เราเก็บใส่แฟ้มไว้ให้ดี เพื่อเป็น “ยันต์กันผี” ป้องกันการฟ้องซ้ำจากเจ้าหนี้
และยังสามารถนำไป “ปลดเครดิตบูโร” ได้ด้วยตัวเอง เพื่อทำธุรกรรมการเงินกับทางสถาบันการเงินต่างๆ

สามารถไปศึกษารายละเอียดเรื่องการทำ Hair cut

เพิ่มเติมได้ที่กระทู้ตามใน Link นี้


debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=749&Itemid=29

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #225 โดย 0834368962
เครดิตบูโร

หากคุณหยุดจ่ายหนี้ ณวันนี้คุณอาจเสียเครดิตติดแบล็คลิสต์
แต่วันไหนที่คุณจ่ายหนี้หมด
นับจากวันนั้นไป 2-3 ปี ชื่อคุณก็จะปลดจากการติดเครดิตแล้ว
ลองศึกษาข้อมูลจากกระทู้เก่าๆดูก็ได้
และธนาคารไม่ได้ส่งข้อมูลของคุณทุกเดือน บางทีส่งทุก 6 เดือน บางแห่ง 1 ปีจึงส่งข้อมูลครั้งหนึ่ง
เพราะฉะนั้น หากคุณสามารถเคลียร์หนี้ได้หมด ช่วง ม.ค – ธ.ค ของแต่ละปี เมื่อธนาคารส่งข้อมูลคุณไปที่เครดิตบูโร ข้อมูลที่โชว์อาจจะเป็น “ไม่มียอดค้างชำระ"ก็ได้

ถึงคุณจะจ่ายขั้นต่ำทุกเดือนโดยไม่หยุด
แต่หากคุณมีหนี้หลายบัญชี ต่อให้คุณไม่เสียเครดิตไม่ติดเครดิตบูโร
คุณก็อาจจะขอกู้ต่างๆไม่ผ่านก็ได้
เพราะแบงก์อาจเห็นว่าคุณมีภาระหนี้มากเกินความสารถที่จะจ่ายอยู่แล้วก็ได้

***บางทีการหยุดจ่ายเพื่อล้างหนี้ให้หมดแม้จะเสียเวลา1- 5 ปี
มันอาจจะดีกว่าคุณทนจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อยแล้วหนี้ไม่หมดสักทีและทำธุรกรรมกับแบงก์ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

คำว่าเสียเครดิต - ทำบัตรเครดิตไม่ได้
ไม่มีความสำคัญสำหรับมนุษย์เงินเดือน
ในเมืองไทยที่ยังใช้เงินสดซื้อของตามตลาดนัดห้างสรรพสินค้าได้

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #226 โดย 0834368962
การกู้-ผ่อนบ้าน
หากคุณต้องการซื้อบ้าน
ขอแค่คุณล้างหนี้ตอนนี้ให้หมดก่อน
หมดหนี้แล้วเก็บเงินสักพักคุณก็กู้ขอผ่อนบ้านกับแบงก์
(ที่คุณไม่เคยมีหนี้ค้างชำระกับเขา)ได้
แต่ถ้าตอนนี้หนี้ยังมีอยู่เยอะคุณกู้ซื้อบ้านไม่ผ่านหรอก
หรือ ถึงผ่านคุณก็จะรักษาบ้านไว้ไม่ได้อยู่ดี

มีผู้เข้าอบรมมาถามเรื่องการกู้ซื้อบ้านเขาเล่าว่า
...น้องสาวมีเงินเดือน 9000บาท
มีหนี้บัตรเครดิตอยู่ 2 รายการ
ไม่เคยค้างชำระไม่เคยจ่ายช้าแต่จ่ายขั้นต่ำตลอด
ไปยื่นเรื่องขอกู้ซื้อบ้านเอื้ออาทร
เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรคาดว่ากู้ผ่านแน่ๆ
เลยจ่ายเงินค่าจอง-ค่าทำสัญญาผ่อนบ้านเอื้ออาทร
ปรากฏว่าธนาคารที่ขอกู้ไม่อนุมัติให้กู้
ก็เกิดความสงสัยว่าทำไมจึงไม่อนุมัติทั้งๆที่เครดิตดีจ่ายตรงตลอด
จะไปร้องเรียนที่ไหนได้บ้าง...

พอซักถามได้รายละเอียดครบแล้ว
เลยบอกว่า
ไม่ต้องไปร้องเรียนที่ไหนหรอกธนาคารเขาทำตามระบบถูกต้องแล้ว
เนื่องจากธนาคารไปครวจสอบเครดิตบูโรแล้ว
พบว่า
น้องสาวเงินเดือน 9000 มีหนี้บัครเครดิต 2 รายการ
จ่ายขั้นต่ำทุกเดือน เงินที่จ่ายก็ประมาณ 4500 บาท (50%ของเงินเดือน)
ถ้าธนาคารจะอนุมัติให้กู้ผ่อนบ้าน(ผ่อนเดือนละ 1500 บาท)
รายการหนี้สินที่ต้องผ่อนต่อเดือน มีแค่3รายการก็จริง
แต่ เงินเดือน 9000 จะเหลือใช้เพียง 3000 ซึ่งไม่พอใช้แน่ๆ
ผู้กู้รายนี้คงจะต้องหมุนหาเงินอื่นๆมาจ่ายแน่ๆมันเสี่ยงที่จะกลายเป็นหนี้เสีย
ธนาคารจึงไม่อนุมัติ

หากจะกู้ซื้อบ้านจริงๆก็ให้ไปจัดการหนี้เดิมที่มีอยู่หมดก่อนจะดีกว่า
หรืออาจจ่ายปิดบัญชีไปสัก 1 รายการ แล้วลองขอกู้ใหม่
ธนาคารอาจอนุมัติให้กู้ก็ได้เพราะรายการจ่ายหนี้เดิมไม่ถึง 50 %ของเงินเดือน


*************************
เพราะฉะนั้น
ถึงจ่ายตรงตลอดแต่หากหนี้เยอะเมื่อเทียบกับเงินเดือนที่ได้รับ
ก็ถือว่าติดเครดิตกลายๆเช่นกันเหมือนตัวอย่างนี้
ฉะนั้นจึงควรสะสางปัญหาหนี้ปัจจุบันให้หมดก่อนจะดีกว่า
ขอให้มองปัจจุบันก่อนอย่าไปห่วงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 9 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #228 โดย 0834368962
.
การปรับโครงสร้างหนี้หรือการประนอมหนี้
(ไม่อยากให้ใครปรับโครงสร้างหนี้ถ้ามันไม่จำเป็นจริงๆ)

เมื่อลูกหนี้ตัดสินใจหยุดจ่ายหนี้ตามวิธี secondway out
เจ้าหนี้ก็จะใช้วิธีการต่างๆมากดดันลูกหนี้ให้จ่ายเงินชำระหนี้เข้าไป
ผ่านไปสักระยะหนึ่งเมื่อเจ้าหนี้เห็นว่าลูกหนี้ไม่ยอมจ่ายหนี้แน่นอนแล้ว
ก็มักจะเปลี่ยนวิธีการใหม่ด้วยการชวนลูกหนี้ให้ประนอมหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้

คำถาม การปรับโครงสร้างหนี้และการประนอมหนี้คืออะไรเหมือนกันหรือไม่
เหมือนกันการประนอมหนี้และการปรับโครงสร้างหนี้คือการนำสัญญาหนี้เก่ามาทำสัญญาใหม่
การจ่ายเงินแต่ละวงดจะน้อยลงกว่าเดิมที่เคยจ่ายและระยะเวลาในการจ่ายจะนานขึ้นประมาณ 60 งวดแล้วแต่ยอดหนี้ที่มาทำสัญญา

คำถามการปรับโครงสร้างหนี้และการประนอมหนี้มีลักษณะอย่างไร
เจ้าหนี้จะเอายอดหนี้เดิมที่บวกดอกเบี้ย(ซึ่งส่วนใหญ่คิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่อัตรากฎหมายกำหนดไว้) + ค่าปรับ + ค่าทวงถาม(ตามหนี้) = xxxxxxxx ( ยอดหนี้ใหม่)
มาทำสัญญาใหม่โดยคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี (ตามที่กฎหมายกำหนดไว้) ระหว่างการเจรจาทางเจ้าหนี้มักจะมีข้อเสนอลดยอดหนี้ให้หากลูกหนี้ไปประนอมหนี้มันเป็นการเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินต่างๆปกปิดความผิดของตนเองที่คิดดอกเบี้ยผิดกฎหมายเช่นจากเดิมคิดดอกเบี้ย 20-45% มาทำสัญญาใหม่เป็น 13%
ฟังดูแล้วเหมือนดีเพราะตอนจะทำเขาบอกว่าจะลดยอดให้แต่คุณๆที่คิดจะทำรู้ตัวกันบ้างไหมว่าไอ้ที่เขาบอกว่าลดให้บางส่วนนั้นเป็นส่วนที่สถาบันการเงินไม่มีสิทธิมาคิดเลย

เช่น กู้มา 10000 บาทหากคิดดอกเบี้ยตามกฎหมาย หนึ่งปีลูกหนี้จะเสียดอกเบี้ย 1500 เท่านั้น
(เท่ากับจ่ายคืนแค่11500บาท)
แต่พวกเขาเหล่านั้นคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม 2000 บ้าง 2800 บ้าง 3000 บ้าง 5000บ้าง

สมมุติว่า คิดดอกเบี้ย 2800 เท่ากับลูกหนี้ต้องคืนเงินให้เจ้าหนี้ 12800 บาท เขาคิดเกินมาแล้ว1300 บาท
พอลูกหนี้จ่ายไม่ไหวเขาก็เอา 10000+2800+ค่าปรับต่างๆ เป็นยอดใหม่
เช่น อาจจะกลายเป็น 18000 แล้วบอกว่าทำสัญญาประนอมหนี้แล้วจะลดยอดให้ 3000 บาท เหลือ 15000 บาท ผ่อน 60 เดือนคิดดอกเบี้ย 13 % เท่านั้น
ลองเอายอดผ่อนรายเดือนคูณกับจำนวนเดือนเข้าไป
(เช่นจ่ายเดือนละ700 ---700*60=42000)
จะพบว่ายอดเงินที่เราต้องจ่ายมันมากกว่ายอดหนี้เดิมที่เราต้องจ่ายคืนคือ 11500 บาท
แต่เรายังต้องจ่ายเพิ่มให้เขาอีก 30500 บาท

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 9 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #229 โดย 0834368962
.
คำถามการปรับโครงสร้างหนี้และการประนอมหนี้มีข้อดีหรือไม่
ข้อดีเท่าที่มีอยู่คือมันจะช่วยยืดระยะเวลาในการชำระหนี้ออกไปและช่วยลดความกดดันจากการถูกทวงหนี้
แต่หากว่าลูกหนี้ตัดสินใจจะปรับโครงสร้างหนี้ฯจะต้องพร้อมรับกับการที่ตัวเองมีหนี้เพิ่มขึ้น
มีหนี้ที่ต้องจ่ายนานขึ้นและมีโอกาสที่จะหยุดจ่ายก่อนครบสัญญา
ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นลูกหนี้จะไม่มีโอกาสต่อสู้เรื่องสัญญาและดอกเบี้ยเลย

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 9 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #230 โดย 0834368962
.
คำถามการปรับโครงสร้างหนี้หรือการประนอมหนี้มีข้อเสียอย่างไร

1.ยอดเงินที่เป็นหนี้จะเพิ่มมากขึ้นอย่างน้อย 2 เท่าจากยอดหนี้เดิม

2.เป็นการผ่อนน้อยแต่นาน ยอดที่จ่ายแต่ละงวดไม่มากแต่จำนวนงวดจะมากขึ้น(ประมาณ 60 งวด)
ทำให้หนี้สินหมดช้าลงปลดหนี้ใช้เวลานานขึ้นเพราะดอกเบี้ยมันทับถมไปเรื่อยๆไม่ค่อยตัดเงินต้นถ้า

3.ลูกหนี้ที่ทำสัญญาไปแล้วมักจะจ่ายไม่ครบตามที่ทำสัญญาไว้เมื่อหยุดจ่ายเจ้าหนี้จะฟ้องเร็วขึ้นเนื่องจากเป็นฝ่ายได้เปรียบเพราะสัญญาและดอกเบี้ยถูกต้องตามกฎหมายเมื่อไปถึงขั้นศาลผ้พิพากษาจะตัดสินจากสัญญาใหม่ที่ทำไว้

4.เปิดโอกาสให้เจ้าหนี้หมกเม็ดสิ่งที่ทำผิดกฎหมายไว้เช่นการคิดดอกเบี้ยมากกว่าที่กฎหมายกำหนด การคิดค่าปรับแสนโหด ฯลฯทำให้เจ้าหนี้ได้โอกาสแปลงสัญญาที่คิดดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมผิดกฎหมายกลายเป็นถูกกฎหมายทุกอย่าง

5.สัญญาที่ทำใหม่นั้นจะไม่มีการพูดถึงสัญญาเก่าที่ท่านผ่อนกันมาเป็นปีๆเด็ดขาดเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ถ้าปรับโครงสร้างหนี้แล้วผ่อนไม่ไหวคุณจะหมดทางสู้คดีสุดท้ายต้องยอมความในชั้นศาล

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 9 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #231 โดย 0834368962
.
คำถามลูกหนี้ควรปรับโครงสร้างหนี้หรือประนอมหนี้หรือไม่
หากลูกหนี้

1. มีหนี้แค่ 1- 2 สถาบัน เท่านั้นหรือลูกหนี้ทำธุรกิจส่วนตัวยังต้องพึงพาทำธุรกรรมกับธนาคาร
เพื่อการลงทุนในซึ่งจำเป็นต้องรักษาเครดิตธุรกิจ
2.มีบัญชีเงินเดือน ที่เข้าบัญชีเดียวกันกับหนี้บัตรเครดิต หรือเป็นสถาบันเดียวกันกับบัตรเครดิต
ยกเว้น หนี้บัตรกรุงไทย (KTC) เป็นคนละบริษัทกับธนาคารกรุงไทย(KTB)
และธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นคนละส่วนกับบัตรกรุงศรี (เครือ GE.)
3. เป็นหนี้ที่ไม่ได้ถูกคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมมหาโหด
4. เมื่อทำแล้วเงินที่คุณจ่ายหนี้ที่คุณประนอมไว้แต่ละเดือนไม่เกิน 30 % ของรายได้
5. มั่นใจว่าจะจ่ายได้ตลอดไม่มีการหยุดจ่ายกลางคัน

หากเงื่อนไขครบ 5 ข้อ ก็ควรจะทำ
แต่ถ้าหาก

1. คุณมีหนี้หลายบัญชี
2. และเมื่อประนอมหนี้แล้วเงินที่คุณต้องจ่ายแต่ละเดือนมันสูงเกิน 30 %
3. และไม่แน่ใจว่าจะจ่ายได้ตลอดจนหมดสัญญา


หากเป็นแบบนี้ก็ไม่ควรประนอมหนี้โดยเด็ดขาดมันเป็นแค่การยืดเวลาในการแก้ไขปัญหาหนี้ที่แท้จริงและเมื่อถึงวันที่คุณไม่ไหวอีกครั้งคุณแทบจะไม่มีทางสู้ไม่มีทางต่อรองเลยโดยเฉพาะเมื่อเรื่องไปถึงชั้นศาล

สามารถไปศึกษารายละเอียดเรื่อง"สัญญา นรก"

เพิ่มเติมได้ที่กระทู้ ตามใน Link นี้


www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=6343&Itemid=29

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #232 โดย 0834368962
ตัวอย่าง

....นึกถึงการปรับโครงสร้างหนี้อีกที่นึงขึ้นมาได้เป็นพวก non-bank
ที่ผมเจอคือ KTC สินเชื่อส่วนบุคคลอันนี้ดูเหมือนดีเปรียบได้เหมือนลูกอมแต่เคลือบยาฆ่าแมลงเอาไว้
มันเป็นแบบนี้ถ้าผ่อนไม่ไหวประมาณ 3 งวดจะมีคนของธนาคารโทรมาเสนอโปรโมชั่น+ปรับโครงสร้างหนี้คำพูดดูเลิศหรูอลังการให้ผ่อนต่ำกว่าเดิม 2.5%
ของผมจากประสบการณ์จากเดิมจ่ายอยู่เดือนละ1400.-
มันไม่ไหวเขาให้ส่งบัตรประชาชนยินยอมปรับโครงสร้างหนี้ จ่ายต่ำกว่าเดิมเดือนละ 750.-
โปรโมชั่นล่อใจจริงๆ ทวงหนี้ก็สุภาพมาก( 2 ปีก่อนนู้น)
ตอนนั้นไม่รู้หรอกลองดูเอาตัวรอดไปจ่ายไป 3 เดือนต่อมา มาดูใบแจ้งหนี้+ใบเสร็จ
เอ...ทำไมหนี้มันไม่ค่อยลดเลยเฮ้อพบว่าไอ้เงิน 750.- ที่จ่ายไปมันไปตัดเงินต้นแค่ 50.- ดอกเบี้ย+ค่าธรรมเนียม 700.- มันกินเราเรียบ
เพราะดอกเบี้ยมันไม่ลดเลยเฮ้อตัดหนี้ได้ปีละ 700.- เองแล้วเมื่อไหร่จะหมดวะเนี่ย
สุดท้ายก็หยุดจ่ายและมา Hair Cut เหลือ 20000.- จากยอด 30000.-
คุณคนเลวของแบงก์ Badman


...ช่วงนั้นยังหาทางออกไม่ได้
ไม่มีแนวคิดก็เลยยินดีและเต็มใจไปทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้
เพราะดูแล้ว 2 บัญชีไม่ไหวแล้วครับ เป็นบัตรวีซ่า และ วงเงินพิเศษส่วนบุคคล (ตอนนั้นไม่เคยนึกเลยว่ายังมีบัญชีอื่นอีก สนแต่ปัญหาเฉพาะหน้า 2 ตัวนี้อย่างเดียว)
ก็ไปตามที่ทางแสตนดาร์ตแนะนำ ทำสัญญากันที่สำนักงานใหญ่แสตนดาร์ต แถวสาธร
ธนาคารยอมให้ผ่อนนานมาก ส่งที่ 5 ปี 60 งวด คิดอัตราดอกเบี้ย 12% ต่อปี
เห็นไหมว่าสัญญาใหม่คิดต่ำกว่า 15% อีก หมากที่วางไว้ของธนาคารนั้นแน่มาก
คนที่คิดจะลดปัญหาเฉพาะหน้า ลืมมองถึงความจริงแบบผม คิดไม่ทันและแล้วความมั่นใจว่าไหว
การคิดแต่ปัญหาตรงหน้า หรือ ไม่ได้คิด มันก็มีผลออกมาส่งไปไม่ถึงปี พ่ายแพ้ต้องหยุดจ่าย
...วงเงินพิเศษส่วนบุคคล + บัตรวีซ่า standardปรับปรุงโครงสร้างทำสัญญาใหม่ยอด
รวมประมาณ 190,000ตอนหยุดนั้นเหลือยอด 170,000
โดนฟ้อง 2 แสนกว่า หลังจากหยุดจ่าย 1 ปี
ปล. ไปทำสัญญา ก่อนตั้งชมรมครับ ถ้ารู้ข้อมูล จะไม่ทำจริงๆครับ
P'Greeny

การปรับโครงสร้างหนี้ฯลฯ มันมีข้อดีข้อเสียต้องค่อยตัดสินใจให้ดีว่าควรทำหรือไม่
และที่สุดแล้วคือเก็บเงินไว้กับตนเองพอได้เป็นเงินก้อนก็เจรจาปิดหนี้ทีละรายการเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวหนี้ก็หมด
การปรับโครงสร้างหนี้เหมือนการเอาเชือกที่มีระเบิดเวลามาผูกคอตัวเองไว้ตั้ง 5 ปี
แล้วจะระเบิดวันไหนก็ไม่รู้ลูกหนี้ไม่ควรจะเอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้นเมื่อลูกหนี้พลาดเป็นหนี้หลายรายการแล้ว
ก็ไม่ควรผิดพลาดซ้ำสองไปประนอมหนี้อีก

**หนี้รายการไหนที่หลวมตัวประนอมหนี้ไปแล้ว
หากจ่ายไม่ไหวก็ยังใช้วิธีการหยุดจ่ายเพื่อแฮร์คัทหรือให้ฟ้องได้
ใช้ขั้นตอนเดียวกันได้แต่เจ้าหนี้จะฟ้องเร็วขึ้นและโอกาสที่ลูกหนี้จะต่อรอง/สู้ในชั้นศาลมีน้อยมาก

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 7 ปี 11 เดือน ที่ผ่านมา #234 โดย 0834368962
.
ว่าด้วยเรื่องของทนายและการไปศาล

หลักการเบื้องต้นที่ขอแนะนำให้สมาชิก(ลูกหนี้)ทำคือ “การเจรจาแฮร์คัท”
เพราะว่าดีที่สุด เซฟค่าใช้จ่ายได้มากที่สุดและเหนื่อยน้อยที่สุด
ถ้าตั้งใจเก็บเงินจริงๆอาจชำระหนี้ได้หมดก่อนเรื่องไปถึงกระบวนการชั้นศาลด้วยซ้ำ

****คำถามที่มักจะถามกันคือ***

-แต่ละแบงก์จะฟ้องเมื่อไหร่
อันนี้ก็บอกกำหนดแน่นอนไม่ได้ว่าหยุดจ่ายแล้วกี่เดือนจึงจะส่งฟ้องขึ้นอยู่กับนโยบายของแบงก์มูลค่าหนี้ แต่เมื่อหยุดจ่ายไปแล้ว 5 เดือนก็ควรระวังเรื่องการส่งฟ้องศาลได้

-ถ้าแต่ละแบงก์ฟ้องพร้อมกันจะทำยังไง
ขอบอกว่าปกติแล้วจะไม่ฟ้องพร้อมกันหรอก ลูกหนี้จะมีเวลา 3-4 เดือนหรืออาจจะมากกว่านั้น ในการเตรียมตัวรับมือการฟ้องของเจ้าหนี้รายต่อไปแต่กว่าจะฟ้องจริงๆบางทีลูกหนี้แฮร์คัทไปหมดแล้วก็มี

**********************

ถ้าได้รับหมายศาลก่อนจะเก็บเงินแฮร์คัทได้ก็ขอแนะนำให้ดูว่าควรจะสู้คดีหรือไม่

หากเห็นว่าไม่คุ้มและไม่มีประเด็นสู้ ก็ไม่สมควรจะสู้คดี
ซึ่งการไปขึ้นศาลนั้น มีแนวทางการตัดสินใจหลักๆอยู่ 3 แนวทาง โดยสามารถอ่านรายละเอียดของแนวทางทั้ง 3 ได้จากในกระทู้นี้

ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับหน้าที่ของศาล
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=9240&Itemid=29

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 9 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #235 โดย 0834368962
หากเห็นว่ามีประเด็นให้สู้และสมควรจะสู้คดีก็สามารถทำได้ดังนี้

ลูกหนี้ไปศาลด้วยตนเอง

-ลูกหนี้อาจไปศาล-เจรจาด้วยตนเองได้หากต้องการจะทำอย่างนั้น
แต่ลูกหนี้ต้องแม่นเรื่องข้อมูลจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดอกเบี้ย มาตรากฎหมายหลักการไปศาลฯลฯ
(ไม่อย่างนั้นอาจหลงคารมทนายโจทก์ได้ง่ายๆ)และกล้าที่จะพูดและต่อรอง
โดยหาข้อมูลการไปศาลจากเว็บของชมรมฯ ได้
และสามารถขอคำปรึกษาจากชมรมหนี้ฯ/สวนลุมทุกวันอาทิตย์/มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคฟรี
แนวทางการไปศาล แนะนำโดยคุณเก่งFamilyMan

www.debtclub.consumerthai.org/odebt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=10&func=view&catid=2&id=3607#3727

ให้ทนายเป็นตัวแทนไปศาล

ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่แน่ใจว่าไปศาลแล้วจะเจรจาได้ หรือคดียากเกินกว่าที่จะเจรจาเองได้
ต้องการให้ทนายความไปสู้ความให้สามารถติดต่อทนายได้ดังนี้

1. สภาทนายซึ่งไม่เก็บเงินคนที่ไปขอความช่วยเหลือเพราะรัฐบาลมีงบให้ทนายความในการว่าความแล้ว
(แต่คุณจะเจอทนายที่เป็นทนายขอแรงซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีความชำนาญเรื่องหนี้ ไม่เข้าใจลูกหนี้ ไม่มองมุม
ลูกหนี้ ไม่มีความเห็นใจหรือถึงมีก็น้อยมาก)

2. ทนายอาสาที่นั่งประจำศาลต่างๆ
(มีค่าใช้จ่ายตามที่คุณเครดิตโอเค บอกราคาไว้คือ 500-1,000 บาทแต่คุณอาจได้ทนายที่ไปทำเรื่อง
ประนีประนอมยอมความแทนคุณแทนที่จะสู้ความให้)

3.ทนายความอาสาของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
การคิดค่าใช้จ่ายของทนายที่อาสามาทำงานให้กับมูลนิธิฯจะมีข้อตกลงว่ามูลนิธิฯ จะต้องรับผิดชอบ
ค่าวิชาชีพของทนายเป็นค่าเปิดคดี 3 พันบาท ค่าปิดคดีอีก 5 พันบาทเป็นพื้นฐาน ซึ่งมูลนิธิฯจะสอบถาม
ถึงความสามารถของผู้ที่ไปขอความช่วยเหลือก่อนว่าสามารถจ่ายได้หรือไม่หากไม่สามารถที่จะจ่ายได้ และมูลนิธิฯได้พิจารณาแล้วว่าต้องให้ความช่วยเหลือด้านทนายความ
มูลนิธิฯ จะรับผิดชอบทั้งหมดรวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆระหว่างการดำเนินการด้วยและเนื่องจากค่าใช้จ่าย
ที่สูงเช่นนี้มูลนิธิฯ จึงไม่อาจช่วยเหลือจัดทนายความให้ได้ทุกคดีโดยจะต้องมีการพิจารณาร่วมกันระหว่างคณะกรรมการของทนายอาสากับคณะกรรมการมูลนิธิฯสำหรับคดีเรื่องหนี้บัตรเครดิตนั้นหากไม่มีข้อต่อสู้ในทางคดีส่วนใหญ่แล้วทางมูลนิธิฯ จะให้ความช่วยเหลือด้วยวิธีการอื่นเช่นอธิบายให้ข้อแนะนำในการจัดการปัญหาหนี้ ฯลฯแต่ถ้าหากมีข้อต่อสู้ในทางคดีอยู่บ้างและลูกหนี้มีความสามารถที่จะชำระหนี้ได้ก็สามารถให้ทนายอาสาเขียนคำคัดค้านให้กับผู้ขอความช่วยเหลือได้

4.ท่านที่ปรึกษาชมรม (คุณอาไพโรจน์ และคุณอาประพัฒน์) ให้คำปรึกษาฟรีที่สวนลุม
ถ้ามีความประสงค์จะให้ท่านที่ปรึกษาชมรมฯช่วยเป็นทนายให้ก็ต้องทำดังนี้
1. เอาหมายศาลไปให้ท่านที่ปรึกษาชมรมฯช่วยเขียนคำให้การและไปรับคำให้การก่อนถึงวันที่ศาลนัดให้
ไปศาล ( จะให้เขียนคำให้การเพียงอย่างเดียว หรือ ไปศาลด้วยก็แล้วแต่ลูกหนี้
2. เมื่อถึงวันนัดไปศาลตามที่ศาลนัดไปเพื่อยื่นคำให้การขอสู้คดีและจดวันนัดสืบพยาน
มาให้ท่านที่ปรึกษาชมรมฯ
3.เมื่อถึงวันนัดสืบพยานทนายความ(ท่านที่ปรึกษาชมรมฯ)จะไปศาลให้เพื่อสู้ความ-เจรจา-ตอบคำถาม
ตามที่ท่านผู้ พิพากษาถามและเมื่อเสร็จแล้วศาลจะกำหนดวันให้ไปฟังคำพิพากษา(รอประมาณ 1 เดือน)
4.เมื่อถึงวันนัดฟังคำพิพากษา ลูกหนี้จะไปหรือไม่ไปก็ได้จะขอไปดูคำพิพากษาทีหลังหรือรอให้โจทก์ส่ง
คำบังคับคดีไปให้ที่บ้านก็ได้
5.เมื่อทราบผลแล้วก็เริ่มติดต่อทนายโจทก์เพื่อเจรจาเรื่องการชำระหนี้ต่อไป


หมายเหตุ
-จากเริ่มกระบวนการจนจบคดี ท่านที่ปรึกษาชมรมจะไปศาลแค่ 1 ครั้งเท่านั้น (ยกเว้น-หากมีเหตุสุดวิสัย
จึงจะไปมากกว่านี้)
-ค่าใช้จ่ายแล้วแต่จะตกลงกันจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับคดีความ ระยะทางการไปศาล
(ต่างจังหวัด)และกำลังทรัพย์ของลูกหนี้

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 9 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #237 โดย 0834368962
.
ประเภทของหนี้

1.หนี้ผ่อนบ้าน
2.หนี้ผ่อนรถ
3.หนี้ในระบบ (บัตรเครดิต สินเชื่อผ่อน/เช่าซื้อสินค้า)
4.หนี้นอกระบบ
5.หนี้ญาติมิตรเพื่อนฝูง
6.หนี้กยศ.

หากมีปัญหาการเงิน
ต้องหยุดจ่าย หนี้ 3-4-5 ระบบการเงินจะดีขึ้น
หากยังไม่พอใช้ไม่มีเงินเหลือเก็บอีก ต้องหยุดจ่ายหมายเลข 2
หากยังไม่พอใช้ไม่มีเงินเหลือเก็บอีก ต้องหยุดจ่ายหมายเลข 1 ตามลำดับ

เมื่อการเงินดีขึ้นมีเงินเก็บพอใช้หนี้ ให้จ่ายหนี้
4. หนี้นอกระบบ
และ 5. ญาติมิตรเพื่อน
จากนั้นค่อนสะสางปัญหาหนี้หมายเลข 3 หนี้ในระบบ
โดยเริ่มจากหนี้ผ่อน/เช่าซื้อสินค้าก่อนแล้วค่อยจัดการกับหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อ

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #238 โดย 0834368962
หากใครมีปัญหาการเงิน
ห้ามหยุดหนี้หมายเลข 1 หนี้ผ่อนบ้านก่อนหนี้ประเภทอื่นๆ
เพราะคุณอาจจะโดนคิดดอกเบี้ยค่าปรับที่โหดมาก

เช่น
คุณกู้ซื้อบ้าน1,000,000 ผ่อนไปแล้ว 700,000 เหลือหนี้ผ่อนบ้านอีกแค่ 300,000
เมื่อวันนี้คุณหยุดผ่อนบ้านหลายแบงก์จะคิดดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าปรับ
จากเงินต้น1,000,000-ตามสัญญาที่ทำไว้
สิ่งที่ตามมาคือคุณอาจโดนยึดบ้านขายทอดตลาดแล้วใช้หนี้ไม่หมด
และโดนแบงก์ตามเก็บหนี้อีก
หรืออาจกลายเป็นบุคคลล้มละลายก็ได้


การหยุดผ่อนบ้านและรถที่ถูกต้องคือการขายโอนสิทธิ์ให้คนอื่นไปเลย
อย่าหยุดผ่อนไปเฉยๆแล้วยังเป็นชื่อตัวเองอยู่
เพราะคุณอาจจะโดนยึดบ้าน/รถขายทอดตลาดแล้วใช้หนี้ไม่หมด
และโดนแบงก์ตามเก็บหนี้อีก
หรืออาจกลายเป็นบุคคลล้มละลายได้

สำหรับคนที่ผ่อนบ้าน
หากคุณเลือกจ่ายและเลือกหยุดจ่ายตามวิธีที่ถูกต้อง
คุณก็จะสามารถรักษาบ้านของคุณไว้ได้
แต่ถ้าคุณเลือกผิด/คิดผิดหรือยังพยายามหมุนหนี้มาจ่ายหนี้อยู่จนมีหนี้เพิ่มมากขึ้น
คุณจะรักษาบ้านไว้ไม่ได้แน่นอนต่อให้คุณยังผ่อนบ้านไม่หมด-ยังติดจำนองอยู่
เจ้าหนี้ก็สามารถยึดบ้านคุณไปขายทอดตลาดได้
หากว่าเรื่องไปถึงขั้นบังคับคดียึดทรัพย์แล้ว

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #239 โดย 0834368962
มุมมองของคนเรือแตก ผ่อนบ้านไม่ไหว เราต้องสละเรือ By: หมูสมิง

บ้าน
ปล่อยมันไปเสียก่อนหยุดจ่ายไปซะก่อน
เพราะถ้าถึงตอนนี้แล้วระบบการเงินของคุณยังไม่ดีขึ้น
ยังไม่สามารถเก็บเงินเพื่อเอาไว้ปิดหนี้ได้เลย
สิ่งสุดท้ายที่มันถ่วงคุณอยู่ตัดใจแล้วทิ้งมันไปเสีย
ลองนึกภาพนะคนที่มาถึงขั้นนี้แล้วเนี่ยเปรียบเหมือนกับคนที่โดยสารเรือไททานิค (ยกคำของคุณอาไพโรจน์มา)
แล้วมันชนกับน้ำแข็งจนเรือแตกและจมลงในที่สุด(นั่นคือเกิดวิกฤตทางการเงินหนี้สินเยอะแยะมากมาย)
สิ่งที่คุณจะทำได้คือว่ายน้ำเต็มที่เพื่อเอาตัวให้รอดไปจนถึงฝั่งให้ได้
ถ้าคุณมัวแต่ห่วงสมบัติ ( รถ, บ้าน ฯลฯ) กอดมันเอาไว้หมดไอ้นี่ก็ปล่อยไม่ได้ ไอ้นั่นก็เสียดายไอ้นู่นก็ของฉัน
คุณไม่มีวันว่ายถึงฝั่งเพราะไอ้สมบัติเหล่านั้นมันจะถ่วงคุณให้จมน้ำตาย (นั่นคือการพยายามหมุนหนี้มาจ่ายหนี้
การพยายามจ่ายขั้นต่ำเพื่อรักษาเครดิตฯลฯ)แต่ถ้าคุณทิ้งสมบัติไปก่อน (หยุดจ่ายรถ -บ้าน)
ว่ายขึ้นฝั่งเอาชีวิตรอดได้แล้ว (แก้ปัญหาหนี้อย่างถูกวิธีจนหนี้หมด)เมื่อนั้นคุณจะหาสมบัติใหม่ก็ได้ตราบเท่าที่คุณยังมีหนึ่งสมองมีสองมือ มีสองเท้า แต่ถ้าแก้หนี้ ณปัจจุบันยังไม่ได้อย่าฝันถึงอนาคตเลยมันไม่มีวันมาหาคุณหรอก
แต่เท่าที่เจอมา เมื่อหยุด 2 3 4 และ 5 แล้วส่วนใหญ่จะรักษา 1 เอาไว้ได้
การที่แนะนำให้เก็บบ้านไว้เป็นตัวสุดท้ายที่จะปล่อยเพราะเหตุผลเรื่องดอกเบี้ยผิดนัดชำระ
และบ้านคือปัจจัยหลักของมนุษย์เป็นที่อยู่อาศัยแต่ถ้าไม่ไหวจริงๆจำเป็นต้องปล่อยก็ต้องตัดสินใจ
หลังจากนั้นเมื่อจัดการหนี้จนหมดแล้วค่อยหาบ้านหลังใหม่เล็กๆ ที่พอดีกับฐานะ
นั่นก็เพียงพอสำหรับมนุษย์ 1 คนแล้ว

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 7 ปี 11 เดือน ที่ผ่านมา #240 โดย 0834368962
.
หนี้ที่ต้องจ่ายตลอด ห้ามหยุด คือหนี้แบงก์ที่จ่ายเงินเดือนผ่านกับหนี้กองทุนกยศ.

เหตุผลที่ไม่ให้หยุดจ่ายหนี้แบงก์ที่จ่ายเงินเดือนผ่านกับหนี้กองทุนกยศ.

หากเป็นหนี้ธนาคารที่บริษัทใช้จ่ายเงินเดือนผ่านบัญชีให้
ก็ไม่ควรหยุดจ่ายหนี้รายการนั้น
หาไม่แล้วอาจจะถูกวิชามารสูบเงินเดือนไปหมดทั้งเดือน
เพื่อเอาไปใช้หนี้ที่ค้างชำระอยู่โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาได้
จริงๆแล้วตามกฎหมายเค้าทำแบบนี้ไม่ได้มันผิดกฎหมาย
แต่มีบางแบงก์ชอบทำโดยอ้างว่า ลูกหนี้เคยเซ็นยินยอมให้หักบัญชีที่เกี่ยวข้องได้
เพราะฉะนั้นอย่าเสี่ยงเลย
ยกเว้นแต่ว่าจำเป็นต้องหยุดจ่ายหนี้แบงก์นั้นด้วย
ก็อาจจะต้องลุ้นและเสี่ยงหน่อยว่า
จะกดเงินเดือน/โอนเงินเดือนได้ทันก่อนที่มันหายไปหมดบัญชี
(เพราะแบงก์เอาเงินในบัญชีทั้งหมดไปจ่ายหนี้ที่เราค้างชำระอยู่กับแบงก์นั้น)หรือไม่
ถ้าทำไม่ทัน เดือนนั้นทั้งเดือนอดตายแน่

กระทู้"ตัวอย่าง"ธนาคารเจ้าหนี้หักเงินในบัญชีเงินเดือน

www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=6970&Itemid=29#6970


และ

กระทู้"ตัวอย่าง"การดูดเงินในบัญชีไม่ได้ เนื่องจากนิติบุคคลต่างกัน


www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=7111&Itemid=29

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 9 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #241 โดย 0834368962
.
หนี้กองทุนกยศ.

สำหรับหนี้รายการนี้ชมรมฯจะขอร้องให้จ่าย(ห้ามหยุด)
เพราะ

1.ดอกเบี้ยถูกมาก
2.ยอดจ่ายแต่ละเดือนไม่สูง
3.ทวงหนี้ไม่โหด
4.หากหยุดผู้ที่ค้ำประกันให้คุณจะเดือดร้อนตามไปด้วย
5.มีน้องๆรอใช้กองทุนนี้อยู่อีกเยอะ
6.คุณเรียนจบมาได้ด้วยเงินกู้นี้ คุณมีอนาคตที่ดี แล้วยังไม่ยอมจ่ายอีก
ก็ไม่น่าจะเรียกว่าคนแล้ว

ยกเว้นตกงาน ไม่มีงานทำก็จำเป็นต้องหยุดจ่าย
แต่เมื่อได้งานทำแล้วก็ขอให้รีบติดต่อเพื่อจ่ายหนี้ตัวนี้โดยเร็ว

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #242 โดย 0834368962
การที่มีธนาคารบางแห่งปล่อยกู้(ให้วงเงินค่อนข้างสูง)
ทำให้สมาชิกหลายคนสนใจ
อยากจะบอกว่า
ใครที่สนใจจะกู้กับธนาคารดังกล่าวเพื่อเอาเงินก้อนมาชำระหนี้เดิมที่มีอยู่
ก็เท่ากับว่าคุณกำลังเลือกใช้วิธีที่ 3 THIRDWAY OUT อยู่

หากเพื่อนสมาชิกต้องการทำแบบนั้นจริงๆ
ก็ขอให้ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจว่าจะกู้ดีหรือไม่
เพราะมันเป็นการรวมหนี้-ย้ายเจ้าหนี้เท่านั้นเอง
มันจะทำให้ยอดหนี้สูงขึ้นด้วย
แล้วธนาคารก็มีเงื่อนไขเยอะมากมากกว่าจะปล่อยกู้ให้ลูกหนี้แต่ละราย
ไม่อยากให้เพื่อนสมาชิกตั้งความหวังไว้กับสิ่งเลื่อนลอย
ที่อาจจะกลายเป็นนรกสำหรับตัวเองในวันข้างหน้า

...........
แล้วการที่จะใช้วิธีนี้ (THIRDWAY OUT) ให้ได้ผลที่สุด
ก็ต้องหยุดจ่าย รอให้เป็นหนี้เสียก่อนจึงจะเจรจาได้
ระยะเวลาที่หยุดลูกหนี้จะต้องโดนทวงหนี้อยู่แล้ว
เพียงแค่พยายามเก็บเงินให้ได้
ลูกหนี้ก็สามารถเอาเงินตัวเองไปชำระหนี้ได้
โดยไม่จำเป็นต้องไปกู้ธนาคารแห่งใหม่(เสียดอกเบี้ยใหม่) มาใช้หนี้เดิมเลย

และหากหยุดชำระหนี้แล้วลูกหนี้ยังใช้ชีวิตแบบเดิม
ไม่ปรับเปลี่ยนพฤตกรรมการใช้เงิน
เพราะคิดว่า เดี๋ยวจะไปกู้ที่ใหม่มาใช้หนี้เดิมแล้วหล่ะก็
อนาคตค่อนข้างน่าเป็นห่วง...มีแววว่าสุดท้ายก็จะจ่ายหนี้ไม่ได้เช่นเดิม
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
ขอยืนยันว่า การใช้ SECONDWAY OUT
เป็นวิธีการที่เหมาะกับคนที่มีหนี้เยอะ(หลายแห่ง)มากที่สุด
ใช้ความอดทนแค่เพียงไม่นานแล้วปัญหามันก็จะผ่านไป
ถ้าจะทำ
ก็ขอให้ทำแบบมีสติ
ทบทวนข้อดีข้อเสียและความจำเป็นก่อนค่อยตัดสินใจ
อย่าทำแค่พอให้ผ่านวันนี้ไปก่อน
พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรค่อยแก้ไข......(นรกรออยู่ข้างหน้าแน่นอน)

การหาหนี้ที่ใหม่มาจ่ายหนี้ที่เก่า
เป็นวิธีที่ชมรมไม่อยากให้เพื่อนสมาชิกทำ
เพราะมันเป็นการก่อหนี้ให้ตัวเองแบบไม่มีที่สิ้นสุด
การหยุดหาหนี้ที่ใหม่มาจ่ายหนี้ที่เก่า
แล้วชำระหนี้ด้วยเงินเดือนตัวเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
เพราะมันทำให้ลูกหนี้หมดหนี้แน่นอน
ใครที่คิดจะใช้วิธีที่ 3 third way out
ก็ควรจะคิดให้ดี คิดให้รอบคอบก่อนว่าควรจะใช้วิธีนี้หรือไม่
อย่าใช้วิธีนี้เพียงเพราะว่า
ไม่อยากทนรับการทวงหนี้(ซึ่งไม่นานมันก็จะผ่านไป)
ไม่อยากเสียเครดิต

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 9 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #243 โดย 0834368962
.
เรื่องล้มละลาย

มูลหนี้ที่จะสามารถฟ้องให้เป็น"คดีล้มละลาย"ได้นั้น
จะต้องเป็นหนี้เงินที่มากเกินกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไป ต่อเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่ง

หมายความว่า จะต้องมีเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่ง ที่เป็นหนี้กันเกินกว่า 1 ล้านบาท ถึงจะสามารถฟ้องให้เป็นคดีล้มละลายได้
ไม่ใช่เป็นการเอาหนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้ทุกรายมารวมกัน พอรวมกันแล้วปรากฏว่าหนี้เกินกว่า 1 ล้านบาท ก็เป็นคดีล้มละลาย...หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
จะต้องมีเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่ง ที่เป็นหนี้กันเกินกว่า 1 ล้านบาท...เท่านั้น จึงจะสามารถฟ้องให้เป็น"คดีล้มละลาย"ได้

สำหรับมนุษย์เงินเดือนทั่วๆไปการถูกตัดสินให้ล้มละลายเป็นเรื่องที่แย่มากๆ
อย่าคิดว่าแค่สามปีเองเดี๋ยวครบกำหนดแล้วก็กลายเป็นคนไม่มีหนี้สินอะไรติดตัว
อยากจะบอกว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น
เพราะนอกจากคุณจะกลายเป็นคนไม่มีหนี้สินแล้ว
คุณก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีอะไรด้วย

สามปีที่เป็นบุคคลล้มละลาย
-คุณอาจถูกให้ออกจากงาน
-ไม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่
-เก็บเงินก็ไม่ได้
-ทำธุรกรรมใดๆเกี่ยวกับเงินไม่ได้
-ไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้...ยกเว้น ได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน

พอพ้นสามปีคุณเป็นไทแก่ตัวก็จริง
แต่คุณต้องเริ่มต้นใหม่จากความว่างเปล่า

จริงอยู่ที่ว่าตราบใดยังมีลมหายใจตราบนั้นเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
แต่มันจะเป็นก้าวย่างที่ลำบากมาก

ยกเว้นคุณทำอาชีพอิสระไม่ต้องง้อบริษัทต่างๆให้รับเข้าทำงาน
ไม่คิดจะทำธุรกรรมอะไรกับแบงก์อีกแล้ว
ล้มละลายสามปีจะเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก
พอพ้นกำหนดสามปีคุณก็เริ่มสร้างชีวิตใหม่ได้ไม่ยากนัก

เพราะฉะนั้น
หากใครที่มีหนี้รายเดียวหนึ่งล้านขึ้นไป
พยายามตกลงเรื่องการชำระหนี้กับเจ้าหนี้ให้ได้จะได้ไม่มีปัญหา
ยกเว้นมันเยอะจนชำระไม่ไหวจริงๆก็ต้องทำใจ

อย่างบ้านถ้าไม่ไหวก็ตัดใจขายโอนสิทธิให้คนอื่นผ่อนต่อไปซะ
อย่าไปเสียดาย(ใช้หนี้หมดแล้วก็หาใหม่ได้)
อาจจะได้ราคาต่ำแต่มันก็ช่วยลดภาระหนี้
จะได้ไม่ต้องไปเฉียดใกล้กับคำว่าล้มละลาย

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา #244 โดย 0834368962
คำถาม
วันนี้ได้รับ จม.จาก KTC ค่ะ ขอให้ชำระหนี้โดยบจ.เขาเรียกหนี้คืนทั้งหมด ให้ชำระภายใน 20 วัน
เราตั้งใจที่หยุดได้ 3 เดือนแล้วเพื่อเก้บเงินไว้ H/c หลังได้รับจม.แล้ว เราควรรอเขาติดต่อมาใช่ไหมค่ะถึงจะต่อรองกับเขา แบบหนี้เรียกว่าหนี้เสียหรือยังค่ะ และจะมีผลต่อเงินเดือนที่เข้า KTC หรือเปล่าค่ะ

สิ่งที่ควรรู้และทำเมื่อได้รับจดหมายทวงหนี้
เมื่อได้รับจดหมายแบบตัวอย่างนี้ ก็ไม่ต้องไปสนใจอยู่เฉยๆดีกว่า
หรือถ้ายังไม่เข้าใจก็อ่านที่พี่นกฯเขียนไว้ก็แล้วกัน
*********************
ถาม 1 : วันนี้ได้รับ จม.จาก KTC ค่ะไขอให้ชำระหนี้ โดยบจ.เขาเรียกหนี้คืนทั้งหมด ให้ชำระภายใน 20 วัน
ตอบ :แล้วถ้ามันเขียนบอกว่า “ให้ชำระภายใน 20 นาที”…แล้วคุณจะไปจ่ายเงินให้มันทันไหมเนี่ย?
ถาม 3 : แบบหนี้เรียกว่าหนี้เสียหรือยังค่ะ
ตอบ : มัน "เสีย"ไปตั้งแต่ที่คุณหยุดจ่ายตั้งแต่เดือนแรกแล้วล่ะคร๊าบ...

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 9 ปี 7 เดือน ที่ผ่านมา #245 โดย 0834368962
ประสบการณ์ไปศาลของพี่กรีนนี

พอดีเจอกระทู้ที่พี่กรีนนีเขียนเล่าเรื่องการไปศาลของตัวเอง
เลยขอยกมาไว้ในกระทู้นี้สักหน่อย
เผื่อจะช่วยให้สมาชิกหายกลัวศาลได้บ้าง
กระทู้ (ย้อนรอยไปศาล)และสถานะหนี้โดยพี่กรีนนี

...คดีแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ทหารไทยคดีแรกของผม
คำฟ้องของทหารไทย แบบ ย่อๆเป็นอย่างนี้

…จำเลยผิดสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์บังคับจำเลยให้ชำระหนี้เงิน 86,xxx บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน 75,xxx บาท นับแต่ถัดจากวันฟ้อง…

คำให้การของผมย่อเหมือนกัน

…ธนาคารมีการคิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด (15%) ฉะนั้นโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยกับจำเลย เนื่องจากเป็นดอกเบี้ยที่ผิดกฎหมายตกเป็นโมฆะ ยอดเงินที่ชำระไปแล้วทั้งหมดให้นำไปหักเงินต้นเหลือยอดที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ 3x,xxx บาทค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความขอให้เป็นพับ…

ดีใจนะที่คำให้การออกมาได้แบบนี้ไม่ใช่ดีใจที่ต้องจ่ายน้อยลง มันเป็นความแปลกใจมากกว่า ณ ตอนนั้นคิดในใจว่าถ้าไม่ได้มาปรึกษาหารือ หรือได้แนวความคิดแก้หนี้ด้วยกฎหมายจากคุณอาไพโรจน์เราก็คงไม่ได้รู้ว่า จำเลยสามารถยื่นคำให้การแย้งโจทก์ได้เพราะไม่เคยรู้กฎหมายพวกนี้เลยปกติเราจะชินกับการเห็นยอดหนี้ที่ต้องชำระในใบแจ้งหนี้ แล้วเราก็โอเคตามนั้นพอได้รู้ได้เห็นก็หวังเหมือนกัน ไม่ผิดอะไรนี่ ทำตามกฎหมายทุกอย่างคิดว่ายังไงก็ต้องได้จ่ายตามที่ยื่นคำให้การนี่แหละ

แต่…คุณอาบอกว่าทั้งนี้ทั้งนั้นศาลแต่ละท่านก็มีแนวทางของตัวเอง ดุลยพินิจ การวินิจฉัยข้อกฎหมายอาจแตกต่างกันไปได้เรื่องยื่นคำให้การก็เป็นสิทธิของเราที่จะชี้แจง แต่คำตัดสินเป็นของท่าน และอีกด้านท่านก็ต้องดูคำฟ้องและหลักฐานของโจทก์ด้วย ผลจะออกมายังไง ต้องยอมรับเพราะยังไงเสีย ลูกหนี้ ก็ต้องใช้หนี้ ซึ่ง ...ผมเข้าใจและยอมรับ

พอถึงวันนัด เดือน สิงหา 48

ตื่นเต้นนิดหน่อย แต่ไม่มากเพราะเคยเข้าไปแล้วตอนไปคัดสำเนาคำฟ้อง แถมมีเพื่อนรุ่นก่อตั้ง นามแฝง “กำลังเครียด” อาสาไปเป็นเพื่อนด้วย (มีชื่ออยู่ในคณะกรรมการ… ตอนนี้หายเครียดเรื่องหนี้แล้ว) เอกสารที่นำไปด้วยก็คือ...

(ยังมีต่อ ตามไปอ่านที่ www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=347&Itemid=2

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
12 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา - 9 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #2535 โดย 0834368962
.
กำลังใจและข้อคิดจากรุ่นพี่ อดีตกรรมการรุ่นหนึ่ง พี่ Greeny
กลับไปที่คำจำกัดความของ First Way Out นิดนึง ผมคิดว่าควรจะเป็นอย่างนี้

- พอใช้จ่ายในครอบครัวสำหรับค่าใช้จ่ายทุกประเภท
- พอสำหรับค่ารักษาพยาบาลหากเจ็บป่วย
- มีพอสำหรับจ่ายหนี้ ครบทุกเจ้าหนี้ โดยยอดชำระที่จ่ายได้ทุกเจ้านั้น ต้องเกินกว่าดอกเบี้ยมากๆ เพราะจะไปตัดเงินต้นได้มาก ถ้าแค่เพียงชำระขั้นต่ำได้ แต่ไปตัดต้นนิดเดียว นั่นหมายความว่า หนทางปลดหนี้นั้นยาวไกล คุณจะกลายเป็น “ผู้มีพระคุณอย่างสูงยิ่ง ต่อสถาบันการเงิน” แต่มันก็หมดหนี้ได้เหมือนกัน และเป็นความไฝ่ฝันของหลายคน ที่ไม่ต้องเสียเครดิต แต่ระยะเวลาที่หมดภาระล่ะ คำนวณหรือยังว่า หมดหนี้ตอนอายุเท่าไหร่
- มีพอสำหรับเริ่มสะสม เพื่ออนาคต


นั่นคือคุณจะใช้ First Way Out ได้ โดยไม่ต้องไปยึดหลักการ ว่าเป็นหนี้ กี่เท่าของเงินเดือน มันมีตัวแปรของแต่ละคน ที่ใครๆ ก็มาควบคุมให้ไม่ได้ เรารู้ตัวเราดีที่สุด

ส่วนใครก็ตาม หากเมื่อมองดูตัวเองและคิดอย่างรอบด้าน ดูสภาพความเป็นจริงของตัวเองแล้วโดยที่ไม่หลอกตัวเอง มีคติในใจ ว่าตนเป็นที่พึ่งของตน คงจะได้เห็นว่าการที่หลุดมาถึง Second Way Out นั้น ให้มองเสียว่า นั่นคือ

“จุดเริ่มต้นของการปลดหนี้แบบเป็นไปได้จริง”

และผมคิดว่า “เครดิต เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่หัวใจของการใช้ชีวิต”


สุดท้ายพอหมดปัญหาหนี้ตรงนี้ไปได้ อนาคตที่ดี ก็พอมองเห็นอีกครั้ง คงไม่มีใครประมาทจนกลับมาเป็นหนี้อีกแล้ว

By: Greeny 11/10/2007 04:39 PM

"ปล่อยวางกับชีวิต"
ฝากถึงคนเป็นหนี้ที่ยังกลัว ตัดสินใจไม่ถูก
ลองคิดดูให้ดีๆ จะปล่อยวางกับชีวิตได้ไหม
ถ้าปล่อยวางไม่ได้จะเป็นยังไง
คนที่ปล่อยวางได้ คิดได้ จะสามารถทำอะไรได้ขนาดไหน
ทำอย่างไรจึงจะผ่านพ้นวิกฤติไปได้

ถึงแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็น “คนเลวของเจ้าหนี้” เป็นลูกหนี้ NPL
ไม่ทำให้เกิดรายได้งอกเงยให้เจ้าหนี้เก็บกินได้อีกต่อไปแล้ว
แต่เราก็รับผิดชอบในหนี้สินที่ยังค้างอยู่นั้นไปตามครรลองของกฎหมาย
จนถึงเวลาหนึ่งเราสามารถทำให้มันจบไปได้
ก็น่าจะพอใจกันได้ในระดับหนึ่ง
อาจเป็นการเลือกใช้วิธีที่ไม่ปกตินัก แต่มันก็เป็นหนทาง
ที่ลูกหนี้จะอยู่รอดเพื่อเดินต่อไปได้
เมื่อเลือกแล้ว ก็อดทน ทำทุกสิ่งเพื่อผ่านพ้นไปได้ดังตั้งใจ
ทำตัวเป็น “คนดีของครอบครัว” ก็น่าภูมิใจไม่น้อย


By : Greeny 24/05/2007 10:52 AM

กรรมการชมรมไม่ใช้เทวดา
ชี้ได้แต่เส้นทาง สมาชิกต้องกระทำเอง
กระทู้นี้โดนล็อคเรียบร้อยแล้ว!!
ผู้ดูแล: MommyangelBadmankonsiam
เวลาที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บ: 0.901 วินาที
ขับเคลื่อนโดย ระบบฟอรัม Kunena