อยากสอบถามอีกสักครั้ง

jokechai เขียน: อยากถามอีกสักข้อนะครับ ตอนนนี้ผมทำงานกิจการส่วนตัวอยู่ ชื่อกิจการเป็นชื่อผม ผมกลัวบัตรเครคิตจะฟ้อง

ผมจะเปลี่ยนชื่อกิจการเป็นชื่อคนอื่นจะมีผลไหมครับเวลาเค้าฟ้องศาล

ผมว่า3กระทู้ ที่อยู่ในข้างล่างนี้ อธิบายได้ชัดเจนดีที่สุดแล้วนะ

www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=2194&Itemid=29

www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=10&func=view&catid=2&id=7106

debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=5&id=2247&Itemid=29

วันนี้อิออน โทรมาบอกว่ามีส่วนลดให้แต่ต้องแฟ๊กซ์บัตรประชาชนให้เค้าด้วยถึงทำเรื่องส่วนลดได้ไม่ทราบว่าจริงไหมครับ เพราะที่อื่นไม่เห็นต้องแฟ็กซ์ไปเลยก็ได้ส่วนลด อยากรบกวนถามพวกพี่ หน่อยครับ

แต่ละที่แต่ละเจ้าหนี้นโยบายไม่เหมือนกัน หากเขาให้ส่งไปแล้ว
คุณได้ลดตามที่ต้องการ ก็ส่งไป แต่อย่าลืมขีดคร่อมว่า เพื่อขอ
ส่วนลด......เท่านั้นค่ะ

เจรจาแฮร์คัตไปแล้วแต่ดันจ่ายไม่ไหวถูกยกเลิกสัญญา แล้ววันหน้าจะขอแฮร์คัตใหม่ได้ไหม

jokechai เขียน: เจรจาแฮร์คัตไปแล้วแต่ดันจ่ายไม่ไหวถูกยกเลิกสัญญา แล้ววันหน้าจะขอแฮร์คัตใหม่ได้ไหม

แล้วคุณคิดว่าคราวหน้า มันยังจะเชื่อถือคุณอีกไหมล่ะ

jokechai เขียน: เจรจาแฮร์คัตไปแล้วแต่ดันจ่ายไม่ไหวถูกยกเลิกสัญญา แล้ววันหน้าจะขอแฮร์คัตใหม่ได้ไหม

หมายความว่าไง....แค่ถามเฉยๆ....หรือพลาดไปแล้ว....

กรรมการพูดบอกกันอยู่เสมอๆ....ถ้าเงินยังไม่พร้อม ประเมิณแล้วว่าไม่พร้อม

ก็อย่าไปตกลงอะไรซี้ซั้วกับเขา...อย่าทำอะไรเป็นเด็กๆพูดเล่นกัน...ไม่เอา....

วันนี้ได้หมายศาลบัตรกรุงไทยแล้ว มีคนเอามาให้แล้วก็ไปไม่ได้เซ็นรับด้วย มีหมายมาพร้อมกับเอกสารอีกปึกใหญ่จึงไม่รู้ว่าใช่หมายศาลจริง ๆ เปล่าตอนแรกนึกว่าส่งทางจดหมายซะอีก

จากหมายศาลบอกเราเป็นหนี้รวม 263057 บาท แต่ยอดจริงมัน 236057 บาท เราเดาว่าเค้าคงพิมพ์ผิด อย่างนี้เราจะได้ประโยชน์อะไรไหมหรือไม่ได้อะไรเลยแค่พิมพ์ผิด

เพราะผมรวมยอดจากบัตรสองบัตรในรายละเอียดย่อยที่เค้าให้มาเป็นปึกนั่นล่ะครับพอรวมแล้วมันได้ 236057 แต่ในหมายศาลมัน 263057

jokechai เขียน: เจรจาแฮร์คัตไปแล้วแต่ดันจ่ายไม่ไหวถูกยกเลิกสัญญา แล้ววันหน้าจะขอแฮร์คัตใหม่ได้ไหม

ขอได้เสมอ แต่ถามว่า เขาจะเชื่อใจให้คุณเท่าเดิม
หรือเปล่าไม่รู้นะ อยู่ที่คุณค่ะ ให้เขาขอให้แล้วส่ง
หนังสือยืนยันมาให้คุณ อยู่ๆคุณกลับลำทำไม่ได้
คุณโทรไปบอกเขาก่อนหรือเปล่าละค่ะ

ของแก้วจ๋าก็มี เคยให้ขอส่วนลดให้ แล้วเขาน่าจะ
ตกลงให้ แต่ดันหมดเงินจ่าย เลยโทรไปบอกเขา
แต่ไก่โห่ว่า ทำไม่ได้แล้วเพราะหาเงินมาไม่ทัน
อ้างว่า ให้คุณแม่ยืมไปก่อน

พอครั้ง 2 เขาเล่นมาเลย แน่ใจแล้วหรือ ตั้งพระ
กำแพงสูงว่า ไม่มีลด ไม่ขอให้ แต่พยายามอยู่ที่
ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ไม่ลองไม่รู้จริงไหม
เชื่อใจฉันเถอะ ครั้งนี้ แน่นอนกว่า อะไรประมาณ
นี้ คือทุกอย่างอยู่ที่ เจตนาคุณค่ะ



ส่วนตัวเลขในหมายศาล คุณรู้ได้ไง ว่าเขาพิมพ์ผิด
ตัวเลขคุณได้มาจากไหน อ่านข้างในหมายศาล
หรือยังว่า เขาคิดต้นเท่าไร ดอกเท่าไรค่ะ เอกสาร
ที่ส่้งมา ไม่ใช่ดูแค่ตัวยอดอย่างเดียว ทนายเขาดู
เอกสารแนบข้างในครบถูกต้องตามกระบวนการหรือ
ไหมค่ะ ไปหาคุณอาที่สวนลุมพร้อมหมายศาลดีกว่าค่ะ

อาทิตย์นี้จะไปสวนลุมเอาหมายศาลไปให้คุณอาดูครับ ผมเด็กต่างจังหวัดเพิ่งไปครั้งแรก ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ

กำลังจะถูกฟ้องอีกใบแต่คราวนี้จะฟ้องบัตรเสริมของน้องสาวด้วย จากที่ได้อ่านในเวปไม่สามารถฟ้องบัตรเสริมได้ใช่ไหมครับฟ้องได้แต่บัตรหลัก เข้าใจถูกไหมครับ

jokechai เขียน: กำลังจะถูกฟ้องอีกใบแต่คราวนี้จะฟ้องบัตรเสริมของน้องสาวด้วย จากที่ได้อ่านในเวปไม่สามารถฟ้องบัตรเสริมได้ใช่ไหมครับฟ้องได้แต่บัตรหลัก เข้าใจถูกไหมครับ

ลองอ่านดูนะครับ....ผมใช้ช่องสืบค้นนะครับ

www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=5&id=4273&Itemid=29#4289

นี่เป็นตัวอย่าง คำพิพากษา ของกรณี บัตรหลัก บัตรเสริม ไปเห็นมาจากเวปแห่งหนึ่ง

ผิดถูกประการใด รบกวนท่านอาจารย์ นกกระจอกเทศ ด้วยครับ...

บัตรเสริมต้องรับผิดร่วมกับบัตรหลัก

ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 271/2552

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โจทก์

นาย.............................. กับพวก จำเลย

ป.พ.พ. มาตรา 297

สัญญาการใช้บัตรเครดิตระบุไว้ว่า ในกรณีที่ธนาคารโจทก์อนุมัติให้ออกบัตรเสริมแก่ผู้ถือบัตรหลักรายใดผู้ถือบัตรทั้งสองจะต้องร่วมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมในหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตนั้น ซึ่งข้อสัญญาดังกล่าวจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อรับทราบแล้วย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมตนเข้าร่วมรับผิดกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 ในการใช้บัตรเครดิตสมาชิกบัตรหลักด้วยตั้งแต่วันสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้ที่แต่ละคนเป็นผู้ก่อขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตโดยไม่อาจแบ่งแยกได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 297
________________________________


โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 226,500.71 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 22.75 ต่อปี ของต้นเงิน 196,959.98 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 209,070.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 มกราคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ การคำนวณหนี้ให้นำเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระในวันที่ 14 มกราคม 2542, 20 มกราคม 2542, 19 กุมภาพันธ์ 2542, 18 มีนาคม 2542, 19 มีนาคม 2542 และ 20 พฤษภาคม 2542 จำนวน 5,600 บาท 5,100 บาท 5,500 บาท 3,843 บาท 1,132 บาท และ 5,100 บาท ตามลำดับ หักออกจากจำนวนหนี้ในวันที่ชำระด้วย โดยให้คิดหักออกจากดอกเบี้ยก่อน เหลือจากนั้นให้คิดหักออกจากต้นเงินกับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีและพิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนจำเลยที่ 2 แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ฟ้องใหม่ภายในอายุความ ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในการชำระเงิน 209,070.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 มกราคม 2542 เป็นต้นไปแก่โจทก์ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สมัครบัตรเครดิตโดยเป็นผู้ถือบัตรหลัก จึงต้องรับผิดชอบโดยตรงในการใช้บัตรเครดิตแก่โจทก์ ใบสมัครบัตรเครดิตไม่ระบุให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้องนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 สมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตโจทก์พร้อมกันโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือบัตรหลัก และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือบัตรเสริมและสัญญาการใช้บัตรเครดิตข้อ 5 ระบุไว้ว่า ในกรณีที่ธนาคารโจทก์อนุมัติให้ออกบัตรเสริมแก่ผู้ถือบัตรหลักรายใดผู้ถือบัตรทั้งสองจะต้องร่วมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมในหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตนั้น ซึ่งข้อสัญญาดังกล่าวจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อรับทราบแล้วย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมตนเข้าร่วมรับผิดกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 ในการใช้บัตรเครดิตสมาชิกบัตรหลักด้วยตั้งแต่วันสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้ที่แต่ละคนเป็นผู้ก่อขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตโดยไม่อาจแบ่งแยกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 298 คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 2 อ้างปรากฏว่าผู้ดำเนินกิจการบัตรเครดิตออกบัตรให้ผู้มาสมัครเป็นสมาชิกเป็นผู้ถือบัตรหลักแล้วต่อมาสมาชิกผู้ถือบัตรหลักจึงขอผู้ดำเนินกิจการให้อีกคนหนึ่งเข้าเป็นสมาชิกและผู้ดำเนินกิจการออกบัตรเสริมให้คนดังกล่าว โดยไม่มีข้อความระบุให้สมาชิกบัตรเสริมตกลงยินยอมเข้าร่วมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมกับสมาชิกบัตรหลักแต่อย่างใดข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจึงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

ถูกต้องค่ะ ขอเพิ่มจากน้องอนาคิน ว่า ยอดหนี้ของบัตรเสริมจะนำ
มารวมฟ้องกับบัตรหลักค่ะ ไม่ใช่แยกฟ้องคนละทีค่ะ
ซึ่งหนี้ทั้งหมดเจ้าของบัตรหลักรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวค่ะ

หากคุณได้รับหมายศาลฟ้องบัตรเสริม ต้องเขียนคำให้การแย้งกลับ
นะค่ะ ให้การฟ้องเฉพาะบัตรเสริมเป็นโมฆะค่ะ