ขอคำแนะนำเรื่องหยุดจ่ายค่างวดรถครับ

คือพี่ชายนำชื่อแม่ไปซื้อรถแล้วไม่ผ่อนจ่าย แม่ต้องรับภาระจ่ายแทนทุกเดือน ติดต่อพี่ชายไม่ได้ ซึ่งตอนนี้จ่ายมา 10 กว่างวดแล้วครับ เท่าที่ผมอ่านในกระทู้ปักหมุดผมจับใจความได้ว่าต้องรอหมายศาลประมาณ 4-5 เดือน ผมอยากทราบว่าถ้าเรื่องถึงศาลแล้วการจ่ายเงินในส่วนของดอกเบี้ยและค่าติดตามจะคิดจากยอดที่เราเหลือ หรือยังไงครับ คือตอนนี้ต้องจ่ายเดือนละ 7000 กว่าบาทไม่ไหวจริงๆ ขอบคุณมากครับ

หยุดมาตั้ง 10 งวด ไฟแนนท์คงตามยึดแล้วไม่เจอตั้งแต่งวดที่ 3 แล้วละครับ

มาเป็นกำลังใจครับ

ให้ข้อมูลของ คุณแม่ ด้วยครับเพื่อนจะได้ให้แนวทางการตั้งรับ ไฟแนนซ์ ครับ เช่น

1) แม่อายุเท่าไหร่

2) แม่ทำอาชีพอะไร

3) บ้านที่อยู่เป็นของแม่ , บ้านเช่า หรือบ้านสวัสดิการ

4) แนวทางที่ิคิดว่าจะแก้ไขหนี้อย่างไร

คือพี่ชายหยุดส่งมาเป็น 10 งวดครับ แล้วไฟแนนซ์ก็มาตามทางแม่ผมซึ่งรถเป็นชื่อแม่ แต่ตอนไปรับรถแม่ไม่ได้เป็นคนเซ็นต์รับรถ ทางแฟนพี่ชายเป็นผู้ค้ำเป็นคนเซ็นต์รับรถและตอนนี้ติดต่อไม่ได้ทั้งคู่ครับ

ทางไฟแนนซ์ก็เลยติดต่อมาทางแม่ผมเพื่อจะให้แม่จ่ายทุกเดือนทีนี้เริ่มจะจ่ายไม่ไหวแล้วครับ

คุณแม่อายุ 59 ปีครับ รับราชการเป็นครู บ้านที่อยู่เป็นบ้านตัวเองครับ

แนวทางที่คิดว่าจะแก้ไขคือ ผมจะหยุดส่งแล้วค่อยให้ทางไฟแนนซ์ฟ้องแล้วหักตามงวดที่ได้จ่ายไปแล้ว ซึ่งอยากจะผ่อนเดือนละน้อยกว่า 7000 ครับ

ไม่ทราบว่าควรจะหยุดจ่ายไปเลยดีหรือเปล่า

ตอบที่ละเรื่องนะครับ

1) แม่มีชื่อเป็นเจ้าของ หมายถึง เป็นทำสัญญาเช่าซื้อรถ แม้จะไม่ได้รับรถด้วยตนเอง ก็ยังต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อครับ เพราะดูแล้วไม่น่าจะมีนิติกรรมอำพราง หรือการปลอมเอกสารของแม่ไปทำสัญญาครับ ความรับผิดจึงยังตกอยู่กับแม่ครับ

2) แม่อายุ 59 ปี ใกล้ปลดเกษียณแล้ว /รับราชการครู อันนี้ก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะเงินเดือนหักนู้น หักนี้ หักสหกรณ์ หักกบข. แล้วคงเหลืออยู่ไม่มาก การถูกฟ้องคดีก็ไม่มีผลอะไรกับอาชีพของคุณแม่

3) ให้ทางไฟแนนซ์ฟ้องแล้วหักตามงวดที่ได้จ่ายไปแล้ว ค่อยมาผ่อนต่อ อันนี้คิดว่าไม่มีการคืนรถที่เช่าซื้อ อย่างนี้ภาระหนี้ที่จะถูกฟ้องจะเป็นยอดเงินเกิือบเต็มสัญญาเพราะผ่อนมาแค่ 10 งวด หากตกลงกันไม่ได้ศาลก็จะพิพากษาให้เป็นคุณ คือ ลดดอกเบี้ยเหลือแค่ร้อยละ 12 ต่อปี ซึ่งหมายความว่าภาระหนี้ได้ปรับลดลงเล็กน้อย

การให้ไฟแนนซ์ฟ้องคดีจะเกิดประโยชน์มากที่สุด เมื่อมีการคืนรถที่เช่าซื้อ เพราะศาลจะคำนวณจากเงินต้นทุนที่เจ้าหนี้ซื้อรถมา หักด้วยเงินที่ขายทอดตลาด แล้วเอาส่วนที่เหลือมาพิพากษาให้พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนที่หายไปและเป็นคุณกับลูกหนี้ คือ ดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้คำนวณไว้ครั้งแรกแล้วหารด้วยจำนวนงวดที่ผ่อนทั้งหมด ที่นำมาบวกกับต้นเงิน แบ่งจ่ายเป็นงวดตามสัญญา

ถ้าเป็นผม เราดูประกอบระหว่าง อายุของแม่ กับ อาชีพรับราชการครู และ กำหนดการเกษียญราชการ ผมเห็นว่าการถูกฟ้องคดีแทบจะไม่มีผลกระทบแม่เสียเลย

ถ้าเราหยุดการชำระเงิน ตีว่างวดละ 7,000.- บาท หยุดชำระไปเลย 1 ปี แม่จะเหลือเงิน 70,000.- บาท หยุดชำระ 2 ปี แม่จะเหลือเงิน 140,000.- บาท ซึ่งเอาเงินส่วนนี้ไปซื้อยาบำรุงให้ท่านทานดีกว่าครับ หยุดจ่ายค่างวดโดยทันทีครับ

ถ้าถูกฟ้องคดีแล้วผลจะเป็นอย่างไร เจ้าหนี้ก็จะทำการบังคับคดี

1) อายัดเงินเดือน , บำเหน็จบำนาญ อันนี้ถ้าเงินเดือนเหลือมากมาย เพราะแนะนำให้ไปกู้สหกรณ์ แล้วให้ตัดเงินเดือนไปซะแล้วท่านจะเหลือเงินทั้งก้อน (อย่าเอาไปชำระหนี้ซะละ)

2) บ้าน อันนี้หากไม่ติดจำนอง ท่านก็โอนเปลี่ยนมือให้ลูกก่อนที่เจ้าหนี้จะฟ้องคดีครับ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการถูกยึดทรัพย์ เว้นแต่ คุณแม่จะถูกฟ้องล้มละลายอันนี้ ศาลอาจจะมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนในภายหลังได้ครับ แต่ก็ดีกว่าเราไม่ได้ลุ้นนะครับ อย่ารอให้เค้ามายึดทรัพย์เอาง่าย สำหรับเรื่องโกงเจ้าหนี้พฤติการณ์อย่างนี้ไม่เข้าข่ายเพราะเจ้าหนี้ยังไม่ได้ฟ้องคดีครับ

และหลังจากโอนบ้านแล้ว ให้คุณแม่ย้ายชื่อเจ้าบ้าน มาเป็นผู้อาศัยแทนครับ ถ้าจะให้ดีย้ายออกไปอยู่ทะเบียนบ้านอื่นที่สามารถครบคุมดูแลว่ามีเอกสารติดต่อมาหาท่านได้ด้วยหรือไม่

ดังนั้น ผมเห็นว่าหยุดจ่ายเถอะครับ ยอมปวดหัวหน่อยกับการถูกทวงหนี้ เอาเป็นว่าโทรมาหาเมื่อไหร่เราก็วางเครื่องให้คุยกับ TV อย่าได้โต้ตอบ // มีจดหมายมาก็ให้ลูกอ่านแทนแล้วกัน // ถูกฟ้องคดีเมื่อไหร่อย่านิ่งเฉยหาทนายที่ไว้ใจได้ มาจัดการเรื่องเอกสาร เป้าหมายสู้เพื่อชนะ // ใช้ชีวิตหลังเกษียณให้มีความสุขครับ

แต่อย่างลืมเรื่องทรัพย์สิน เปลี่ยนถ่ายมือให้เรียบร้อยโดยเร็วครับ