มีข้อสงสัยหลังศาลตัดสิน แต่เราไม่มีเงินจ่ายคืนเจ้าหนี้ในตอนนี้ค่ะ

ดิฉันรบกวนขอคำปรึกษาจากท่านประธาน กรรมการและเพื่อนๆ ในชมรมค่ะ

วันที่ไปศาลทนายที่มาไกล่เกลี่ยให้ดูยอดที่ต้องชำระในแต่ละเดือน ซึ่งไม่ต่างกับยอดเดิมที่ดิฉันไม่สามารถจ่ายได้จนทำให้ตอนนั้นหยุดจ่ายไป พอเจรจาต่อรองขอลดลงอีกเขาก็ว่าให้ไม่ได้แล้ว ต้องจ่ายยอดตามนี้ในแต่ละเดือน ดิฉันจึงไม่ได้เซ็นยอมไปและให้ศาลตัดสินแทนค่ะ ซึ่งตอนนี้ศาลก็ได้พิพากษาแล้วค่ะ เป็นของบัตร Central The 1 Firstchoice ให้ชำระยอด 52,183.82 พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี จากเงินต้น 42,392.49 โดยหมายศาลแจ้งให้ชำระยอดทั้งหมดภายใน 15 วัน ดิฉันกังวลมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับเลยค่ะ จนในที่สุดก็ตัดสินใจโทร.ไปคุยกับบริษัทเจ้าของบัตร ซึ่งทางบริษัทก็แจ้งเบอร์ให้ติดต่อกับบริษัทกฎหมายแทน เมื่อดิฉันติดต่อไปก็แจ้งกับทางนั้นว่ายังไม่สามารถชำระได้ค่ะเพราะตอนนี้สภาพทางการเงินแย่มาก ต้นเรื่องคือดิฉันหยุดจ่ายเมื่อเดือนธันวาคม 2018 ดิฉันไม่ไหวจึงพักชำระไปก่อนและลองหาข้อมูลตามเว็บต่างๆ ว่าควรทำอย่างไร แล้วเลือกแนวทางที่จะ Hair cut

แต่ปรากฏว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งเรื่องงานและเงินย่ำแย่ค่ะ มียืมญาติมาหมุนบ้างช่วงที่ไม่ทันจริงๆ แค่เอาตัวรอดไปได้เดือนๆ เท่านั้น จึงไม่ทันจะเก็บเงิน Hair Cut ได้ก่อนเรื่องจะไปถึงศาล เช่นตอนนี้ตั้งแต่หลังปีใหม่มายังไม่มีงานเข้ามาเลยสักงาน จะใช้อะไรยังระวังตัวลีบ ทางนั้นบอกว่าให้ผ่อนเข้ามาตามกำลังไหว ดิฉันก็เลยถามไปว่าเท่าที่ไหวได้ใช่ไหมคะ ในใจคิดว่าถ้าแบบนั้นมี 300-500 ก็คงจ่ายให้ได้ แต่พอจะวางสายอีกฝ่ายก็แจ้งว่าต้องจ่ายอย่างต่ำเป็นยอด 2% ของยอดเงินที่แจ้ง ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถยับยั้งฝ่ายบังคับคดีที่จะติดตามสืบและยึดทรัพย์ได้ แต่ถ้าจ่ายได้ตามขั้นต่ำเขาจะช่วยพูดให้ (มาไล่อ่านในกระทู้ของชมรมเพิ่มเติมคิดว่าที่ดิฉันคิดจะทำทีแรกน่าจะเข้าข่ายกรณีหักคอจ่าย ซึ่งอีกฝ่ายก็สามารถบังคับคดีเราได้อยู่ดี ถ้าเราจ่ายไม่ถึงขั้นต่ำที่เขากำหนด) ดิฉันจึงถามไปว่าแล้วผ่อนผันไปสัก 1-2 เดือนได้ไหมคะ เพราะตอนนี้รายได้น้อยมากเลย งานไม่มีเข้ามา ของก็ขายไม่ดี รออยู่ตัวสักหน่อย เขาก็แจ้งว่าเรื่องถึงขั้นกฎหมายแล้วยับยั้งหรือดึงเรื่องให้ไม่ได้ค่ะ
 
หลังจากมาศึกษาในเว็บของชมรมดิฉันก็พบว่าเคสอย่างดิฉันถ้าจะมีการบังคับคดีก็ไม่น่ากังวลเท่าไหร่ เพราะดิฉันไม่มีเงินเดือน ไม่มีทรัพย์สินอะไรให้ยึดสักอย่างแต่ทั้งนี้ก็ยังมีข้อปฏิบัติที่ไม่แน่ใจว่าต้องทำยังไงหากเกิดกรณีต่างๆ ขึ้น จึงอยากรบกวนสอบถามเพื่มเติมเพื่อจะได้ปฏิบัติได้ถูกต้องค่ะ

1.ดิฉันเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ไม่ได้ทำงานประจำ รับเป็นฟรีแลนซ์และขายของตลาดนัดแบบเป็นช่วงๆ ที่ไม่มีงาน จึงมีรายได้ไม่แน่นอน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่ทีทอง กองทุนหรือทรัพย์สินที่เป็นของตัวเองเลยค่ะ เป็นประเภทหามาก็ใช้ไป ณ ตอนนี้ค่อนข้างแย่ มีเงินฝากติดบัญชี 4,000 บาทที่เก็บมาเรื่อยๆ เวลาทำงานได้มาเพื่อเป็นค่าเทอมให้ลูก กับเงินไว้กินอยู่ในอีกบัญชีประมาณ 1,500 บาท เมื่อฟังฝ่ายนั้นพูดมาก็เกิดคำถามในใจค่ะว่าเราควรจะผ่อนจ่ายให้เขาไปไหมคะกับเงินติดตัวที่มีแค่นี้ในตอนนี้ ซึ่งในเดือนนี้มีงานที่ว่าจ้างมางานหนึ่งช่วงกลางเดือนค่ะที่จะได้ไม่เกิน 4,000 บาทกับอาจจะได้เงินภาษีคืนประมาณ 2,000 ก็เท่ากับพอจ่ายค่าน้ำไฟและค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ ให้รอดไปได้ก่อนในเดือนนี้ แต่เดือนถัดไปยังไม่มีตารางงานเข้ามา โดยจริงๆ ดิฉันก็มีแผนจะ Hair Cut มากกว่าทยอยจ่ายเป็นรายเดือนแบบนี้ค่ะ อยากเก็บเงินที่จะจ่ายเขามาจ่ายปิดเป็นก้อนมากกว่า เพราะไม่รู้ว่าจ่ายไปทีละนิดแบบนี้จะตัดต้นตัดดอกได้มากน้อยแค่ไหน แล้วในกรณีนี้ถ้าเดือนไหนดิฉันติดขัดขึ้นมาจะเท่ากับผิดสัญญาไปทั้งหมดเลยแล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจด้วยน่ะค่ะ

2.บ้านที่อยู่ แม่ดิฉันเป็นเจ้าบ้านค่ะ ถ้ากรมบังคับคดีมายึดทรัพย์ แม่ดิฉันมีสิทธิ์ไม่ให้เข้าบ้านได้ไหมคะ ถ้าแม่ยืนยันแบบนั้นจะเป็นการขัดขวางเจ้าหน้าที่หรือเปล่าคะ ซึ่งของทุกอย่างในบ้านเป็นของแม่ค่ะ ทีวี 2 เครื่อง เครื่องเล่น DVD 2 เครื่อง ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ตู้ โต๊ะ ทุกอย่าง (ไม่มีของมีค่าเป็นแก้ว แหวน เงิน ทองหรือของแบรนด์เลยค่ะ) ของในบ้านที่เป็นของดิฉันมีแค่คอมพิวเตอร์เก่าๆ กับ โน้ตบุ๊คใช้พิมพ์งานอย่างละ 1 เครื่อง  (มีรับรีไรท์นิยายกับทำปกหนังสือนิยายบ้างประปรายค่ะ เพราะเดิมดิฉันทำงานเกี่ยวกับหนังสือนิยายมาก่อนบริษัทจะปิดตัวเลยกลายเป็นคนตกงานไป) โดยปกติตอนนี้ใช้รับพิมพ์งานกันค่ะกับน้องสาว และลูกก็ใช้ทำการบ้านด้วย กับแอร์หนึ่งเครื่องที่เคยผ่อนกับบัตรโลตัสจนหมดก่อนออกจากงานซึ่งแม่กับน้องก็ช่วยผ่อนกันด้วยค่ะ ถ้าเจ้าหน้าที่เข้ามาในบ้านก็กลัวจะมายึดทรัพย์สินพวกนี้ไปค่ะ ด้วยทางข้าวของแม่ใบเสร็จหลักฐานอะไรก็ไม่มีแล้วเพราะซื้อนานแล้ว กับของดิฉันทั้งคอมและโน้ตบุ๊คก็มีความจำเป็นต้องใช้จริงๆ ค่ะ เพราะตอนนี้ก็กำลังเขียนนิยายเพื่อลงขายในเว็บด้วยค่ะ

3.เงินฝากของดิฉันที่ฝากให้ลูกเรื่องเรียนจะถูกยึดไหมคะ ดิฉันควรปิดบัญชีแล้วเปิดเป็นชื่อลูกแทนไหมคะ (ถ้าทำตอนนี้จะเป็นการกระทำแบบเจตนาไม่ชอบหรือเปล่าคะ) โดยบัญชีที่ฝากเงินไว้เป็นคนละที่กับเจ้าหนี้ค่ะ และถ้ามีการยึดเงินฝากจะมีการแจ้งเตือนอะไรเราก่อนไหมคะ

4.เมื่อดิฉันรับงานฟรีแลนซ์ก็ควรใช้บัญชีคนอื่นรับเงินไปเลยถูกไหมคะ ทั้งนี้ชื่อที่ใช้หักภาษีต้องใช้ชื่อคนอื่นด้วยไหมคะ ดิฉันรับงานเป็นจ๊อบๆ ไป ทุกปีพอช่วงมีนาคมก็ยื่นภาษีมาตลอดค่ะ ซึ่งเงินที่ได้คืนก็ได้มาช่วยหมุนให้ผ่านไปได้ในช่วงนั้นๆ ด้วย กรณีนี้ถ้าใช้ชื่อตัวเองยื่นภาษีต่อไปเหมือนเดิมจะมีปัญหาอะไรไหมคะ อย่างปีนี้ที่ยื่นไปรายได้รวมทั้งปีดิฉันมีประมาณ 40,000 บาทค่ะ
5.ถ้าดิฉันเลือกที่จะเก็บเงินรอ Hair Cut ดังความตั้งใจเดิมยังถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องไหมคะ และดิฉันจะต้องเจอกับการติดตามทวงถามแบบไหนอีกหรือเปล่าคะ 

กำลังจะไปศาลเช่นกันค่ะ กลัวมากต้องมีค่าใช้จ่ายมั้ยค่ะ ไปครั้งแรกกับอิออน

หยุดกี่เดือนคะถึงมีหมายศาล

1. ไม่ได้เป็นลูกจ้าง บริษัท ใดๆ หรือองค์กรใดๆ ไม่สามารถอายัดเงินเดือนได้ครับ

2. ไม่มีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินใดๆ ก็ไม่สามารถยึดทรัพย์ได้ครับ แต่ถ้ากังวลว่าจะโดนยึดของที่อยู่ในบ้านที่ตัวเองมีชื่อเป็นผู้อาศัย สมัยนี้โจทย์ไม่ค่อยจะตามยึดของแบบนั้นแล้วครับ เพราะเสี่ยงต่อการโดนเจ้าของบ้านฟ้องเอาได้ เพราะโจทย์ไม่สามารถระบุได้ว่า สิ่งของชิ้นไหนในบ้าน เป็นของลูกนี้ตัวเองจริงๆ และถ้าของที่มีอยู่ในบ้านประเมินด้วยสายตาแล้ว มีมูลค่าน้อย หรือไม่มีมูลค่า ยากต่อการขายต่อ โจทย์ก็ไม่เสียเวลาไปยึดหรอกครับ

3. เงินฝากมีสิทธิถูกยึดได้แน่นอนครับ ยิ่งถ้าคุณเป็นบุคคลที่มีรายได้อิสระแบบนี้ ถ้าเขาสืบเจอ เขาสามารถส่งเรื่องขออายัดเงินฝากได้ครับ

4. ถ้าคิดว่าไม่ถูกโกง ก็ต้องทำตามนั้นเลยครับ