มีความคิดว่าจะหยุดจ่ายหลังได้ไปขึ้นศาลแล้ว

8 ปี 2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา #83839 โดย MMME
สวัสดีค่ะ อยากรบกวนขอคำแนะนำจากทุกท่าน

เนื่องจากเราได้ไปขึ้นศาลวันที่ 23 มค. ที่ผ่านมา โดยฝ่ายทนายของโจทย์ยื่นข้อเสนอก่อนเจอศาล (ไม่ทราบว่าใช้คำแบบนี้จะถูกต้องไหมเพราะไม่ทราบจริงๆ) ให้ทางเราจ่ายงวดล่ะ 2,000 บาท ซึ่งทางเราปฎิเสธเนื่องจากภาระปัจจุบันรวมทั้งเงินเดือนนั้น ไม่เพียงพอต่อการชำระและขอให้ลดหย่อยจำนวนลงหน่อย และขอรอคุยกับศาล แต่ปรากฎว่าเมื่อศาลเข้ามากลับหันไปถามแต่เงื่อนไขของทางทนายฝ่ายโจทย์ และหันมาพูดกับทางเราแค่ว่า ถ้าไม่ยอมตกลง ก็ไปเสียค่าทนาย 6,000 บาทนะ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ทราบข้อมูลและวิธีอะไรเลย รวมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าทนายถึง 6,000 บาท ตามที่ศาลได้แจ้งไว้ จึงได้ขอยอมความ และเซ็นรับไป และในทุกวันที่ 23 ของเดือนทางเราจะต้องชำระเงินให้แก่ฝ่ายโจทย์ เป็นเวลา 12 เดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 24,000 บาท ซึ่งหลังจากนั้น ทางจนท.โทรมาให้เราชำระตามที่แจ้งไว้ แต่บอกว่าหลังจาก 12 เดือนนี้ จะโทรมาคุยอีกทีว่าจะเอายังไง ตรงนี้เรางงมากค่ะ สรุปว่าเราต้องมาจ่ายหลังจาก 12 เดือนอีกหรอ ? และในตอนนี้เรากลายเป็นคน "หาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า" เรียบร้อยแล้ว เลยมีความคิดที่ว่าหากจะหยุดจ่ายในแต่ละเดือน จะทำได้ไหมคะ หรือจะขอผ่อนผัน เพื่อจ่ายให้น้อยลงกว่าเดิมในแต่ละเดือนจะได้ไหม เพราะในวันนั้นศาลพูดกับจำเลย(คนอื่น)ก่อนหน้านี้ว่า "จ่ายๆไปก่อน จ่ายไม่ไหวก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางโจทย์มาฟ้องใหม่" ซึ่งเราฟังแล้วก็งงๆว่าตกลงเรามาทำอะไร และทำอะไรได้บ้าง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

8 ปี 2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา #83844 โดย tha

MMME เขียน: สวัสดีค่ะ อยากรบกวนขอคำแนะนำจากทุกท่าน

เนื่องจากเราได้ไปขึ้นศาลวันที่ 23 มค. ที่ผ่านมา โดยฝ่ายทนายของโจทย์ยื่นข้อเสนอก่อนเจอศาล (ไม่ทราบว่าใช้คำแบบนี้จะถูกต้องไหมเพราะไม่ทราบจริงๆ) ให้ทางเราจ่ายงวดล่ะ 2,000 บาท ซึ่งทางเราปฎิเสธเนื่องจากภาระปัจจุบันรวมทั้งเงินเดือนนั้น ไม่เพียงพอต่อการชำระและขอให้ลดหย่อยจำนวนลงหน่อย และขอรอคุยกับศาล แต่ปรากฎว่าเมื่อศาลเข้ามากลับหันไปถามแต่เงื่อนไขของทางทนายฝ่ายโจทย์ และหันมาพูดกับทางเราแค่ว่า ถ้าไม่ยอมตกลง ก็ไปเสียค่าทนาย 6,000 บาทนะ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ทราบข้อมูลและวิธีอะไรเลย รวมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าทนายถึง 6,000 บาท ตามที่ศาลได้แจ้งไว้ จึงได้ขอยอมความ และเซ็นรับไป และในทุกวันที่ 23 ของเดือนทางเราจะต้องชำระเงินให้แก่ฝ่ายโจทย์ เป็นเวลา 12 เดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 24,000 บาท ซึ่งหลังจากนั้น ทางจนท.โทรมาให้เราชำระตามที่แจ้งไว้ แต่บอกว่าหลังจาก 12 เดือนนี้ จะโทรมาคุยอีกทีว่าจะเอายังไง ตรงนี้เรางงมากค่ะ สรุปว่าเราต้องมาจ่ายหลังจาก 12 เดือนอีกหรอ ? และในตอนนี้เรากลายเป็นคน "หาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า" เรียบร้อยแล้ว เลยมีความคิดที่ว่าหากจะหยุดจ่ายในแต่ละเดือน จะทำได้ไหมคะ หรือจะขอผ่อนผัน เพื่อจ่ายให้น้อยลงกว่าเดิมในแต่ละเดือนจะได้ไหม เพราะในวันนั้นศาลพูดกับจำเลย(คนอื่น)ก่อนหน้านี้ว่า "จ่ายๆไปก่อน จ่ายไม่ไหวก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางโจทย์มาฟ้องใหม่" ซึ่งเราฟังแล้วก็งงๆว่าตกลงเรามาทำอะไร และทำอะไรได้บ้าง

สู้ๆๆนะคะ เป็นกำลังใจให้คะ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

8 ปี 1 สัปดาห์ ที่ผ่านมา #84034 โดย MMME
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ เรายังหาทางออกไม่ได้เลยค่ะ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

8 ปี 1 สัปดาห์ ที่ผ่านมา #84041 โดย Werachon

MMME เขียน: สวัสดีค่ะ อยากรบกวนขอคำแนะนำจากทุกท่าน

เนื่องจากเราได้ไปขึ้นศาลวันที่ 23 มค. ที่ผ่านมา โดยฝ่ายทนายของโจทย์ยื่นข้อเสนอก่อนเจอศาล (ไม่ทราบว่าใช้คำแบบนี้จะถูกต้องไหมเพราะไม่ทราบจริงๆ) ให้ทางเราจ่ายงวดล่ะ 2,000 บาท ซึ่งทางเราปฎิเสธเนื่องจากภาระปัจจุบันรวมทั้งเงินเดือนนั้น ไม่เพียงพอต่อการชำระและขอให้ลดหย่อยจำนวนลงหน่อย และขอรอคุยกับศาล แต่ปรากฎว่าเมื่อศาลเข้ามากลับหันไปถามแต่เงื่อนไขของทางทนายฝ่ายโจทย์ และหันมาพูดกับทางเราแค่ว่า ถ้าไม่ยอมตกลง ก็ไปเสียค่าทนาย 6,000 บาทนะ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ทราบข้อมูลและวิธีอะไรเลย รวมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าทนายถึง 6,000 บาท ตามที่ศาลได้แจ้งไว้ จึงได้ขอยอมความ และเซ็นรับไป และในทุกวันที่ 23 ของเดือนทางเราจะต้องชำระเงินให้แก่ฝ่ายโจทย์ เป็นเวลา 12 เดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 24,000 บาท ซึ่งหลังจากนั้น ทางจนท.โทรมาให้เราชำระตามที่แจ้งไว้ แต่บอกว่าหลังจาก 12 เดือนนี้ จะโทรมาคุยอีกทีว่าจะเอายังไง ตรงนี้เรางงมากค่ะ สรุปว่าเราต้องมาจ่ายหลังจาก 12 เดือนอีกหรอ ? และในตอนนี้เรากลายเป็นคน "หาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า" เรียบร้อยแล้ว เลยมีความคิดที่ว่าหากจะหยุดจ่ายในแต่ละเดือน จะทำได้ไหมคะ หรือจะขอผ่อนผัน เพื่อจ่ายให้น้อยลงกว่าเดิมในแต่ละเดือนจะได้ไหม เพราะในวันนั้นศาลพูดกับจำเลย(คนอื่น)ก่อนหน้านี้ว่า "จ่ายๆไปก่อน จ่ายไม่ไหวก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางโจทย์มาฟ้องใหม่" ซึ่งเราฟังแล้วก็งงๆว่าตกลงเรามาทำอะไร และทำอะไรได้บ้าง


อันนี้ประสบการณ์ของคุณ kaipenthai ครับ

เล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังคร่าวๆๆดังนี้ครับ

1. หลังได้รับคำพิพากษา (เหมือนของคุณ candyj) ก็ไม่ได้ติดต่อ ทนายสำนักกฎหมาย เลยเกือบ 2 เดือน
2. พอผ่าน 2 เดือนเต็มลองฟอร์มโทรไปเช็คว่า เรื่องไปถึงไหนแล้ว......หมายถึงว่า โดนส่งฟ้องบังคับคดีหรือยัง????
3. แล้วก็พยายามถ่วงเวลา เจรจาหนี้อีก 2 เดือน เช่น ทำใบผ่อนต่อเดือนแบบน้อยๆๆเข้าไปต่อรองกับ ทนายเจ้าหนี้ ส่งกลับไป กลับมา 3 รอบ ประมาณนี้
4. คำนวณคร่าวๆๆ เริ่มส่งผ่อนจ่าย หลังได้รับคำพิพากษา ก็เดือนที่ 6-7 ไปแล้วน่ะครับ
5. ช่วง 3 เดือนแรกที่ส่งไปก็ส่งไปตามที่ผมบอกไว้เช่น 3,000 บาท/เดือน (ยอดหนี้ 160,000 บาท) ก็ส่งครบไปก่อน
6. หลังจากนั้นก็ขอต่อรองเหลือ 2,000 โดยอ้างว่า ยังมีหนี้อีกหลายตัว ซึ่งเจ้าหนี้ก็ยินยอม แล้วก้ผ่อนมาเรื่อยๆๆอีกประมาณ 6 เดือน
7. แล้วก็ขอหยุดชำระ 2 เดือน โดยผมบอกว่าจะขอเก็บเงินก้อนไป HC หนี้บัตรอีกราย เพราะได้สวนลด 60% โดยบอกว่าจะส่งผลดีต่อทั้ง คุณ และ ผม ซึ่งเจ้าหนี้ก็ยินดี...กะว่าเดือนหน้าจะกลับมาจ่ายขั้นบันไดอีกรอบ สัก 1,000-1,500 บาท พอและครับ
8. ระหว่างนี้ก็เก็บเงินสดไปเรื่อยๆ กะว่าเมื่อไหร่ที่ได้สวนลด ที่พอใจกับเงินที่มีอยู่ก็จะ hc ไปเลยครับ
9. ที่ทำแบบนี้เพราะไม่อยากโดนบังคับคดี อายัดเงินเดือน 30% เพราะมันจะโดนหักมาก จึงไม่เหมาะกับ case ของผม
10. สำหรับค่าทนาย ก็ไม่ได้จ่ายอะไรทั้งสิ้น อย่าไปเครียดกับยอดหนี้ ตัวเลขเลย เพราะสุดท้ายกับได้ hc แล้ว ตัวเลขหนี้เหล่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องไปสนใจนั่นเอง

โชคดีครับ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

8 ปี 1 สัปดาห์ ที่ผ่านมา #84116 โดย MMME

Werachon เขียน:

MMME เขียน: สวัสดีค่ะ อยากรบกวนขอคำแนะนำจากทุกท่าน

เนื่องจากเราได้ไปขึ้นศาลวันที่ 23 มค. ที่ผ่านมา โดยฝ่ายทนายของโจทย์ยื่นข้อเสนอก่อนเจอศาล (ไม่ทราบว่าใช้คำแบบนี้จะถูกต้องไหมเพราะไม่ทราบจริงๆ) ให้ทางเราจ่ายงวดล่ะ 2,000 บาท ซึ่งทางเราปฎิเสธเนื่องจากภาระปัจจุบันรวมทั้งเงินเดือนนั้น ไม่เพียงพอต่อการชำระและขอให้ลดหย่อยจำนวนลงหน่อย และขอรอคุยกับศาล แต่ปรากฎว่าเมื่อศาลเข้ามากลับหันไปถามแต่เงื่อนไขของทางทนายฝ่ายโจทย์ และหันมาพูดกับทางเราแค่ว่า ถ้าไม่ยอมตกลง ก็ไปเสียค่าทนาย 6,000 บาทนะ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ทราบข้อมูลและวิธีอะไรเลย รวมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าทนายถึง 6,000 บาท ตามที่ศาลได้แจ้งไว้ จึงได้ขอยอมความ และเซ็นรับไป และในทุกวันที่ 23 ของเดือนทางเราจะต้องชำระเงินให้แก่ฝ่ายโจทย์ เป็นเวลา 12 เดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 24,000 บาท ซึ่งหลังจากนั้น ทางจนท.โทรมาให้เราชำระตามที่แจ้งไว้ แต่บอกว่าหลังจาก 12 เดือนนี้ จะโทรมาคุยอีกทีว่าจะเอายังไง ตรงนี้เรางงมากค่ะ สรุปว่าเราต้องมาจ่ายหลังจาก 12 เดือนอีกหรอ ? และในตอนนี้เรากลายเป็นคน "หาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า" เรียบร้อยแล้ว เลยมีความคิดที่ว่าหากจะหยุดจ่ายในแต่ละเดือน จะทำได้ไหมคะ หรือจะขอผ่อนผัน เพื่อจ่ายให้น้อยลงกว่าเดิมในแต่ละเดือนจะได้ไหม เพราะในวันนั้นศาลพูดกับจำเลย(คนอื่น)ก่อนหน้านี้ว่า "จ่ายๆไปก่อน จ่ายไม่ไหวก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางโจทย์มาฟ้องใหม่" ซึ่งเราฟังแล้วก็งงๆว่าตกลงเรามาทำอะไร และทำอะไรได้บ้าง


อันนี้ประสบการณ์ของคุณ kaipenthai ครับ

เล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังคร่าวๆๆดังนี้ครับ

1. หลังได้รับคำพิพากษา (เหมือนของคุณ candyj) ก็ไม่ได้ติดต่อ ทนายสำนักกฎหมาย เลยเกือบ 2 เดือน
2. พอผ่าน 2 เดือนเต็มลองฟอร์มโทรไปเช็คว่า เรื่องไปถึงไหนแล้ว......หมายถึงว่า โดนส่งฟ้องบังคับคดีหรือยัง????
3. แล้วก็พยายามถ่วงเวลา เจรจาหนี้อีก 2 เดือน เช่น ทำใบผ่อนต่อเดือนแบบน้อยๆๆเข้าไปต่อรองกับ ทนายเจ้าหนี้ ส่งกลับไป กลับมา 3 รอบ ประมาณนี้
4. คำนวณคร่าวๆๆ เริ่มส่งผ่อนจ่าย หลังได้รับคำพิพากษา ก็เดือนที่ 6-7 ไปแล้วน่ะครับ
5. ช่วง 3 เดือนแรกที่ส่งไปก็ส่งไปตามที่ผมบอกไว้เช่น 3,000 บาท/เดือน (ยอดหนี้ 160,000 บาท) ก็ส่งครบไปก่อน
6. หลังจากนั้นก็ขอต่อรองเหลือ 2,000 โดยอ้างว่า ยังมีหนี้อีกหลายตัว ซึ่งเจ้าหนี้ก็ยินยอม แล้วก้ผ่อนมาเรื่อยๆๆอีกประมาณ 6 เดือน
7. แล้วก็ขอหยุดชำระ 2 เดือน โดยผมบอกว่าจะขอเก็บเงินก้อนไป HC หนี้บัตรอีกราย เพราะได้สวนลด 60% โดยบอกว่าจะส่งผลดีต่อทั้ง คุณ และ ผม ซึ่งเจ้าหนี้ก็ยินดี...กะว่าเดือนหน้าจะกลับมาจ่ายขั้นบันไดอีกรอบ สัก 1,000-1,500 บาท พอและครับ
8. ระหว่างนี้ก็เก็บเงินสดไปเรื่อยๆ กะว่าเมื่อไหร่ที่ได้สวนลด ที่พอใจกับเงินที่มีอยู่ก็จะ hc ไปเลยครับ
9. ที่ทำแบบนี้เพราะไม่อยากโดนบังคับคดี อายัดเงินเดือน 30% เพราะมันจะโดนหักมาก จึงไม่เหมาะกับ case ของผม
10. สำหรับค่าทนาย ก็ไม่ได้จ่ายอะไรทั้งสิ้น อย่าไปเครียดกับยอดหนี้ ตัวเลขเลย เพราะสุดท้ายกับได้ hc แล้ว ตัวเลขหนี้เหล่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องไปสนใจนั่นเอง

โชคดีครับ


ขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับคำแนะนำ แต่ขอสอบถามเพิ่มเติมว่าเราต้องติดต่อไปหาทนายคนที่เราเคยเจอที่ศาล หรือให้โทรคุยกับทางเจ้าหนี้เราโดยตรงคะ เพราะเราไม่สามารถติดต่อทนายโจทย์ได้เลยค่ะ เบอร์ที่เขียนไว้ก็ติดต่อไม่ได้

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

8 ปี 6 วัน ที่ผ่านมา - 8 ปี 6 วัน ที่ผ่านมา #84140 โดย jackTs

MMME เขียน: เนื่องจากเราได้ไปขึ้นศาลวันที่ 23 มค. ที่ผ่านมา โดยฝ่ายทนายของโจทย์ยื่นข้อเสนอก่อนเจอศาล (ไม่ทราบว่าใช้คำแบบนี้จะถูกต้องไหมเพราะไม่ทราบจริงๆ) ให้ทางเราจ่ายงวดล่ะ 2,000 บาท ซึ่งทางเราปฎิเสธเนื่องจากภาระปัจจุบันรวมทั้งเงินเดือนนั้น ไม่เพียงพอต่อการชำระและขอให้ลดหย่อยจำนวนลงหน่อย และขอรอคุยกับศาล แต่ปรากฎว่าเมื่อศาลเข้ามากลับหันไปถามแต่เงื่อนไขของทางทนายฝ่ายโจทย์ และหันมาพูดกับทางเราแค่ว่า ถ้าไม่ยอมตกลง ก็ไปเสียค่าทนาย 6,000 บาทนะ


ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับหน้าที่ของศาล
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=9240&Itemid=64



MMME เขียน: ซึ่งตอนนั้นเราไม่ทราบข้อมูลและวิธีอะไรเลย รวมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าทนายถึง 6,000 บาท ตามที่ศาลได้แจ้งไว้ จึงได้ขอยอมความ และเซ็นรับไป และในทุกวันที่ 23 ของเดือนทางเราจะต้องชำระเงินให้แก่ฝ่ายโจทย์ เป็นเวลา 12 เดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 24,000 บาท ซึ่งหลังจากนั้น ทางจนท.โทรมาให้เราชำระตามที่แจ้งไว้ แต่บอกว่าหลังจาก 12 เดือนนี้ จะโทรมาคุยอีกทีว่าจะเอายังไง ตรงนี้เรางงมากค่ะ สรุปว่าเราต้องมาจ่ายหลังจาก 12 เดือนอีกหรอ ?


ปัญหา คือ เป็นหนี้บัตรเครดิต ได้ประนีประนอมที่ศาล
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=44003&Itemid=64#80210



MMME เขียน: และในตอนนี้เรากลายเป็นคน "หาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า" เรียบร้อยแล้ว เลยมีความคิดที่ว่าหากจะหยุดจ่ายในแต่ละเดือน จะทำได้ไหมคะ

หากคุณหยุดจ่าย เจ้าหนี้ก็จะยื่นเรื่องไปที่กรมบังคับคดี เพื่อให้ทำการอายัดเงินเดือน หรือ ยึดทรัพย์สินที่มีชื่อของคุณเป็นเจ้าของต่อไป...ตามที่เขียนกำหนดเอาไว้ในสัญญายอมความของศาล

ไขข้อข้องใจ “การอายัดเงินเดือน”
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=28147&Itemid=64

กฏเกณฑ์ การอายัด(ยึด)ทรัพย์สิน ภายในบ้านของจำเลย(ลูกหนี้)
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=2194&Itemid=64



MMME เขียน: หรือจะขอผ่อนผัน เพื่อจ่ายให้น้อยลงกว่าเดิมในแต่ละเดือนจะได้ไหม

ทำไม่ได้แล้วครับ เพราะสัญญายอมความที่คุณไปเซ็นต์ไว้ต่อหน้าศาล นั่นเป็นสัญญาที่โจทก์และจำเลยตกลงกันจะทำตามสัญญา โดยมีลายเซ็นต์ของผู้พิพากษาถึง 2ท่าน เซ็นต์กำกับพิพากษาเอาไว้อยู่ในด้านล่างสุดของสัญญาดังกล่าว



MMME เขียน: เพราะในวันนั้นศาลพูดกับจำเลย(คนอื่น)ก่อนหน้านี้ว่า "จ่ายๆไปก่อน จ่ายไม่ไหวก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางโจทย์มาฟ้องใหม่ " ซึ่งเราฟังแล้วก็งงๆว่าตกลงเรามาทำอะไร และทำอะไรได้บ้าง

ไม่มีการฟ้องใหม่อีกแล้วครับ เพราะสัญญายอมความฉบับดังกล่าว ถือว่าเป็นอันสิ้นสุดของคดีความไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ...ไม่มีทางไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว



MMME เขียน: ขอสอบถามเพิ่มเติมว่าเราต้องติดต่อไปหาทนายคนที่เราเคยเจอที่ศาล หรือให้โทรคุยกับทางเจ้าหนี้เราโดยตรงคะ เพราะเราไม่สามารถติดต่อทนายโจทย์ได้เลยค่ะ เบอร์ที่เขียนไว้ก็ติดต่อไม่ได้

ถึงคุณจะโทรไปติดต่อกับใครก็ไม่มีประโยชน์แล้วครับ เพราะสัญญาฉบับดังกล่าว ไม่สามารถแก้ไขให้เป็นอื่นได้อีกแล้ว ผมถึงได้เขียนเตือนเอาไว้อยู่ในกระทู้นี้ไงครับ เกี่ยวกับเรื่องแนวทางที่ 2.

วิธีการนี้ เหมาะสำหรับลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้“เพียงรายเดียว”เท่านั้น...หรือ เหลือเจ้าหนี้แค่รายนี้“เป็นรายสุดท้าย
เพราะถ้าหากลูกหนี้มีเจ้าหนี้หลายราย แล้วดันไปเซ็นต์สัญญา"ประนีประนอมยอมความ"ในชั้นศาล กับเจ้าหนี้หมดทุกราย แล้วจะมีปัญญาไปผ่อนจ่ายตามสัญญาหมดทุกฉบับไหวไหม?...มันก็เข้าอีหรอบเดิมเหมือนกับตอนที่ต้องผ่อนจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ทุกราย ก่อนที่จะถูกฟ้องศาลนั่นแหละ...จริงไหม?

ดังนั้น ตัวของลูกหนี้เอง จะต้องมีความมั่นใจเป็นอย่างสูงว่า หากเซ็นต์ชื่อลงในสัญญาแล้ว จะต้องปฎิบัติให้ได้ตามข้อตกลงในสัญญา เพราะในสัญญาฉบับนี้ มีลายเซ็นต์ของผู้พิพากษาลงนามเป็นพยานด้วย หากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายตามข้อตกลงได้ สัญญาประนีประนอมยอมความที่เซ็นต์ไปนี้ ก็จะถือว่าเป็น“โมฆะ” และจะถูกย้อนให้กลับไปใช้ตัวเลขตามมูลหนี้ทั้งหมด ที่ยังคงเหลือค้างอยู่ตามในสัญญาทันที
*** คิดง่ายๆก็คือการเอา"ตัวเลขสูงสุด"ในหมายฟ้อง ลบด้วยจำนวนเงินต้นที่ได้เคยผ่อนไปบ้างแล้วตามสัญญาฉบับนี้(ถ้ามี) แล้วที่เหลือก็คือเงินหนี้ที่จะต้องจ่ายต่ออีก บวกด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี(ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา) โดยดอกเบี้ยจำนวนนี้ จะเดินต่อไปเรื่อยๆไม่มีหยุด จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น ไม่ว่าจะชำระด้วยวิธีการอย่างใดก็ตาม ***
อีกทั้ง ทางฝ่ายโจทก์ยังสามารถยื่นเรื่องตรงไปที่“กรมบังคับคดี”ได้เลย โดยไม่ต้องฟ้องซ้ำอีกแล้ว และจำเลยก็ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ด้วย เพราะถือว่าจำเลยได้ทำสัญญาดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นไปแล้ว ซึ่งสัญญาฉบับนี้มีความหมายเทียบเท่ากับว่า โจทก์และจำเลยขอยินยันให้ศาลพิพากษาไปตามสัญญาการผ่อนชำระฉบับนี้ได้เลย โดยมีลายเซ็นต์ของทุกฝ่ายลงนามยืนยันไว้เป็นหลักฐาน

ดังนั้น...ถ้าหากลูกหนี้ทำการประเมินตัวเองแล้ว คาดว่าในภายภาคหน้าอาจจ่ายชำระตามข้อตกลงในสัญญาไม่ไหว ก็อย่าไปตกลงทำสัญญาดีกว่าครับ หันมาใช้วิธีการตามในแนวทางที่ 1. หรือแนวทางที่ 3. จะดีกว่า


อ้างอิงข้อมูลจาก
ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับหน้าที่ของศาล
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=9240&Itemid=64

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: MMME

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

8 ปี 6 วัน ที่ผ่านมา - 7 ปี 7 เดือน ที่ผ่านมา #84141 โดย jackTs

Werachon เขียน: อันนี้ประสบการณ์ของคุณ kaipenthai ครับ

เล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังคร่าวๆๆดังนี้ครับ

1. หลังได้รับคำพิพากษา (เหมือนของคุณ candyj) ก็ไม่ได้ติดต่อ ทนายสำนักกฎหมาย เลยเกือบ 2 เดือน
2. พอผ่าน 2 เดือนเต็มลองฟอร์มโทรไปเช็คว่า เรื่องไปถึงไหนแล้ว......หมายถึงว่า โดนส่งฟ้องบังคับคดีหรือยัง????
3. แล้วก็พยายามถ่วงเวลา เจรจาหนี้อีก 2 เดือน เช่น ทำใบผ่อนต่อเดือนแบบน้อยๆๆเข้าไปต่อรองกับ ทนายเจ้าหนี้ ส่งกลับไป กลับมา 3 รอบ ประมาณนี้
4. คำนวณคร่าวๆๆ เริ่มส่งผ่อนจ่าย หลังได้รับคำพิพากษา ก็เดือนที่ 6-7 ไปแล้วน่ะครับ
5. ช่วง 3 เดือนแรกที่ส่งไปก็ส่งไปตามที่ผมบอกไว้เช่น 3,000 บาท/เดือน (ยอดหนี้ 160,000 บาท) ก็ส่งครบไปก่อน
6. หลังจากนั้นก็ขอต่อรองเหลือ 2,000 โดยอ้างว่า ยังมีหนี้อีกหลายตัว ซึ่งเจ้าหนี้ก็ยินยอม แล้วก้ผ่อนมาเรื่อยๆๆอีกประมาณ 6 เดือน
7. แล้วก็ขอหยุดชำระ 2 เดือน โดยผมบอกว่าจะขอเก็บเงินก้อนไป HC หนี้บัตรอีกราย เพราะได้สวนลด 60% โดยบอกว่าจะส่งผลดีต่อทั้ง คุณ และ ผม ซึ่งเจ้าหนี้ก็ยินดี...กะว่าเดือนหน้าจะกลับมาจ่ายขั้นบันไดอีกรอบ สัก 1,000-1,500 บาท พอและครับ
8. ระหว่างนี้ก็เก็บเงินสดไปเรื่อยๆ กะว่าเมื่อไหร่ที่ได้สวนลด ที่พอใจกับเงินที่มีอยู่ก็จะ hc ไปเลยครับ
9. ที่ทำแบบนี้เพราะไม่อยากโดนบังคับคดี อายัดเงินเดือน 30% เพราะมันจะโดนหักมาก จึงไม่เหมาะกับ case ของผม
10. สำหรับค่าทนาย ก็ไม่ได้จ่ายอะไรทั้งสิ้น อย่าไปเครียดกับยอดหนี้ ตัวเลขเลย เพราะสุดท้ายกับได้ hc แล้ว ตัวเลขหนี้เหล่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องไปสนใจนั่นเอง

โชคดีครับ


ในกรณีของ คุณ kaipenthai นั้น...เขาปล่อยให้ศาลพิพากษาไปเลย(โดยไม่ยอมไปเซ็นต์สัญญายอมความใดๆ) แล้วค่อยมาใช้วิธี"หักคอจ่าย"ภายหลังจากที่ได้รับคำพิพากษาแล้ว

แต่สำหรับของคุณ MMME นั้น...จะใช้วิธี"หักคอจ่าย"ไม่ได้...เพราะได้ไปเซ็นต์สัญญายอมความต่อหน้าศาลไปแล้ว...แทนที่จะปล่อยให้ศาลพิพากษาไปก่อน แล้วค่อยมาทำการ"หักคอจ่าย"ทีหลัง

ตัวอย่าง วิธีการ"หักคอจ่าย"(หน้าด้านจ่าย) ภายหลังจากได้รับคำพิพากษา
สอบถามเรื่องขึ้นศาลค่ะ
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=40812&Itemid=64#47926

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: MMME

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

8 ปี 6 วัน ที่ผ่านมา #84160 โดย MMME

นกกระจอกเทศ เขียน:

MMME เขียน: เนื่องจากเราได้ไปขึ้นศาลวันที่ 23 มค. ที่ผ่านมา โดยฝ่ายทนายของโจทย์ยื่นข้อเสนอก่อนเจอศาล (ไม่ทราบว่าใช้คำแบบนี้จะถูกต้องไหมเพราะไม่ทราบจริงๆ) ให้ทางเราจ่ายงวดล่ะ 2,000 บาท ซึ่งทางเราปฎิเสธเนื่องจากภาระปัจจุบันรวมทั้งเงินเดือนนั้น ไม่เพียงพอต่อการชำระและขอให้ลดหย่อยจำนวนลงหน่อย และขอรอคุยกับศาล แต่ปรากฎว่าเมื่อศาลเข้ามากลับหันไปถามแต่เงื่อนไขของทางทนายฝ่ายโจทย์ และหันมาพูดกับทางเราแค่ว่า ถ้าไม่ยอมตกลง ก็ไปเสียค่าทนาย 6,000 บาทนะ


ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับหน้าที่ของศาล
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=9240&Itemid=64



MMME เขียน: ซึ่งตอนนั้นเราไม่ทราบข้อมูลและวิธีอะไรเลย รวมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าทนายถึง 6,000 บาท ตามที่ศาลได้แจ้งไว้ จึงได้ขอยอมความ และเซ็นรับไป และในทุกวันที่ 23 ของเดือนทางเราจะต้องชำระเงินให้แก่ฝ่ายโจทย์ เป็นเวลา 12 เดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 24,000 บาท ซึ่งหลังจากนั้น ทางจนท.โทรมาให้เราชำระตามที่แจ้งไว้ แต่บอกว่าหลังจาก 12 เดือนนี้ จะโทรมาคุยอีกทีว่าจะเอายังไง ตรงนี้เรางงมากค่ะ สรุปว่าเราต้องมาจ่ายหลังจาก 12 เดือนอีกหรอ ?


ปัญหา คือ เป็นหนี้บัตรเครดิต ได้ประนีประนอมที่ศาล
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=44003&Itemid=64#80210



MMME เขียน: และในตอนนี้เรากลายเป็นคน "หาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า" เรียบร้อยแล้ว เลยมีความคิดที่ว่าหากจะหยุดจ่ายในแต่ละเดือน จะทำได้ไหมคะ

หากคุณหยุดจ่าย เจ้าหนี้ก็จะยื่นเรื่องไปที่กรมบังคับคดี เพื่อให้ทำการอายัดเงินเดือน หรือ ยึดทรัพย์สินที่มีชื่อของคุณเป็นเจ้าของต่อไป...ตามที่เขียนกำหนดเอาไว้ในสัญญายอมความของศาล

ไขข้อข้องใจ “การอายัดเงินเดือน”
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=28147&Itemid=64

กฏเกณฑ์ การอายัด(ยึด)ทรัพย์สิน ภายในบ้านของจำเลย(ลูกหนี้)
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=2194&Itemid=64



MMME เขียน: หรือจะขอผ่อนผัน เพื่อจ่ายให้น้อยลงกว่าเดิมในแต่ละเดือนจะได้ไหม

ทำไม่ได้แล้วครับ เพราะสัญญายอมความที่คุณไปเซ็นต์ไว้ต่อหน้าศาล นั่นเป็นสัญญาที่โจทก์และจำเลยตกลงกันจะทำตามสัญญา โดยมีลายเซ็นต์ของผู้พิพากษาถึง 2ท่าน เซ็นต์กำกับพิพากษาเอาไว้อยู่ในด้านล่างสุดของสัญญาดังกล่าว



MMME เขียน: เพราะในวันนั้นศาลพูดกับจำเลย(คนอื่น)ก่อนหน้านี้ว่า "จ่ายๆไปก่อน จ่ายไม่ไหวก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางโจทย์มาฟ้องใหม่ " ซึ่งเราฟังแล้วก็งงๆว่าตกลงเรามาทำอะไร และทำอะไรได้บ้าง

ไม่มีการฟ้องใหม่อีกแล้วครับ เพราะสัญญายอมความฉบับดังกล่าว ถือว่าเป็นอันสิ้นสุดของคดีความไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ...ไม่มีทางไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว



MMME เขียน: ขอสอบถามเพิ่มเติมว่าเราต้องติดต่อไปหาทนายคนที่เราเคยเจอที่ศาล หรือให้โทรคุยกับทางเจ้าหนี้เราโดยตรงคะ เพราะเราไม่สามารถติดต่อทนายโจทย์ได้เลยค่ะ เบอร์ที่เขียนไว้ก็ติดต่อไม่ได้

ถึงคุณจะโทรไปติดต่อกับใครก็ไม่มีประโยชน์แล้วครับ เพราะสัญญาฉบับดังกล่าว ไม่สามารถแก้ไขให้เป็นอื่นได้อีกแล้ว ผมถึงได้เขียนเตือนเอาไว้อยู่ในกระทู้นี้ไงครับ เกี่ยวกับเรื่องแนวทางที่ 2.

วิธีการนี้ เหมาะสำหรับลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้“เพียงรายเดียว”เท่านั้น...หรือ เหลือเจ้าหนี้แค่รายนี้“เป็นรายสุดท้าย
เพราะถ้าหากลูกหนี้มีเจ้าหนี้หลายราย แล้วดันไปเซ็นต์สัญญา"ประนีประนอมยอมความ"ในชั้นศาล กับเจ้าหนี้หมดทุกราย แล้วจะมีปัญญาไปผ่อนจ่ายตามสัญญาหมดทุกฉบับไหวไหม?...มันก็เข้าอีหรอบเดิมเหมือนกับตอนที่ต้องผ่อนจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ทุกราย ก่อนที่จะถูกฟ้องศาลนั่นแหละ...จริงไหม?

ดังนั้น ตัวของลูกหนี้เอง จะต้องมีความมั่นใจเป็นอย่างสูงว่า หากเซ็นต์ชื่อลงในสัญญาแล้ว จะต้องปฎิบัติให้ได้ตามข้อตกลงในสัญญา เพราะในสัญญาฉบับนี้ มีลายเซ็นต์ของผู้พิพากษาลงนามเป็นพยานด้วย หากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายตามข้อตกลงได้ สัญญาประนีประนอมยอมความที่เซ็นต์ไปนี้ ก็จะถือว่าเป็น“โมฆะ” และจะถูกย้อนให้กลับไปใช้ตัวเลขตามมูลหนี้ทั้งหมด ที่ยังคงเหลือค้างอยู่ตามในสัญญาทันที
*** คิดง่ายๆก็คือการเอา"ตัวเลขสูงสุด"ในหมายฟ้อง ลบด้วยจำนวนเงินต้นที่ได้เคยผ่อนไปบ้างแล้วตามสัญญาฉบับนี้(ถ้ามี) แล้วที่เหลือก็คือเงินหนี้ที่จะต้องจ่ายต่ออีก บวกด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี(ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา) โดยดอกเบี้ยจำนวนนี้ จะเดินต่อไปเรื่อยๆไม่มีหยุด จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น ไม่ว่าจะชำระด้วยวิธีการอย่างใดก็ตาม ***
อีกทั้ง ทางฝ่ายโจทก์ยังสามารถยื่นเรื่องตรงไปที่“กรมบังคับคดี”ได้เลย โดยไม่ต้องฟ้องซ้ำอีกแล้ว และจำเลยก็ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ด้วย เพราะถือว่าจำเลยได้ทำสัญญาดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นไปแล้ว ซึ่งสัญญาฉบับนี้มีความหมายเทียบเท่ากับว่า โจทก์และจำเลยขอยินยันให้ศาลพิพากษาไปตามสัญญาการผ่อนชำระฉบับนี้ได้เลย โดยมีลายเซ็นต์ของทุกฝ่ายลงนามยืนยันไว้เป็นหลักฐาน

ดังนั้น...ถ้าหากลูกหนี้ทำการประเมินตัวเองแล้ว คาดว่าในภายภาคหน้าอาจจ่ายชำระตามข้อตกลงในสัญญาไม่ไหว ก็อย่าไปตกลงทำสัญญาดีกว่าครับ หันมาใช้วิธีการตามในแนวทางที่ 1. หรือแนวทางที่ 3. จะดีกว่า


อ้างอิงข้อมูลจาก
ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับหน้าที่ของศาล
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=9240&Itemid=64


นี่เป็นการขึ้นศาลครั้งแรกของเราค่ะ ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย พอเราจะไม่ยอมประนีประนอมศาลก็บอกว่า งั้นคุณต้องเสีย 6000 บาทค่าทนายนะ คุณต้องจ่าย ซึ่งจุดนี้แหละค่ะ ที่ทำให้เรายอมเซ็นประนอมหนี้ คือเราไม่มีเงินค่าทนาย ขอบพระคุณสำหรับความคิดเห็น และความรู้เพิ่มเติมมากๆเลยค่ะ
ก็ต้องก้มหน้าชดใช้ต่อไป

ปล. เราไปขึ้นศาลที่ธัญบุรีค่ะ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

8 ปี 6 วัน ที่ผ่านมา #84161 โดย MMME
แล้วหลังจากนั้น ก็ปล่อยให้ท่านพิพากษาไปเลย

การปล่อยให้ศาลพิพากษาต้องทำอย่างไรหรอคะ คือตกลงกับโจทย์ไม่ได้ แล้วให้ศาลพิพากษาในวันนั้นเลยหรือเปล่าคะ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

8 ปี 6 วัน ที่ผ่านมา #84171 โดย jackTs

MMME เขียน: การปล่อยให้ศาลพิพากษาต้องทำอย่างไรหรอคะ คือตกลงกับโจทย์ไม่ได้ แล้วให้ศาลพิพากษาในวันนั้นเลยหรือเปล่าคะ


ไปอ่านสิครับ แนวทางที่ 3.

ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับหน้าที่ของศาล
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=9240&Itemid=64

ทำ Link ให้อ่านแล้ว...ก็กรุณาอ่านด้วยนะครับ
.

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

ผู้ดูแล: MommyangelBadmankonsiam
เวลาที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บ: 0.740 วินาที
ขับเคลื่อนโดย ระบบฟอรัม Kunena