รบกวนข้อความคิดเห็นหน่อยครับ

เงินเดือนผม 18000 บาท มีหนี้สิน แบ้่งเป็น ธนาคารออมสิน 70000 บาท จ่ายเดือนละ 3500(หักผ่านบัญชี)ระยะเวลา 2 ปี ซิตี้แบงค์ 120000 บาท จ่ายเดือนละ 5311 ระยะเวลา 2ปี (หนี้ทั้งสองกะจะเอามาปิดบัตรสุดท้ายก็ไม่พอจ่ายต้องไปกดมาอีกรอบ) /บัตรเครดิตKTC 30000 บาท แต่หนี้ที่ต้องชำระทั้งหมดเหลือ 27500 บาท กรุงศรีเฟิสช้อยเหลือเต็มๆ 42000 บาท (กดเงินสด) และยังมีจายค่าไฟแนนมอเตอร์ไซค์อีก เดือนละ 2900 บาท 30 งวด
ในกรณีหนี้ที่ผมเป็นถ้าในความคิดเห็นพี่ๆเพื่อนๆ คิดว่าผมคิดว่าจะหยุดจ่ายเฉพาะบัตรเครดิตอย่างเดียวจะดีไหมครับ ใจผมอยากหยุดเฉพาะบัตรเครดิตจนมีการประนอมหนี้แล้วเกิดการแฮร์คัท แล้วค่อยโป๊ะทีเดียวเลย น่าจะได้ไหมครับ
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าเลยครับ
หรือผมจะเลือกตัดสินใจจ่ายบัตรไดบัตรนึงแล้วปล่อยอีกบัตรนึงขาดน่าจะดีไหมครับ

ลืมแจ้งครับ มีบัตรอิออนแม่ อีก 1 ใบครับ จำนวนเงิน 30000 บาทแล้วก็หนี้นอกระบบ อีก 50000 บาท

หยุดจ่ายทุกตัวยกเว้นออมสินก่อนครับ แล้วก็มาดูว่า ในแต่ละเดือนเหลือเงินเก็บมากแค่ไหน

ขอบคุณครับ พอลองหยุดแล้วลองคำนวณเงินแบบที่บอกแล้ว เงินเหลือเยอะเลยครับ สงสัย ผมต้องเริ่มเก็บไว้ H/C ซะหน่อยแล้ว ขอบคุณมากๆนะครับ

ผมจะขอแนะนำจากประสบการณ์จริงของผมนะครับ
1. เจรจาปิดหนี้
ถ้าเรามีเงินก้อนพอที่จะปิดหนี้ได้ ก็เลือกปิดไปในส่วนที่เราเห็นว่ารับได้ อันนี้ผมก็เห็นด้วยนะครับ แต่ถ้าสรุปแล้วมีไม่พอปิดครบทุกหนี้ ก็ขอแนะนำว่าปล่อยให้เขาฟ้องและต่อสู้คดีครับ

2. ต่อสู้คดี
การขึ้นศาลไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่มีข้อดี คือ ได้ยืดเวลาและกดดันเจ้าหนี้ แถมยังอาจชนะคดีได้เลยทีเดียว
การดำเนินคดีในศาลค่อนข้างใช้ระยะเวลา ยิ่งถ้าศาลไหนมีคดีเยอะ ยิ่งจะทำให้คดียืดยาวออกไปอีก เราจะได้มีเวลาวางแผน และเก็บรวบรวมเงินอีกระยะหนึ่ง จะได้มีเงินก้อนไว้สำหรับปิดหนี้ต่อไป และถ้ายังไม่พร้อมอีก เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้เจ้าหนี้ชนะ เราก็ใช้สิทธิอุทธรณ์ หรือแม้เราชนะเจ้าหนี้ก็ย่อมจะต้องอุทธรณ์แน่นอน ซึ่งการศาลอุทธรณ์ก็จะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3-4 เดือน อย่างช้าก็อาจจะครึ่งปี แต่ที่สำคัญ (กรณีเราแพ้คดี) ในระหว่างอุทธรณ์เราต้องขอทุเลาการบังคับคดีไว้ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหนี้ยึดหรือายัดทรัพย์สินของเรา
ถ้าศาลอุทธรณ์ยังพิพากษายืนให้เราแพ้ ก็ต้องมาดูว่า มีข้อกฎหมายสำคัญอันควรที่ศาลฎีกาจะรับไว้หรือไม่ ถ้ามีเราก็จะใช้สิทธิฎีกาพร้อมขอทุเลาการบังคับคดีไว้ คราวนี้แหละหากศาลฎีการับฎีกา เราก็จะมีเวลาอีกไม่น้อยกว่า 1-2 ปี เพื่อรอศาลฎีกาพิจารณาพิพากษา
ยังไม่จบอีกนะครับ ยังมีขั้นตอนของการบังคับคดีอีก ในกรณีเจ้าหนี้ชนะคดีถึงที่สุดเจ้าหนี้ก็จะต้องร้องขอบังคับคดี กว่าจะเจ้าหนี้จะดำเนินเรื่องเสร็จก็อีกระยะหนึ่งเลย และกว่าเจ้าพนักงานบังคับจะทำบัญชีทรัพย์สินเสร็จ ไหนเราจะต้องตรวจสอบบัญชีทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำอีก ไหนจะเราหาเรื่องคัดค้านการบังคับคดีอีก สรุปตั้งแต่ต้นจนจบอาจใช้เวลานานถึง 3 ปี แสดงว่าเรายังมีเวลาเก็บเงินก้อนไปอีกนาน อีกทั้ง การยืดเวลานี้ ยังเป็นการกดดันเจ้าหนี้อีกทางหนึ่งด้วย แน่นอนว่าถ้าเจ้าหนี้เห็นว่าการจะเรียกให้เราชำระหนี้เป็นการยากหรือต้องใช้เวลาอีกนาน เจ้าหนี้ก็จะพยายามเสนอปิดยอดหนี้เป็นระยะๆ คราวนี้ เราจะได้มีโอกาสต่อรองคุยกับเจ้าหนี้อีกหลายหนเลย
ข้อเสียของการยืดเวลา คือ ดอกเบี้ยมันยังวิ่งไปตามเวลาที่ยืดออกด้วย แต่ดอกเบี้ยที่วิ่งนี้จะเป็นดอกเบี้ยที่ศาลปรับลดแล้ว อย่างน้อยก็ 7.5% ต่อปี อย่างสูงก็ 15% ต่อปี ซึ่งเป็นธรรมและไม่สูงมาก ต้องลองเสี่ยงดูครับ เพราะสุดท้ายผมเชื่อว่า เรากับเจ้าหนี้คงปิดกันได้ลงตัวอยู่แล้ว โดยไม่มีดอกเบี้ยเลย
สำหรับโอกาสชนะคดี ก็มีนะครับใช่ว่าจะไม่มี และบางทีแม้จะไม่ชนะทั้งหมดแต่ก็ชนะบางประเด็นทำให้จำนวนหนี้ลดลง ซึ่งที่แน่ๆ คือ ดอกเบี้ยลดลงอย่างแน่นอน
หนทางชนะคดี มีหลายประการ เช่น
- คดีขาดอายุความ
- ดอกเบี้ยเป็นโมฆะ = สามารถหักทอนบัญชีกระทบเงินต้นใหม่ จนบางครั้งอาจไม่เหลือหนี้เลย เผลอสรุปออกมาเราจ่ายเกินเงินต้นอีกด้วยซ้ำ หรือเงินต้นลดลงไป หรืออย่างน้อยดอกเบี้ยก็หายไปทั้งก้อนคงเหลือแต่เงินต้น
ขณะนี้ ผมชนะคดีธนาคารทั้งคดีตนเองที่รับทำให้คนอื่นมาแล้วหลายคดี และกำลังลุ้นอีก 2 คดี ซึ่งคาดว่าจะชนะทั้งคดี เช่นเดียวกัน คือ SCB+CIMB ส่วนบางเจ้าหนี้ ผมก็ชนะบางประเด็นจนเงินต้นลดลง หรือดอกเบี้ยหายไปทั้งจำนวน เช่น Tesco Card เป็นต้น หากมีอะไรแนะนำได้ก็จะมาแนะนำให้ทราบอีกครั้งนะครับ