ข้อ ๑. ตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ ความว่า มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้ “ข้อสัญญา” หมายความว่า ข้อตกลง ความตกลง และความยินยอม รวมทั้งประกาศ และคำแจ้งความเพื่อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดด้วย
“ผู้บริโภค” หมายความว่า ผู้เข้าทำสัญญาในฐานะ ผู้ซื้อ ผู้เช่า ผู้เช่าซื้อ ผู้กู้ ผู้เอาประกันภัย หรือ ผู้เข้าทำสัญญาอื่นใดเพื่อให้ได้มา ซึ่งทรัพย์สิน บริการ หรือประโยชน์อื่นใดโดยมีค่าตอบแทน ทั้งนี้ การเข้าทำสัญญานั้นต้องเป็นไปโดยมิใช่เพื่อการค้า ทรัพย์สิน บริการ หรือประโยชน์อื่นใดนั้น และให้หมายความรวมถึงผู้เข้าทำสัญญาในฐานะผู้ค้ำประกันของบุคคลดังกล่าวซึ่งมิได้กระทำเพื่อการค้าด้วย “ผู้ประกอบธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพ” หมายความว่า ผู้เข้าทำสัญญาในฐานะผู้ขาย ผู้ให้เช่า ผู้ให้เช่าซื้อ ผู้ให้กู้ ผู้รับประกันภัย หรือผู้เข้าทำสัญญาอื่นใดเพื่อจัดให้ซึ่งทรัพย์สิน บริการ หรือประโยชน์อื่นใด ทั้งนี้ การเข้าทำสัญญานั้นต้องเป็นไปเพื่อการค้า ทรัพย์สิน บริการ หรือประโยชน์อื่นใดนั้นเป็นทางค้าปกติของตน “สัญญาสำเร็จรูป” หมายความว่า สัญญาที่ทำเป็นลายลักษณ์อักษรโดยมีการกำหนดข้อสัญญาที่เป็นสาระสำคัญไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะทำในรูปแบบใด ซึ่งคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำมาใช้ในการประกอบกิจการของตน มาตรา ๔ ข้อตกลงในสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจการค้า หรือวิชาชีพ หรือในสัญญาสำเร็จรูป หรือในสัญญาขายฝาก ที่ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจการค้า หรือวิชาชีพ หรือผู้กำหนดสัญญาสำเร็จรูป หรือผู้ซื้อฝาก ได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควร เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และให้มีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่านั้น ในกรณีที่มีข้อสงสัยให้ตีความสัญญาสำเร็จรูปไปในทางที่เป็นคุณแก่ฝ่ายซึ่งมิได้เป็นผู้กำหนดสัญญาสำเร็จรูปนั้น ข้อตกลงที่มีลักษณะ หรือมีผลให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ปฏิบัติหรือรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติ เป็นข้อตกลงที่อาจถือได้ว่า ทำให้ได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น (๒) ข้อตกลงให้ต้องรับผิดหรือรับภาระมากกว่าที่กฎหมายกำหนด รายละเอียดปรากฎตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ สำเนาเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข ๑ ข้อ ๒. จำเลยขอให้การว่า ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน สำเนาเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข ๒ “ดอกเบี้ย” หมายความว่า (กฎ) น. ค่าตอบแทนที่บุคคลหนึ่งต้องใช้ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เพื่อการที่ได้ใช้เงินของบุคคลนั้น หรือเพื่อทดแทนการไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้อง ดังนั้น ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน ค่าปรับ ค่าติดตามหนี้ เป็นค่าตอบแทนที่จำเลยต้องใช้ให้แก่โจทก์ เพื่อการที่ได้ใช้เงินของโจทก์ หรือเพื่อทดแทนการไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้อง จึงเป็นดอกเบี้ยตามพจนานุกรม ที่โจทก์กำหนดเรียกชื่ออย่างอื่น ตามคำฟ้องข้อ ๒. จำเลยได้มาขอกู้ยืมเงินจากโจทก์ เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ โจทก์พิจารณาอนุมัติเงินกู้ให้จำเลย ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๔๙,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยรับเงินไปจากโจทก์ทั้งสิ้น ๘๙,๐๐๐ บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี คิดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินในอัตราร้อยละ ๑๓ ต่อปี ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามหนี้วันละ ๑๐ บาท ตามตารางการชำระเงินค่างวด และการหักชำระดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม สำเนาเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๘ จำเลยได้จัดทำตารางสรุป ตารางการชำระเงินค่างวด ฯ สำเนาเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข ๓ ปรากฏว่า โจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินจำนวน ๘๙,๐๐๐ บาท จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ไปแล้วเป็นเงิน ๗๖,๕๙๖ บาท หักแล้ว จำเลยคงค้างชำระเงินต้นจำนวน ๑๒,๔๐๔ บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยจำนวน ๓๒,๖๙๙ บาท คิดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินจำนวน ๒๘,๓๓๗ บาท ค่าทวงถามจำนวน ๑,๓๓๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๒,๓๖๖ บาท ซึ่งเป็นดอกเบี้ยตามพจนานุกรม เมื่อเปรียบเทียบกับจำเลยค้างชำระเงินต้น ๑๒,๔๐๔ บาท คิดเป็น ๕.๐๓ เท่าหรือ ๕๐๒.๗๙% ของเงินต้นคงค้าง จึงเป็นข้อตกลงในสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจการค้า และในสัญญาสำเร็จรูป ที่ทำให้โจทก์ผู้ประกอบธุรกิจการค้า และผู้กำหนดสัญญาสำเร็จรูปได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควร เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมและให้มีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่านั้น ตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๔ ตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๔ วรรค ๓ ข้อตกลงที่มีลักษณะ หรือมีผลให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ปฏิบัติหรือรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติ เป็นข้อตกลงที่อาจถือได้ว่า ทำให้ได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น (๒) ข้อตกลงให้ต้องรับผิดหรือรับภาระมากกว่าที่กฎหมายกำหนด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี โจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินจำนวน ๘๘,๙๐๐ บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ไปแล้ว โจทก์ยังกำหนดคิดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินในอัตราร้อยละ ๑๓ ต่อปี คิดค่าใช้จ่ายติดตามทวงถามวันละ ๑๐ บาท ซึ่งเป็นดอกเบี้ยตามพจนานุกรม จึงเป็นข้อตกลงให้จำเลยต้องรับผิดหรือรับภาระมากกว่าที่กฎหมายกำหนด เป็นข้อตกลงที่ถือได้ว่าทำให้โจทก์ได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควร เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมและให้มีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่านั้น ตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๔ ข้อ ๓. ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาไม่เป็นธรรม มาตรา ๑๐ ในการวินิจฉัยว่าข้อสัญญาจะมีผลบังคับเพียงใดจึงจะเป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณี ให้พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ทั้งปวง รวมทั้ง (๑) ความสุจริต อำนาจต่อรอง ฐานะทางเศรษฐกิจ ความรู้ความเข้าใข ความสันทัดจัดเจน ความคาดหมาย แนวทางที่เคยปฏิบัติ ทางเลือกอย่างอื่น และทางได้เสียทุกอย่างของคู่สัญญาตามสภาพที่เป็นจริง (๒) ปกติประเพณีของสัญญาชนิดนั้น (๓) เวลาและสถานที่ในการทำสัญญาหรือในการปฏิบัติตามสัญญา (๔) การรับภาระที่หนักกว่ามากของคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง จำเลยขอกราบเรียนว่า เมื่อได้พิจารณาถึงความสุจริต อำนาจต่อรอง ฐานะทางเศรษฐกิจ ความรู้ความเข้าใจ ความสันทัดจัดเจน ความคาดหมาย แนวทางที่เคยปฏิบัติ ทางเลือกอย่างอื่นระหว่างโจทก์และจำเลยแล้ว จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในการต่อรอง ฐานะทางเศรษฐกิจ โจทก์มีเหนือกว่าจำเลยทุกประการ มีความสันทัดจัดเจนในการทำสัญญา ด้วยมีบุคลากรทรงคุณวุฒิมีความเชี่ยวชาญในทางกฎหมายเพื่อร่างข้อตกลงดังกล่าว หรือทางเลือกของจำเลยในการทำสัญญาประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทใด ก็มีข้อตกลงในการคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินแบบเดียวกัน จำเลยจึงมีทางเลือกน้อยกว่า ทางได้เสียของคู่สัญญา โจทก์เป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินได้เองฝ่ายเดียว แม้จะอยู่ภายใต้ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อของโจทก์แล้ว ทางได้เสียของโจทก์ดีกว่าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินดังกล่าว จำเลยในฐานะผู้บริโภคต้องรับภาระที่หนักกว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจการค้าเป็นอย่างมาก ทำให้โจทก์ได้เปรียบจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควร ๔) การรับภาระที่หนักกว่ามากของคู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ภาระของโจทก์ในการทำธุรกิจ พิจารณาจากดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งเป็นต้นทุนการให้สินเชื่อ ตามข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับบุคคลธรรมดาของธนาคารพาณิชย์ ประจำวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ สำเนาเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข ๔ ธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศไทย ๕ อันดับแรก กรุงเทพ กรุงไทย กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา กำหนดให้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๑๒ เดือน แก่ผู้ฝากเงิน ในอัตราร้อยละ ๑.๕๐, ๑.๔๐, ๑.๓๐, ๑.๔๐, ๑.๓๕ ต่อปี สูงสุดเท่ากับอัตราร้อยละ ๑.๕๐ ต่อปี สินเชื่อกู้ยืมเงินจำนวน ๘๙,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุดร้อยละ ๑.๕๐ ต่อปี ต้นทุนเงินให้สินเชื่อ คิดเป็นเงินจำนวน ๑,๑๕๗ บาท (๘๘,๙๐๐ คูณ ๑.๕๐ หาร ๑๐๐ เท่ากับ ๑,๑๕๗) จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ คิดถึงวันฟ้องวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๙ เป็นเวลาเกือบ ๔ ปี คิดเป็นต้นทุนเงินให้สินเชื่อจำนวน ๔,๖๒๘ บาท (๑,๑๕๗ คูณ ๔ เท่ากับ ๔,๖๒๘) แต่โจทก์คิดดอกเบี้ยจำนวน ๓๒,๖๙๙ บาท คิดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินจำนวน ๒๘,๓๓๗ บาท ค่าทวงถามจำนวน ๑,๓๓๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๒,๓๖๖ บาทซึ่งเป็นดอกเบี้ยตามพจนานุกรม เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนเงินให้สินเชื่อจำนวน ๔,๖๒๘ บาท ต่างกันถึง ๕๗,๗๓๘ บาท (๖๒,๓๖๖ ลบ ๔,๖๒๘ เท่ากับ ๕๗,๗๓๘) คิดเป็น ๑,๒๔๗.๕๘% ของต้นทุนเงินฝาก จึงเห็นได้ว่า จำเลยผู้บริโภคต้องรับภาระที่หนักกว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจการค้าอย่างมาก จึงเป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และให้มีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและตามสมควรแก่กรณีเท่านั้น ข้อ ๔. ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ (เรื่อง สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ) อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๕ ข้อ ๗ ข้อ ๘ และข้อ ๑๔ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๑๕ ว่าด้วยการควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน สำเนาเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๙ จำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน ๘๙,๐๐๐ บาท จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ไปแล้วเป็นเงิน ๗๖,๕๙๖ บาท หักแล้ว จำเลยคงค้างชำระเงินต้นจำนวน ๑๒,๔๐๔ บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยจำนวน ๓๒,๖๙๙ บาท คิดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินจำนวน ๒๘,๓๓๗ บาท ค่าทวงถามจำนวน ๑,๓๓๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๒,๓๖๖ บาท ซึ่งเป็นดอกเบี้ยตามพจนานุกรม เมื่อเปรียบเทียบกับจำเลยค้างชำระเงินต้น ๑๒,๔๐๔ บาท คิดเป็น ๕.๐๓ เท่า หรือ ๕๐๒.๗๙% ของเงินต้นคงค้าง ก่อให้เกิดความเดือดร้อน และความไม่ผาสุกแก่จำเลยเป็นอันมาก จึงไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ว่าด้วยการควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน การกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐ และตามมาตรา ๑๗๓ ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น ตามใบสมัคร/หนังสือสัญญาเงินกู้ สำเนาเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๕ จำเลยทำงานที่บริษัท เสเวนเซ่นส์ (ไทย) จำกัด ฝ่าย Operation คำแหน่ง Cashier เงินเดือน ๑๑,๓๐๔ บาท พยายามจ่ายชำระหนี้ให้โจทก์มาโดยตลอด แต่ยอดหนี้ยังคงสูงมาก สุดท้ายก็ไม่สามารถจ่ายได้ จำเลยจึงกราบขอศาลท่านได้โปรดเมตตา เพื่อให้โอกาสจำเลยสามารถชำระหนี้ให้โจทก์ได้หมด การปล่อยให้ทุนต่างชาติคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินซึ่งเป็นดอกเบี้ยสูงมากเช่นนี้ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้บริโภคเป็นอันมาก ดังจะเห็นได้จาก มีคดีประชาชนผู้บริโภคถูกฟ้องต่อศาลเต็มไปหมด