ระเบิดเวลา “หนี้รายย่อย” 3.8 ล้านล้านทยอยครบกำหนดพักชำระหนี้ ก.ค. นี้
ก.ค. นี้ จะหมดเวลาพักชำระหนี้ตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ระยะที่ 1 ของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยลูกหนี้รายย่อยที่ขอรับความช่วยเหลือไว้ ตั้งแต่เดือน เม.ย. – มิ.ย. 2563 มีจำนวนกว่า 15.2 ล้านรายรวมเป็นมูลค่าหนี้ราว 3.8 ล้านล้านบาทจะต้องเริ่มทยอยกลับมาจ่ายหนี้คืน ตั้งแต่เดือน ก.ค. – พ.ย. 2563ย้อนกลับไปช่วงปลายเดือน มี.ค. 2563ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
ที่มา
www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Press/News2563/n1763t.pdf
โดยลดอัตราผ่อนขั้นต่ำสำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตและให้พักชำระหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลสินเชื่อเช่าซื้อรถ สินเชื่อบ้าน รวมถึงสินเชื่อธุรกิจ SMEs เป็นเวลา 3 – 6 เดือนมาตรการดังกล่าว
มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2563 ดังนั้น เดือน ก.ค. นี้จึงครบกำหนดระยะเวลาพักชำระหนี้ขั้นต่ำ 3 เดือนที่ลูกหนี้จะต้องเริ่มกลับมาจ่ายหนี้คืน ตั้งแต่เดือน ก.ค. – พ.ย. 2563 ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เริ่มขอพักชำระหนี้และเงื่อนไขที่ได้รับจากธนาคารข้อมูลล่าสุดจาก ธปท. ณ วันที่ 15 มิ.ย. 2563 ระบุว่ามีลูกหนี้รายย่อยที่ขอรับความช่วยเหลือทั้งสิ้น15,219,547 ราย รวมเป็นมูลค่าหนี้ 3,868,137 ล้านบาท แบ่งเป็น
• ลูกหนี้ที่เริ่มพักชำระหนี้ช่วงเดือน เม.ย. จะต้องทยอยกลับมาใช้หนี้ ช่วงเดือน ก.ค. – ก.ย.จำนวน 11,060,250 ราย รวมเป็นมูลค่าหนี้ 2,654,867 ล้านบาท
• ลูกหนี้ที่เริ่มพักชำระหนี้ช่วงเดือน พ.ค. จะต้องทยอยกลับมาใช้หนี้ ช่วงเดือน ส.ค. – ต.ค.จำนวน 3,085,495 ราย รวมเป็นมูลค่าหนี้ 1,105,500 ล้านบาท
• ลูกหนี้ที่เริ่มพักชำระหนี้ช่วงเดือน มิ.ย. จะต้องทยอยกลับมาใช้หนี้ ช่วงเดือน ก.ย. – พ.ย.จำนวน 1,073,802 ราย รวมเป็นมูลค่าหนี้ 107,770 ล้านบาทนอกจากนี้ เว็บไซต์ของธปท.
ที่มา
www.bot.or.th/covid19/Pages/default.aspx
ยังระบุว่ามีผู้ประกอบการ SMEs1,142,683 ราย ที่ขอรับความช่วยเหลือจากมาตรการของแบงก์ชาติเช่นกันเป็นมูลค่าหนี้ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท
และมีธุรกิจขนาดใหญ่อีก 5,028 ราย เป็นมูลค่าหนี้ประมาณ 7 แสนล้านบาท ปัจจุบันระบบธนาคารไทยจึงมีหนี้ที่ขอรับความช่วยเหลืออยู่ทั้งสิ้น 6.84 ล้านล้านบาท
หรือกว่า 1 ใน 3 ของหนี้ทั้งหมดหนี้ก้อนใหญ่จำนวนนี้ทำให้เกิดข้อกังวลที่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากลูกหนี้ส่วนใหญ่ไม่สามารถกลับมาชำระหนี้คืนได้ตามปกติ
หลังสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้แล้วอย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2563 แบงก์ชาติออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ระยะที่ 2
ที่มา
www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Press/News2563/n3263t.pdf
มาเพิ่มโดยสั่งให้สถาบันการเงินภายใต้การกำกับ ลดดอกเบี้ยบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 2– 4% ต่อปี
รวมถึงขยายเวลาพักชำระหนี้บ้านและรถ (ไม่จำกัดวงเงิน)ออกไปอีก 3 เดือน มีผลตั้งแต่ 1 ส.ค. 2563
“ต้องยอมรับว่าเมืองไทยไม่เคยเจอวิกฤติลูกหนี้รายย่อย” ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัยผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด กล่าวกับ workpointTODAY “ถ้าย้อนไปปี40 ก็เป็นวิกฤติของภาคเอกชนมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้หรือฟ้องล้มละลายในลักษณะของบริษัท”เขายกตัวอย่างว่า สมมติลูกหนี้แค่ 10%จากลูกหนี้ทั้งหมดที่ขอพักชำระหนี้อยู่ ไม่สามารถกลับมาชำระหนี้คืนได้ตามปกติหลังครบกำหนด3 – 6 เดือน จะมีลูกหนี้มากถึง 1.5 ล้านคนผิดนัดชำระหนี้ จนถูกฟ้องล้มละลาย ถูกยึดบ้าน ยึดรถ และทรัพย์สินต่างๆ
ทำให้เกิดปัญหาครัวเรือน ปัญหาเศรษฐกิจ ตามมาเต็มไปหมด
แต่วิกฤตินี้ไม่ใช่ปัญหาของลูกหนี้เท่านั้น ดร.พิพัฒน์ บอกว่า “เจ้าหนี้ก็จะเหนื่อยด้วย”เพราะเมื่อเกิดปัญหาหนี้รายย่อย
จำนวนลูกหนี้จะเยอะมากๆทำให้หนี้เสียค้างอยู่ในระบบเป็นเวลานาน และสินทรัพย์ที่ยึดมาจะได้ราคาไม่ดี
“ถ้าลูกหนี้ 1.5 ล้านคนต้องเข้ากระบวนการล้มละลายพร้อมๆ กัน ยังนึกไม่ออกเลยว่าธนาคาร
ศาลจะเอากำลังตรงไหนไปทำงาน ยึดหรือ reprocess ให้ทรัพย์สินเหล่านั้นกลับเข้าไปในระบบเศรษฐกิจได้”
“เราอาจต้องการกระบวนการที่เข้าไปแทรกแซงตรงนี้เช่น มีกองทุนที่เป็นเหมือน Warehouse Assets ซื้อสินทรัพย์จากธนาคาร
มาเก็บไว้ก่อนยอมที่จะไม่ได้รับการจ่ายคืนหนี้สัก 6 เดือน ถึง 1 ปี เพื่อให้คนอยู่ยังอยู่ต่อได้ แล้วพอเศรษฐกิจฟื้นกลับขึ้นมาเขาเริ่มกลับมาจ่ายหนี้คืนได้ค่อยเอาทรัพย์สินกลับไป
ตอนนี้อาจต้องเป็นบทบาทของภาครัฐที่เข้ามาช่วยประสาน” ดร.พิพัฒน์กล่าว
ที่มา
workpointtoday.com/household-debt/