ตั้งใจจะปลดหนี้ค่ะ

8 ปี 9 เดือน ที่ผ่านมา #72046 โดย front2000
หลังจากที่จ่ายขั้นต่ำมาตลอด..เริ่มคิดว่าเมื่อไหร่จะหมด
แรกๆก็กลัวการเสียเครดิต..แต่คิดดูแล้วว่าถ้าเรายังฝืนจ่ายแบบนี้มีแต่จะแย่..หนี้ที่มีอยู่ค่ะ
1.ยูเมะพลัส=16000
2.firstchoice=32000
3.บัตรเครดิตกสิกร=29000
4.บัตรกดเงินสดกสิกร=29000
5.พรอมมิส=31000
6.บัตรกดเงินอิออน=25000
7.บัตรเครดิตอิออน=30000
อยากทราบการทวงหนี้คร่าวๆของแต่ละเจ้าและประสบการณ์h/cค่ะ (o_O)

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

8 ปี 9 เดือน ที่ผ่านมา #72047 โดย อ้อย
สวัสดีครับ
งั้นสละเวลาอ่านตามที่ผมเอารายละเอียดของท่านประธานฯเขียนไว้มาให้อ่าน
อ่านช้าๆอ่านหลายๆรอบนะครับ สู้ๆครับ


"นิยาม" ของคำว่า Hair cut

Hair cut ก็คือการจ่ายชำระมูลหนี้ ที่มีการค้างชำระกันไว้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ โดยมีข้อตกลงเจรจาเป็นการนำเสนอที่จะทำการลดมูลหนี้ที่คงค้างกันอยู่ ว่าจะมีการลดหนี้ให้เป็นจำนวนเท่าไหร่?

โดยคิดจากมูลหนี้ที่คงค้างทั้งหมด จากยอด ณ.ปัจจุบัน

ซึ่งก็คือยอดหนี้ของ ณ.วันนี้ นั่นเอง

วันที่เรากำลังเจรจาต่อรองเรื่องส่วนลดหนี้กันอยู่ ณ.ขณะนี้

- ไม่ใช่ยอดหนี้ของเงินต้นในอดีต

- ไม่ใช่ยอดหนี้ของวันที่เราเริ่มต้นหยุดจ่าย

- ไม่ใช่ยอดหนี้ที่แสดงอยู่ในเครดิตบูโร


ซึ่งส่วนมากทางเจ้าหนี้มักจะเป็นผู้เสนอว่า จากมูลหนี้ที่คงค้างอยู่ ณ.ปัจจุบันนี้ จะลดหนี้ให้เท่าไหร่? โดยการแจ้งเป็นตัวเลข ว่าจะลดให้กี่บาท หรือกี่เปอร์เซนต์ (ซึ่งส่วนมากจะเสนอตัวเลขเป็นบาท แต่ถ้าเราอยากรู้ว่าเป็นกี่เปอร์เซนต์ ก็สามารถเอามาคำนวนเองได้)

*** วิธีการ Hair cut เช่นนี้ ทางฝ่ายเจ้าหนี้จะยื่นข้อเสนอมาให้กับลูกหนี้เอง

หลังจากที่"หนี้เน่ามากๆ"แล้ว ***

ที่สำคัญคือ : ลูกหนี้ไม่ควรเป็นผู้เสนอข้อต่อรองส่วนลด หรือยื่นการเจรจา Hair cut ด้วยตนเองก่อน
เพราะถ้าหากลูกหนี้เป็นฝ่ายติดต่อเข้าไปก่อน ก็จะเท่ากับว่าลูกหนี้เป็น"ผู้ง้อ"หรือ"ผู้ขอร้อง"ต่อฝ่ายเจ้าหนี้
เจ้าหนี้ก็จะเล่นตัวได้ ในฐานะที่มันเป็น"ผู้ถูกง้อ"
แต่ถ้าเจ้าหนี้มันเป็นฝ่ายติดต่อมาหาลูกหนี้เอง เพื่อให้ส่วนลดหนี้กับลูกหนี้ก่อน ก็แสดงว่าเจ้าหนี้มันเป็น
"ผู้ง้อ"เพื่ออยากได้เงินคืนจากลูกหนี้ ซึ่งจะทำให้ลูกหนี้ได้เปรียบในการต่อรองราคาได้มากกว่า ในฐานะที่ลูกหนี้เป็น"ผู้ถูกง้อ"เสียเอง

ยกตัวอย่างเช่น เรามีหนี้คงค้างอยู่ ณ.ปัจจุบันนี้ เป็นจำนวนเงิน 100,000.-บาท (หนึ่งแสนบาท) หลังจากหยุดจ่ายมานานมากๆแล้ว ทางเจ้าหนี้ก็เสนอมาว่า จะลดหนี้ให้เป็นจำนวน 40% ก็หมายความว่า ทางเจ้าหนี้พึงพอใจที่จะเรียกเอาเงินคืนเพียงแค่ 60,000.-บาท (60%) เท่านั้น...ส่วนอีก 40,000.-บาท (40%) นั้น...ทางเจ้าหนี้ลดหนี้ให้ ด้วยเหตุผลต่างๆดังนี้

- ขี้เกียจทวงแล้วโว้ย...ทวงเท่าไหร่ก็ไม่ยอมจ่ายสักที

- ทางเจ้าหนี้ แทงบัญชีหนี้ของเราเป็น NPL ไปแล้ว (เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้)
หรือตัดบัญชีของเราเป็น“หนี้สูญ”ไปแล้ว

- เจ้าหนี้ไม่อยากตั้งทุนสำรอง“หนี้สูญ” ตามคำสั่งของ ธปท.
เพราะต้องถูกบังคับให้ตั้งเงินสำรองเพื่อกันเอาไว้ 100,000.-บาท (เป็นการตั้งสำรอง“หนี้สูญ”ในอัตรา 100% ของมูลหนี้ที่เสีย)
ทางฝ่ายเจ้าหนี้จึงมีความคิดที่ว่า สู้เอาเงินที่ตั้งสำรองจำนวนนี้ ไปปล่อยกู้ใหม่ให้กับลูกหนี้รายอื่นๆ ยังได้กำไรจากการขูดรีดอัตราดอกเบี้ยกับลูกหนี้รายใหม่อื่นๆ มากกว่าการเอาเงินมาตั้งสำรอง“หนี้สูญ”แบบนี้โดยที่ไม่ได้ดอกเบี้ยอะไรเลย แถมยังได้เงินสดกลับคืนมาจากลูกหนี้อีก 60,000.-บาท (ลดหนี้ให้ 40%) เมื่อเอาเงินทั้งสองก้อนนี้มารวมกันแล้ว ก็เป็นจำนวนเงิน 160,000.-บาท...สู้เอาเงินจำนวนนี้ไปปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยราคาแพงๆ ให้กับลูกค้ารายอื่นๆเสียยังจะดีกว่า

- ทางเจ้าหนี้ "กลัว" แพ้คดี ถ้าถึงขั้นการฟ้องร้องต่อศาล เพราะตัวเองก็มีการหมกเม็ด และการโกงอัตราดอกเบี้ยของลูกหนี้เอาไว้เพียบ...ดังนั้น ถ้าวันนี้ ได้เงินคืนกลับมาบ้างบางส่วน ก็ยังดีกว่าที่ได้คืนมาน้อย
หรือไม่ได้คืนเลยในชั้นศาล หากตัวเองฟ้องแล้วแพ้คดี (ตามสุภาษิตที่ว่า...กำขี้...ดีกว่ากำตด)

- ทางเจ้าหนี้กลัวว่าลูกหนี้จะเป็นอะไรไป...เนื่องจากการคิดสั้นของลูกหนี้ที่มีหนี้สินเยอะ
เพราะถ้าหากลูกหนี้เป็นอะไรไป (หมายถึง ล้มหายตายจากไป) หนี้ดังกล่าว จะเป็น"หนี้ศูนย์"(0)ทันที
และจะไปฟ้องร้องกับใครก็ไม่ได้ เนื่องจากเป็นหนี้สินส่วนบุคคล (หนี้ส่วนตัวที่ไม่มีผู้ค้ำประกัน) จึงไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ดังนั้น ถ้าอยากจะฟ้องต่อ เจ้าหนี้ก็ต้องฆ่าตัวตายตามลูกหนี้ เพื่อไปฟ้องร้องต่อจากท่านยมบาลเอาเอง (แล้วใครมันยอมจะฆ่าตัวตายเพื่อตามไปทวงหนี้ต่อล่ะวะ)

- เจ้าหนี้ได้รับเงินคืนตามที่ตัวเองพึงพอใจแล้ว โดยคิดจากส่วนต่างที่หักจากค่าคอมมิชชั่นในการทวงหนี้ออกไป...ตัวอย่างเช่น...เจ้าหนี้มีการตั้งค่าหัวในการทวงหนี้เราไว้ที่ 30% หากสำนักงานทวงหนี้ที่ใดก็ตาม
ที่สามารถทวงหนี้จากเราได้สำเร็จ...เช่น...ถ้าสมมุติว่า สำนักงานทวงหนี้ "ชั่ว"คอลเลคชั่น สามารถทวงหนี้เราได้ที่ 100,000.-บาท ดังนั้น สำนักงาน"ชั่ว"คอลเลคชั่น...รับเอาค่าคอมมิชชั่นนี้ไปเลย 30,000.-บาท เพื่อเป็นค่าแรงในการทวงหนี้ ส่วนทางเจ้าหนี้พอใจที่จะเอาเงินคืนเพียงแค่ 70,000.-บาทเท่านั้นก็พอ ถ้าเป็นเช่นนั้น
สู้เราไปจ่ายชำระหนี้ให้กับทางเจ้าหนี้โดยตรง ไม่ดีกว่าเหรอ? (โดยไม่จ่ายผ่านสำนักงานทวงหนี้) ทางเจ้าหนี้ก็พอใจในการรับเงินคืนเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรทางเจ้าหนี้ก็มีความต้องการที่จะได้รับเงินคืนเพียงแค่ 70,000.-บาท อยู่แล้วนี่ โดยไม่สนใจว่าจะได้เงินคืนมาจากใครหรือด้วยวิธีใดก็ตาม

- ทางเจ้าหนี้มีการขาย"หนี้เน่า"ของเรา ให้กับสำนักงานทวงหนี้ข้างนอก ในราคาถูกๆไปแล้ว
เนื่องจากขี้เกียจตั้งทุนสำรองหนี้สูญ (อาจขาย"หนี้เน่า"ของเราในราคาประมาณสัก 2-3 หมื่นบาท จากราคาหนี้ ณ.ปัจจุบันที่ 100,000.-บาท) เพื่อให้สำนักงานทวงหนี้ ไปทวงหนี้ต่อเอาเอง แล้วแต่จะตั้งราคาในการทวงต่อ
ดังนั้น ถ้าสำนักงานทวงหนี้เสนอราคาให้กับเราที่ 60,000.-บาท ในการทำ Hair cut...ตัวสำนักงานทวงหนี้เองก็ยังได้กำไรจากส่วนต่างนี้ตั้ง 3-4 หมื่นบาท)

- เจ้าหนี้รีบลดราคาในการทำ Hair cut ให้...ด้วยราคาที่งามมาก เนื่องจากคดีขาดอายุความในการฟ้องร้องไปแล้ว

ด้วยเหตุผลต่างๆ ตามที่กล่าวมานี้ จึงเกิดกระบวนการที่เรียกกันว่า

Hair cut เกิดขึ้น

แต่กระบวนการ Hair cut นี้ มิได้เกิดขึ้นได้โดยง่าย
ต้องผ่านการบ่มระยะเวลามายาวนานพอสมควร โดยมีสูตรดังนี้

ต้องหยุดจ่ายซะก่อน ถึงจะเกิดกระบวนการ

Hair cut ขึ้นได้


ยิ่งหยุดจ่ายนานเท่าไหร่

หนี้ก็ยิ่งเน่ามากขึ้นเท่านั้น


หนี้ยิ่งเน่ามากเท่าไหร่

ก็ยิ่งได้ส่วนลดมากขึ้นเท่านั้น


หลายๆคนชอบเข้ามาตั้งคำถามที่ว่า
หยุดจ่ายมาได้ 3 เดือนแล้วครับ...จะได้ส่วนลดแล้วหรือยังครับ และถ้าได้ลด จะได้ส่วนลดกี่เปอร์เซนต์ครับ

คำตอบที่ชัดเจนก็คือ

ยัง!...และไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย

เพราะการหยุดจ่ายเพียงแค่ 2-3 เดือน มันเป็นเพียงบันไดก้าวแรก ที่จะไปสู่กระบวนการ Hair cut อันแท้จริงต่อไป

การ Hair cut ที่แท้จริง มันต้องหยุดจ่ายนาน 8-10 เดือนขึ้นไปเป็นอย่างน้อย หรือบางทีอาจต้องรอเป็นปี หรือจนถึงขั้นได้รับหมายศาลแล้วนั่นแหละ

จึงมีคำถามต่อมาอีกว่า...
แล้วถ้าเช่นนั้น ต้องหยุดจ่ายนานเท่าไหร่? ถึงจะได้รับหมายศาลล่ะ?

คำตอบก็คือ

เฉลี่ยโดยทั่วไปแล้ว ประมาณ 1 ปีครับ

แต่บางราย...ก็นานเกินกว่า 1 ปีนะครับ

ยกเว้น หนี้บัตรเครดิตของ KTC เท่านั้น ที่ฟ้องเร็วที่สุด (หมายถึง เฉพาะหนี้บัตรเครดิตเท่านั้นนะครับ ไม่รวมถึงหนี้ประเภทบัตรกดเงินสด หรือหนี้เงินกู้สินเชื่อส่วนบุคคล) โดยหยุดจ่ายประมาณแค่ 4-6 เดือนก็ฟ้องแล้ว สำหรับหนี้ประเภทบัตรเครดิตของตัวนี้...แต่ถ้าหากเป็นหนี้ประเภทอื่นๆที่ไม่ใช่บัตรเครดิต ก็ยังคงฟ้องช้าตามปกติ

สำหรับส่วนลดที่ทางเจ้าหนี้เสนอมาให้ โดยทั่วๆไป ก็มีตั้งแต่ 30% , 40% , 50% , 60% , 70% ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการเจรจา , เทคนิคการต่อรอง , นโยบายส่วนลดหนี้ของสถาบันการเงินนั้นๆ และ ความ“เน่า”ของหนี้ที่หยุดจ่าย



เพียงแต่อยากให้มองว่า เงื่อนไขที่ทางเจ้าหนี้เสนอมานั้น เราจ่ายไหวไหม? น่าสนใจและรับได้หรือเปล่า? อย่าไปมองเพียงแค่ต้องการให้ได้ส่วนลดเยอะๆเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ให้พิจารณาว่าถ้าเราจ่ายไปแล้ว เราจะได้ลดเจ้าหนี้ไปอีกหนึ่งราย(ได้ลดศัตรูในการทวงหนี้ไปแล้วอีกหนึ่งที่) ที่เหลือก็ค่อยๆมาปลดหนี้ทีละรายต่อไป ตามกำลังและความสามารถ (แต่ต้องจ่ายไหวจริงๆนะ ห้ามไปกู้หนี้ยืมสินที่ต้องเสียดอกเบี้ยจากที่อื่นมาปิด Hair cut อีก มิฉะนั้น มันจะไม่มีวันจบสิ้น)...ถ้าสามารถทำได้เช่นนี้ ก็จะสามารถปลดหนี้ได้โดยเร็ววัน

และทั้งนี้ทั้งนั้น...ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้รายไหนๆ เงื่อนไขของการ Hair cut ก็เหมือนๆกันหมดทั้งนั้น คือ
การเสนอส่วนลดให้ในราคาที่งามมาก แต่ต้องจ่ายชำระคืนเพียง“งวดเดียว”เท่านั้น…โดยไม่มีการผ่อน (จ่ายปิด“ตูมเดียว”เพื่อปิดบัญชีหนี้เน่า)

แต่ก็มีบางคนถามต่ออีกว่า...แล้วถ้าอยากได้ส่วนลด Hair cut เนื่องจากหนี้ก้อนนี้มันเน่ามากพอสมควรแล้ว แต่เราไม่สามารถจ่ายแบบ“งวดเดียว”หรือ“ตูมเดียว”เพื่อปิดบัญชีได้...เราสามารถขอส่วนลดด้วย และก็ขอผ่อนต่อด้วย จะได้ไหม?

ผมจะขอตอบว่า...ไอ้ได้น่ะ มันได้อยู่หรอกนะครับ แต่ทางฝ่ายเจ้าหนี้มันจะไม่ยอมให้คุณสามารถผ่อนต่อ ในระยะเวลานานๆหรอกนะครับ (เต็มที่สูงสุด มันก็ยอมให้ผ่อนได้ในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือนเท่านั้น) และส่วนลดที่มันจะให้ ก็จะแตกต่างกันไปด้วย ขอยกตัวอย่างให้ดูตามนี้นะครับ

สมมุติว่าเมื่อปีที่แล้ว เรามีหนี้บัตรเครดิตอยู่กับธนาคาร A เป็นจำนวนเงิน 80,000.-บาท แล้วเราก็หยุดจ่ายหนี้ตัวนี้มานานประมาณ 1 ปีแล้ว...โดย ณ.ปัจจุบัน(ณ.ตอนนี้) หนี้เงินต้น+ดอกเบี้ย+ค่าทวงถามหนี้ ปาเข้าเป็นจำนวนเงิน 100,000.-บาทแล้ว โดยทางฝ่ายเจ้าหนี้ได้ติดต่อขอให้เราชำระหนี้ทั้งหมด เพื่อทำการปิดบัญชี โดยจะมีส่วนลดให้ด้วย ถ้าสามารถจ่ายแบบ“งวดเดียว”(ตูมเดียว)ได้ ก็จะให้ส่วนลดครึ่งหนึ่ง(50%) จากราคาหนี้ ณ.ปัจจุบัน (ที่ 100,000.-บาท)

ถ้าเราตอบกลับไปว่า จ่าย“งวดเดียว”ไม่ไหว ขอผ่อนได้ไหม...ราคามันก็จะเป็นไปตามนี้ครับ

-ถ้าสามารถจ่าย“งวดเดียว”ได้...ก็จ่ายเพียง 50,000.-บาท เพื่อปิดบัญชี ส่วนลด 50%
-ถ้าขอผ่อน 2 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 27,500.-บาท (รวม 2 งวดก็เป็นเงิน 55,000.-บาท) ลด 45%
-ถ้าขอผ่อน 3 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 20,000.-บาท (รวม 3 งวดก็เป็นเงิน 60,000.-บาท) ลด 40%
-ถ้าขอผ่อน 4 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 16,250.-บาท (รวม 4 งวดก็เป็นเงิน 65,000.-บาท) ลด 35%
-ถ้าขอผ่อน 5 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 14,000.-บาท (รวม 5 งวดก็เป็นเงิน 70,000.-บาท) ลด 30%
-ถ้าขอผ่อน 6 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 12,250.-บาท (รวม 6 งวดก็เป็นเงิน 75,000.-บาท) ลด 25%



ก็แล้วแต่คุณไปพิจารณาเอาเองนะครับ ว่าอยากได้ส่วนลดในราคาแบบไหน

และสุดท้ายแล้ว สำหรับคำว่า Hair cut

Hair cut สามารถทำได้ตลอด

ทุกช่วงเวลาหลังจากที่"หนี้"ของเรา"เน่า"แล้ว...ไม่ว่าจะเป็น

- ก่อนได้รับหมายฟ้อง (แต่ต้องหยุดจ่ายนานๆ หลายๆเดือนซะก่อนนะครับ)
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันที่ต้องไปขึ้นศาล
- ขึ้นศาลแล้ว แต่ยังอยู่ในระยะเวลาระหว่างการต่อสู้คดี โดยรอขึ้นศาลอีกครั้งในนัดหน้านัด หรือนัดต่อไป (ศาลยังไม่ได้พิพากษา)
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว และไปขึ้นศาลมาแล้ว โดยไปทำ"สัญญาไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความ"ที่ชั้นศาลมาแล้ว
- ถูกศาลพิพากษาแล้ว และอยู่ในระหว่าง รอการจ่ายชำระหนี้คืนตามคำพิพากษา
- ถูกศาลพิพากษาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้จ่ายชำระหนี้คืน จนกระทั่งถูกอายัดเงินเดือน หรือถูกอายัดทรัพย์สินอยู่ในขณะนี้

เห็นไหมล่ะครับ ว่า Hair cut สามารถทำได้ตลอดชีพจริงๆ

แต่การ Hair cut ที่ได้ราคางามที่สุด (หรือที่เรียกว่า "นาทีทอง" นั้น...มักจะอยู่ในช่วงของเวลาดังต่อไปนี้
- หยุดจ่ายนานเกิน 10 เดือนขึ้นไป
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันที่ต้องไปขึ้นศาลในนัดแรก
- ขึ้นศาลแล้ว แต่ยังอยู่ในระยะเวลาระหว่างการต่อสู้คดี อีกหลายนัด (ยังไม่ได้พิพากษา)
ถ้าพ้นกำหนดช่วงเวลาดังกล่าวนี้ไปแล้ว โปรโมชั่น "นาทีทอง" อาจหมดไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำ Hair-cut ไม่ได้...เพียงแต่ว่า อาจไม่ได้ราคางามๆตามโปรโมชั่นของ "นาทีทอง" ก็เท่านั้นเอง

และที่สำคัญ การทำ Hair cut จะต้องให้ทางเจ้าหนี้ออกเอกสาร

ยืนยันว่า จะลดหนี้ให้ตามเงื่อนไขที่เจรจาตกลงกันไว้ ด้วยทุกครั้ง

โดยเราต้องได้รับหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางเจ้าหนี้

ก่อนที่จะทำการจ่ายชำระ Hair cut ใดๆ

อย่าไปจ่ายหนี้ที่ตกลงกันด้วยวาจาผ่านทางโทรศัพท์โดยเด็ดขาด (สัญญาหรือข้อตกลงใดๆ ที่เป็นแค่วาจาหรือ“ลมปาก” ไม่สามารถใช้เป็นข้อยืนยันตามกฏหมายได้)

ขอย้ำอีกครั้ง...ถ้าคุณยังไม่ได้รับหนังสือยืนยันการ

ลดหนี้ (หนังสือ Hair cut) เสียก่อน

ห้ามจ่ายโดยเด็ดขาด...!

ถูกหลอกให้จ่ายเงินเข้าไปเพื่อหักหนี้ในราคาเดิม(ไม่มีส่วนลด) โดยโกหกว่าจะยอมลดราคา Hair cut ให้
ด้วยคำพูด หรือการรับปากกันทางโทรศัพท์ แต่แล้วก็ไม่ยอมทำ Hair cut ให้จริงๆ

มีลูกหนี้โดนหลอกมานับไม่ถ้วนแล้วนะครับ...ขอเตือน...




ระยะเวลา และขั้นตอนในการทวงหนี้


1. ทวงหนี้ทางโทรศัพท์ (1-2 เดือนแรก) โดยสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ตัวจริง

2. ทวงหนี้ทางโทรศัพท์ + จดหมายทวงหนี้ (ช่วงเดือนที่ 2-3) โดยเริ่มมีการเสนอให้ทำ"ประนอมหนี้" , "ปรับโครงสร้างหนี้" (ซึ่งสรุปก็คือหลอกให้ทำ"สัญญานรก"นั่นแหละ แต่เรียกชื่อให้มันดูไพเราะสักหน่อย ก็เท่านั้น) หรือ อาจโทรมาหลอกลวงให้ลูกหนี้ทำการ"จ่ายหยอด"เพื่อเดินบัญชี...เป็นต้น
ข้อเสียของการ "จ่ายหยอด" เพื่อเดินบัญชี
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=19608&Itemid=64

3. ส่งเรื่องออกไปให้สำนักงานกฏหมายข้างนอก ให้เป็นผู้ทำการทวงหนี้แทน ซึ่งเป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 1 (ช่วงเดือนที่ 4-6) พร้อมกับเสนอให้ส่วนลดในการ Hair cut ประมาณ 20-30% (แล้วแต่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ จะเป็นผู้กำหนด)

4. ถ้าสำนักงานกฏหมาย ที่เป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 1 ทวงหนี้ไม่ได้ ก็เลิกจ้างมันทวง แล้วหันไปเปลี่ยนเป็นสำนักงานกฏหมาย ที่เป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 2 ให้มาทวงหนี้ต่อ (เดือนที่ 7-9) พร้อมกับเสนอให้ส่วนลดในการ Hair cut ประมาณ 30-40% (แล้วแต่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ จะเป็นผู้กำหนด)

5. ถ้าสำนักงานกฏหมาย ที่เป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 2 ก็ยังทวงหนี้ไม่ได้อีก ก็เลิกจ้างมันทวง แล้วหันไปเปลี่ยนเป็นสำนักงานกฏหมาย ที่เป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 3 ให้มาทวงหนี้ต่ออีก (ช่วงเดือนที่ 10-12) พร้อมกับเสนอให้ส่วนลดในการ Hair cut ประมาณ 40-50% (แล้วแต่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ จะเป็นผู้กำหนด)

6. ถ้าเปลี่ยนสำนักงานกฏหมายทวงหนี้ไปตั้งหลายบริษัทแล้ว ยังไงก็ทวงไม่ได้สักที ก็ส่งฟ้องศาล (เดือนที่ 12 เป็นต้นไป จนถึงปีครึ่ง) โดยยังคงมีข้อเสนอเรื่องส่วนลดในการ Hair cut ให้อยู่ แต่เป็นราคาช่วงที่งามที่สุด (หรือที่เรียกกันว่า "นาทีทอง" ในการทำ Hair cut โดยสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ เป็นผู้กำหนดราคา)

ดังนั้น หากมีลูกหนี้บางราย ที่เจ้าหนี้มันทำเรื่องฟ้องศาลช้ากว่าปกติ (เกินกว่า 1ปีขึ้นไป)
ลูกหนี้อาจถูกทวงหนี้โดยสำนักงานกฏหมาย(บริษัททวงหนี้) ที่ต้องถูกเปลี่ยนบริษัททวงหนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ซ้ำหน้ากัน เกินกว่า 5บริษัททวงหนี้...หรือจนกว่าหมายศาลฟ้องจะมา
________________________________________

ข้อสังเกตุ : ณ ปัจจุบันนี้ มีบริษัทรับจ้างทวงหนี้ในประเทศไทยทั้งหมด ประมาณพันกว่าบริษัท

ซึ่งบริษัทรับจ้างทวงหนี้พวกนี้ ส่วนใหญ่มักตั้งชื่อที่ใช้จดทะเบียนในนามนิติบุคคลว่า "สำนักงานกฏหมาย" หรือ "สำนักงานทนายความ" เพื่อสร้างความตกใจต่อลูกหนี้...เพราะในชื่อของบริษัทดังกล่าว มีคำว่า "กฏหมาย" หรือ "ทนายความ" ปรากฏอยู่ด้วย

พอลูกหนี้ได้ยินหรือได้เห็นชื่อของบริษัททวงหนี้เหล่านี้ ก็มักเกิดความกลัวและคิดไปเองว่า "เรื่องหนี้ของฉัน ตกไปอยู่ในขั้นตอนของกฏหมายแล้วหรือนี่? , สงสัยจะโดนฟ้องแล้วแน่เลย?"...แต่โดยแท้จริงแล้ว บริษัทพวกนี้ มีอาชีพหรือรายได้หลักมาจากการ"รับจ้างทวงหนี้"เท่านั้น

และถ้าหากบริษัทรับจ้างทวงหนี้รายแรก ไม่สามารถทวงหนี้ได้ตามที่ทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง) ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างได้กำหนดไว้ (ซึ่งส่วนมากทางสถาบันการเงิน จะกำหนดให้บริษัทที่รับจ้างทวงหนี้ ต้องทวงหนี้ให้ได้ภายในระยะเวลา 2-3 เดือนเท่านั้น) บริษัทที่รับจ้างทวงหนี้ดังกล่าว ก็จะถูกทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง) ทำการ"ถีบหัวส่ง"ออกไป...เพราะถือว่า"ไร้ความสามารถ"ในการทวงหนี้ให้ได้ภายใน 2-3 เดือน ตามที่เจ้าหนี้ตัวจริงได้กำหนดเอาไว้

แล้วหลังจากนั้น...ทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง)ก็จะไปทำการว่าจ้างบริษัทรับจ้างทวงหนี้รายใหม่ ให้มาทำการทวงหนี้แทนบริษัทรับจ้างทวงหนี้รายเดิมที่ถูก"ถีบหัวส่ง"ออกไป โดยกำหนดว่าจะต้องทวงหนี้ให้ได้ภายในระยะเวลา 2-3 เดือน เช่นกัน

หากบริษัทรับจ้างทวงหนี้รายที่สองนี้ ก็ยังไม่สามารถทวงหนี้กับลูกหนี้ได้ภายใน 2-3 เดือนอีก ก็จะถูก"ถีบหัวส่ง"ออกไปอีก แล้วทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง)ก็จะไปว่าจ้างบริษัททวงหนี้รายที่ สาม , สี่ , ห้า ให้มาทำหน้าที่ทวงหนี้แทนเหมือนเดิม...เป็น"วัฏจักร"เช่นนี้เรื่อยไปตลอด จนกว่าจะทวงหนี้ได้สำเร็จ(Hair cut สำเร็จ) หรือจนกว่าจะฟ้องศาล ซึ่งอาจใช้ระยะเวลานานเป็นปี

ในเมื่อ"บริษัทรับจ้างทวงหนี้"ในประเทศไทย มันมีจำนวนมากมายนับพันบริษัท
ทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง) จึงสามารถใช้บริการว่าจ้างบริษัทไหนก็ได้ โดยเรียกมาใช้งานได้โดยง่าย และก็สามารถ"ถีบหัวส่ง"เปลี่ยนให้ออกไปได้ง่ายๆเช่นกัน หากมันไร้น้ำยาในการทวงหนี้ได้สำเร็จ

แล้วอีกอย่างหนึ่ง บริษัทรับจ้างทวงหนี้เหล่านี้ ก็ไม่ได้มีรายได้เป็นเงินเดือน สำหรับค่าว่าจ้างในการทวงหนี้จากทางเจ้าหนี้ตัวจริง แต่จะได้รับเป็น"เงินค่าคอมมิชชั่น"ตามจำนวนเงินที่ทวงหนี้มาได้สำเร็จ (ก็คล้ายๆกับอาชีพ"เซลล์แมน"ขายของนั่นแหละ หากขายของได้ ถึงจะได้ค่าคอมมิชชั้น หากขายของไม่ได้ก็"อด")

ด้วยสาเหตุนี้...จึงเป็นบ่อเกิดแห่ง"การทวงหนี้ที่ไร้จริยธรรม"จากบริษัทที่รับจ้างทวงหนี้บางราย ซึ่งใช้วิธีการทวงหนี้แบบเลวๆ ในลักษณะของการข่มขู่และกดดันลูกหนี้ เพื่อให้ตัวเองได้เงินมาจากลูกหนี้ไห้ได้(ไม่งั้นจะโดน"ถีบหัวส่ง"และ"อด แdก ค่าคอมฯด้วย") จึงต้องใช้วิธีในการทวงหนี้แบบชั่วๆ หรืออ้างข้อกฏหมาย"มั่วๆ" เพื่อข่มขู่ลูกหนี้ต่างๆนาๆ

หากใครโดนการข่มขู่ทวงหนี้ด้วยวิธีการเลวๆแบบนี้ ก็อย่าไปตกใจ สามารถไปดูวิธีการรับมือการทวงหนี้และการใช้สิทธิ์ปกป้องตนเองได้จากในกระทู้นี้

รู้ทันการทวงหนี้ / เตรียมรับมือการทวงหนี้
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=18758&Itemid=64

.
ธรณีหนี้นี้ เป็นพยาน...เราลูกหนี้ รู้ดอกเบี้ย อยู่บ้าง

เราผิดท่านฟ้องศาล...เราชอบ

เราบ่ผิดท่านมาโกง...Haircut คืนสนอง

วิธีรับมือการทวงหนี้

ชมรมฯแห่งนี้ไม่ได้แนะนำให้เบี้ยวหนี้ ชักดาบ ไม่ยอมจ่ายหนี้ แต่ให้นำไปใช้ศึกษาและรู้เท่าทันในกรณีที่ลูกหนี้ ถูกพวกทวงหนี้ใช้วิธีการทวงหนี้แบบผิดกฎหมาย เช่น อ้างกฎหมายมาข่มขู่ รบกวนเวลาทำงาน ทำให้เสียชื่อเสียง...ฯลฯ

เพือเป็นการปกป้องตัวลูกหนี้เองให้รอดพ้นจากการทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย ดังนั้น ลูกหนี้จึงจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหนี้สินบ้าง แต่ไม่ถึงกับต้องท่องจำกฎหมายหนี้สินมาตราต่างๆ เอาแค่ให้รู้ว่าการทวงหนี้ในลักษณะใดบ้าง ที่เข้าข่ายการทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย เพื่อจะได้เตรียมรับมือกับเหล่านักทวงหนี้ได้อย่างเหมาะสม ในทำนอง “รู้เขา-รู้เรา” จะได้ไม่ตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบเจ้าหนี้และปกป้องรักษาสิทธิ์ของลูกหนี้เอาไว้

ก่อนจะคุยกับผู้ทวงหนี้ ให้ลูกหนี้เป็นฝ่ายรุกก่อนเลยโดยการสอบถาม ชื่อ-นามสกุลจริง ของคนที่มาทวงหนี้ก่อน และที่สำคัญต้องขอเบอร์โทรศัพท์สำนักงาน(ไม่ใช่เบอร์มือถือ)ที่เขาทำงานอยู่ รวมถึงชื่อสำนักงานของนักทวงหนี้เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยให้ลูกหนี้เป็นฝ่ายรุกมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับ ส่วนมากการคุยกันระหว่างลูกหนี้กับนักทวงหนี้มักจะคุยกันไม่รู้เรื่อง และมักจะมีปัญหาเรื่องการมีปากเสียงหรือจบลงด้วยการทะเลาะกัน อาจมีการใช้ถ้อยคำรุนแรงที่ฝ่ายนักทวงหนี้หลุดได้บ่อยๆ

ดังนั้นการสอบถามข้อมูลจริงๆจากนักทวงหนี้ จึงมีโอกาสสูงที่ผู้ทวงหนี้จะไม่บอกความจริง เพราะมันก็กลัวความผิดทางกฎหมายเหมือนกัน เพราะถ้ามันเผลอข่มขู่หรือใช้ถ้อยคำรุนแรงกับลูกหนี้ ซึ่งลูกหนี้อาจรับมือหรือตอบโต้กับนักทวงหนี้ได้ โดยการติดตามเอาเรื่องจนถึงสำนักงานของนักทวงหนี้เลยก็ได้ นอกจากมันจะตามหนี้ไม่ได้แล้วยังต้องมีคดีความติดตัวอีก จึงไม่คุ้มสำหรับการบอกรายละเอียดของตัวนักทวงหนี้เอง เมื่อถึงตอนนี้นักทวงหนี้ก็คงรู้แล้วว่า ลูกหนี้รายนี้ไม่ใช่หมูที่จะมาเถือเล่นกันได้ง่ายๆ แต่ถ้านักทวงหนี้ไม่ยอมบอกรายละเอียดของตัวมัน ก็จะเข้าทางของเราเลย ให้ลูกหนี้ถือโอกาสตัดบทไม่คุยด้วย หรือถ้านักทวงหนี้ให้รายละเอียดมาแล้ว ฝ่ายลูกหนี้ก็สามารถโทรย้อนกลับไปตรวจสอบได้เช่นกัน


ต้องตั้งสติให้ดี

อย่ากลัวที่จะคุยกับเจ้าหนี้หรือนักทวงหนี้ ต้องกล้าคุยและเสียงเข้ม การเป็นหนี้ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่พวกทวงหนี้ข่มขู่ เป็นเพียงแค่คดีแพ่งเท่านั้น ไม่ใช่คดีร้ายแรงเหมือนการฆ่าคนตาย(คดีอาญา)
ดังนั้นการที่นักทวงหนี้ใช้คำพูดในลักษณะที่ว่า จะใช้กฎหมายจับลูกหนี้เข้าคุก จะด้วยข้อหาอะไรก็สุดแล้วแต่ ที่นักทวงหนี้พยายาม"กุ"(มั่ว)มาตราขึ้นมาเอง เพื่อให้ดูน่ากลัวสำหรับลูกหนี้
ให้ลูกหนี้รับมือกับการทวงหนี้โหดในลักษณะนี้โดยการย้อนถามกลับไปว่า หนี้สินเป็นคดีแพ่งไม่ใช่คดีอาญา จะจับเข้าคุกได้ยังไง?...จะเอาตำรวจที่ไหนมาจับ?...เพราะคดีหนี้สินไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจเลย

การทวงหนี้แบบควายๆ...โดยการใช้"มุขควาย" (แอบอ้างตัวเองเป็นตำรวจ)
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=18235&Itemid=29

การรับมือในการทวงหนี้ ลูกหนี้ต้องมีความรัดกุม รู้เขา-รู้เรา ดังนั้นทางที่ดีในการพูดคุยกับนักทวงหนี้ ควรมีการบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างลูกหนี้กับนักทวงหนี้ไว้เอาด้วย(แต่อย่าไปบอกให้มันรู้) หากมีปัญหาอะไรเช่น เรื่องการข่มขู่ เราก็สามารถใช้เสียงที่บันทึกนี้ให้เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบได้

นักทวงหนี้จำนวนไม่น้อยที่มักจะทวงหนี้กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ตัวลูกหนี้เช่น พ่อ แม่(ซึ่งอายุมากแล้ว) ญาติ พี่น้อง(ที่ไม่รู้เรื่องด้วย) หรือเพื่อนร่วมงาน
การทวงหนี้ในลักษณะนี้เข้าข่ายหมิ่นประมาท และผิดกฎหมายอย่างแน่นอน ลูกหนี้สามารถฟ้องร้องได้ การรับมือกับการทวงหนี้ในลักษณะนี้ ให้ลูกหนี้อธิบายต่อคนใกล้ชิดให้เข้าใจว่า หนี้สินของเรานั้น นักทวงหนี้ไม่สามารถติดตามหรือทวงหนี้จากคนอื่นได้ คนใกล้ตัวเราจะได้ไม่ตกใจกลัว และหากพวกเขารู้สถานการณ์ว่าอะไรเป็นอะไร ก็จะสามารถจับต้นชนปลายได้ถูก และจะได้ช่วยตอกกลับพวกนักทวงหนี้(เลวๆ)ที่ไม่รู้จักกาลเทศะได้อีกทางหนึ่ง


วิธีทวงหนี้แบบเลวๆ ที่พนักงานทวงหนี้มักใช้กัน

เป็นเทคนิคที่ชอบอ้างถึงกฎหมายที่ลูกหนี้ส่วนมากไม่มีความรู้ จึงเปิดโอกาสให้นักทวงหนี้ดำเนินการไปตามเกมส์ของเขาซึ่งมีหลายวิธีดังนี้


- โทรศัพท์มาทวงหนี้
คือการตืดต่อทวงหนี้ด้วยการใช้โทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นการโทรเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของลูกหนี้ , โทรศัพท์เข้าที่ทำงานของลูกหนี้ , โทรศัพท์ไปที่บ้านของลูกหนี้ แล้วใช้คำพูดข่มขู่ว่า หากไม่ชำระหนี้ ก็จะทำการส่งเรื่องต่อไปตามระบบ หรือส่งเรื่องออกไปให้สำนักงานข้างนอก(ซึ่งก็คือการส่งเรื่องไปให้บริษัทรับจ้างทวงหนี้ข้างนอก ซึ่งส่วนมากจะใช้ชื่อบริษัทว่า สำนักงานกฏหมาย / สำนักงานทนายความ เป็นต้น) หรือ ขู่ว่าจะส่งเรื่องส่งฟ้องศาล(ทั้งๆที่ลูกหนี้เพิ่งจะหยุดจ่ายเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น)
หากลูกหนี้ยังเพิกเฉยต่อการข่มขู่ต่างๆเหล่านี้ ในสัปดาห์หน้าและสัปดาห์ต่อๆไป นักทวงหนี้ก็จะโทรศัพท์เข้ามาข่มขู่ด้วยถ้อยคำเดิมๆทุกครั้งไป...เช่น

๐ สัปดาห์ที่ 1...คุณหยุดจ่ายมา 3เดือนแล้วนะ หากวันนี้คุณยังไม่จ่ายเข้ามา พรุ่งนี้เราจะทำเรื่อง
ส่งฟ้องศาลแล้วนะ

๐ สัปดาห์ที่ 2...ผมบอกให้คุณจ่ายตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว คุณก็ยังไม่เชื่อฟังอีก งั้นอาทิตย์นี้เราจะทำเรื่อง
ฟ้องศาลจริงๆแล้วนะ

๐ สัปดาห์ที่ 3...นี่คุณ ทำไมถึงยังไม่จ่ายอีก จะให้เราส่งฟ้องศาลจริงๆใช่ไหม?

๐ สัปดาห์ที่ 4...ถ้าคุณยังไม่ยอมจ่ายดีๆ คราวนี้เราจะทำเรื่องฟ้องศาลจริงๆแล้วนะ เตรียมรับหมายศาลได้เลย

๐ สัปดาห์ที่ 5...คุณต้องจ่ายเข้ามาก่อนบางส่วน ไม่อย่างนั้นเราฟ้องคุณจริงๆแล้วนะ ไม่ได้โกหก

๐ สัปดาห์ที่ 6...ได้รับหมายศาลแล้วหรือยัง? อ๋อ...ยังไม่ได้รับเหรอครับ งั้นก็เตรียมตัวไปขึ้นศาลได้เลยนะครับ

๐ สัปดาห์ที่ 7...มีเจ้าหน้าที่จากศาลโทรมาหาคุณหรือยัง ว่าจะให้ไปขึ้นศาลวันไหน? อ๋อ...ยังเหรอครับ
ถ้างั้น วันนี้คุณจ่ายเข้ามาก่อนบางส่วน เราจะไปถอนฟ้องให้ แต่ต้องจ่ายให้ได้ภายในเย็นวันนี้นะ

๐ สัปดาห์ที่ 8...เมื่อไหร่คุณจะจ่ายซะที ไม่งั้นเราจะฟ้องคุณจริงแล้วนะ ฟ้องจริงๆด้วย ไม่ได้ขู่

๐ สัปดาห์ที่ 9 และสัปดาห์ถัดต่อไปเรื่อยๆ ทุกสัปดาห์...จะฟ้องแล้วนะ...จะฟ้องแล้วนะ...จะฟ้องแล้วนะ...
จะฟ้องจริงๆแล้วนะ...จะฟ้องจริงๆด้วย...ฯลฯ

หากลูกหนี้รู้สึกเบื่อหน่าย กับคำพูดข่มขู่ที่ซ้ำซากจำเจแบบนี้ ลูกหนี้สามารถตอบกลับไปได้ว่า

เออ...กูรู้แล้ว มึงก็ฟ้องจริงๆซะทีสิวะ

เอาแต่พูดอยู่ได้ ว่าฟ้องแล้วนะ ฟ้องแล้วนะ ฟ้องแล้วนะ

กูรอรับหมายศาลมานานจนเซ็งแล้วนะโว้ย


- ส่งจดหมายทวงหนี้
เป็นจดหมายที่ส่งมาทวงหนี้ในลักษณะข่มขู่ จะมีข้อความที่ประทับตรายางสีแดงเช่น “อนุมัติฟ้องภายใน 24 ช.ม.” , “ด่วน อนุมัติฟ้อง” , “เตือนให้ชำระหนี้ครั้งสุดท้าย” , “ด่วน นำพนักงานสืบทรัพย์ตรวจสอบตามภูมิลำเนา”...คำขู่พวกนี้หากลูกหนี้ที่รู้เท่าทันก็ไม่ต้องตกใจ เพราะถ้ามีการฟ้องศาลจริง จะต้องมีหมายเลขคดีดำ และหมายศาลจะส่งไปยังที่อยู่ตามสำเนาทะเบียนบ้านเท่านั้น จดหมายทวงหนี้ในลักษณะนี้ส่งมาเพื่อเตือนให้รีบไปชำระหนี้ ในส่วนของลูกหนี้ให้คิดเสียว่า ถ้าเจ้าหนี้อยากจะฟ้องก็เชิญฟ้องไปเลย เพราะในความเป็นจริง กว่าจะส่งเรื่องฟ้องศาล เจ้าหนี้ต้องใช้เวลาในการทวงหนี้นานเป็นปี ดังนั้นในระหว่างนี้ ลูกหนี้จะได้รับจดหมายทวงหนี้ในลักษณะเช่นนี้ ทุกวัน , ทุกสัปดาห์ , ทุกเดือน เรื่อยไปจนกว่าจะครบปี จนเกิดความสงสัยขึ้นว่า...“เมื่อไหร่มันจะฟ้องตรูจริงๆซะทีวะ?”

ข้อความในจดหมายทวงหนี้
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=4428&Itemid=29


- เจ้าหนี้แจ้งว่าจะยึดทรัพย์
ซึ่งเป็นการข่มขู่ที่ผิดกฎหมาย การที่เจ้าหนี้จะยึดทรัพย์ลูกหนี้ได้นั้น จะต้องมีการฟ้องศาลดำเนินคดีทางแพ่งเสียก่อน การยึดทรัพย์ต้องใช้คำสั่ง"บังคับคดี"จากหน่วยงานของรัฐฯ จึงจะดำเนินการยึดทรัพย์ได้ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ตามอำเภอใจโดยละเมิดกฏหมาย

ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับหน้าที่ของศาล
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=9240&Itemid=29

หากลูกหนี้(จำเลย)ไม่มีเงินเดือนและทรัพย์สิน...จะเป็นอย่างไร?
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=8746&Itemid=52


- เจ้าหนี้แจ้งว่าจะส่งเจ้าหน้าที่มาทวงเงินในที่ทำงานของลูกหนี้ พูดง่ายๆก็คือ ตามทวงหนี้ถึงที่ทำงานกันเลยทีเดียว กรณีนี้ถ้าลูกหนี้ไม่อนุญาตให้เข้าพบ หากพนักงานทวงหนี้ยัง"หน้าด้าน"ฝ่าฝืน...ก็มีสิทธิ์เจอข้อหาบุกรุกได้เลย


นอกจากนี้เจ้าหนี้ยังมีการข่มขู่อีกหลายเรื่องที่เคยทำกันมาแล้วได้ผลเช่น ขู่ว่าจะอายัดเงินเดือน ทั้งๆที่ยังไม่ได้ส่งเรื่องฟ้องศาลเลย เจ้าหนี้จึงไม่สามารถอายัดเงินเดือนของลูกหนี้ได้ เพราะการอายัดเงินเดือนต้องมีคำสั่ง"อายัดเงินเดือน"จากหน่วยงานของรัฐฯ(เจ้าพนักงานบังคับคดี) และการอายัดเงินเดือนทำได้เต็มที่ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนลูกหนี้ และถ้ามีเจ้าหนี้อยู่หลายราย ก็ต้องแบ่งสรรปันส่วนกันไปภายใน 30 เปอร์เซ็นต์นั้นๆ...หรือเจ้าหนี้อาจต้อง"เข้าแถว"รอคิวการอายัดเงินเดือนต่อๆกันไป (ใครฟ้องก่อน ก็อายัดได้ก่อนเป็นคิวแรก ใครฟ้องช้า/ฟ้องทีหลัง ก็ต้องมานั่งเข้าแถวรออายัดเป็นคิวถัดไป)

ไขข้อข้องใจ “การอายัดเงินเดือน”
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=28147&Itemid=52

เจ้าหนี้มีสิทธิ์ในการทวงหนี้ได้ แต่ต้องปฏิบัติตัวให้อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย และทำการทวงหนี้อย่างเหมาะสม โดยไม่เป็นการรบกวนการทำงานหรือการดำเนินชีวิตประจำวันของลูกหนี้จนเกินพอดี เจ้าหนี้ต้องมีการแสดงตัว แจ้งชื่อ-นามสกุล สำนักงานที่สังกัด ไม่คุกคามลูกหนี้เช่น ประจานหรือข่มขู่ และที่สำคัญต้องไม่เปิดเผยความลับของลูกหนี้แก่บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

จะเห็นได้ว่าการติดตามทวงหนี้ของเจ้าหนี้ในปัจจุบันที่ทำกัน มักออกมาในลักษณะของการข่มขู่ในเรื่องต่างๆ ที่ถือว่าผิดกฎหมาย จนในระยะหลังมานี้ ลูกหนี้เริ่มรู้เท่าทันเจ้าหนี้จึงได้มีการฟ้องร้องกลับ จนเจ้าหนี้เป็นฝ่ายแพ้คดีไปก็มีจำนวนไม่น้อย หากลูกหนี้มีข้อสงสัยในการทวงหนี้ของเจ้าหนี้ว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากประกาศของธนาคารแห่งป

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

8 ปี 9 เดือน ที่ผ่านมา #72048 โดย อ้อย

front2000 เขียน: หลังจากที่จ่ายขั้นต่ำมาตลอด..เริ่มคิดว่าเมื่อไหร่จะหมด
แรกๆก็กลัวการเสียเครดิต..แต่คิดดูแล้วว่าถ้าเรายังฝืนจ่ายแบบนี้มีแต่จะแย่..หนี้ที่มีอยู่ค่ะ
1.ยูเมะพลัส=16000
2.firstchoice=32000
3.บัตรเครดิตกสิกร=29000
4.บัตรกดเงินสดกสิกร=29000
5.พรอมมิส=31000
6.บัตรกดเงินอิออน=25000
7.บัตรเครดิตอิออน=30000
อยากทราบการทวงหนี้คร่าวๆของแต่ละเจ้าและประสบการณ์h/cค่ะ (o_O)


รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในกระทู้ปักหมุดด้านล่างนี้ครับ


debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=939&Itemid=64

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

8 ปี 9 เดือน ที่ผ่านมา #72314 โดย front2000
ขอบคุนค่า :love: แล้วจะมาแจ้งความคืบหน้านะคะ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

ผู้ดูแล: MommyangelBadmankonsiam
เวลาที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บ: 0.701 วินาที
ขับเคลื่อนโดย ระบบฟอรัม Kunena