หยุดจ่ายบัตรมา 3 เดือน แต่เราไม่รับสายไม่กล้ารับ ตอนนี้บัตรเครดิตโทรไปที่ทำงานเก่าที่เรา

เราอยากลบเพราะ เราดันไปลงเลขบัตรน่ะค่ะ

ใครก็ได้ช่วยลบ ข้อความที่เราลง ตารางหนี้ทีค่ะ เพราะ เราเผลอลงเลขที่บัตรไปด้วย ช่วยทีนะคะ เดี๋ยวพวกเจ้าหนี้มาเจอ

รบกวนหน่อยนะคะ เราลบเองไม่ได้ค่ะ ไม่มีปุ่มลบแล้ว

ไปหน้า ฮอตไลน์ เมล์หาอนาคิน....

กดรายงานกระทู้ ถึง แอดมินฯ

หรือ..เดี๋ยวผมจะช่วยโทร...

สรุป เรามีหนี้เกือบ 2 ล้านบาท เราหยุดจ่ายเกือบทุกบัตรตั้งแต่เดือนกุมภา 2012ค่ะ

ยอดหนี้ที่เยอะสุดคือ
SCB สินเชื่อบุคคล ยอด กู้เริ่มต้น 5 แสนบาท ผ่อนมาจะครบปีแล้ว เดือนละ 14xxx ยอดเงินต้นลดลงแค่ 4 หมื่นบาท ค้างอีก 4.6 แสน

รองมาคือ แต่ยังหลักแสน

kbank 1.5 แสน---บัตรเครดิต
ธนาชาิติ 1.8 แสน--สินเชื่อบุคคล
โฮมโปรกรุงศรี 1.1 แสน---บัตรเครดิต
ktc 1 แสน ----บัตรเครดิต

ต่อมาหนี้หลัก หมืน
uob 9.5 หมื่น -บัตรกดเงินสด
ซิตี้แบ๊งค์ 9.7 หมื่น-สินเชื่อบุคคล
เฟิรสช็อย 8 หมื่น--บัตรเครดิต
กสิกร 7.8 หมื่น-บัตรกดเงินสด
ฮ่องกงแบ๊ง 7.4 หมื่น -บัตรเครดิต
สแตนดาร์ต 5.6 หมื่น - บัตรเครดิต
โลตัส 5.6 หมื่น-บัตรเครดิต
เคทีซี 5หมื่น - บัตรกดเงินสด
อีอ้อน 5 หมื่น- บัตรเครดิต
scb 4.9หมื่น บัตรเคดิต
uob 4.5 หมื่น-บัตรเครดิต
กรุงศรี 3.4 หมื่น -บัตรเครดิต


ตอนนี้มีรายรับต่อเดือนตกที่ 5-6หมื่น(ค่อนข้างคงที่ได้ทุกเดือน) เก็บไว้ผ่อนบ้าน 16000+รถ 7000+สินเชื่อรถยนต์คาร์ฟอแคช 8500+ค่าน้ำไฟ 4000 +ประกันชีวิต 5000+อื่นๆ รายจ่ายทีฟิ๊กๆ ก็เดือนละ 45000 บาท

เราทำสินค้าตัวเองมาขาย ของในสต๊อกมีมูลค่า เกือบ 3 แสน ถ้าขายหมดพอมีกำไรคงได้เงินคืนมา 5 แสน +เงินต่อทุน ตอนนี้พยายามอย่างหนักค่ะ (อันนี้เป็นส่วนเพิ่มจากรายได้หลัก)

ขอบคุณค่า

devil angel---ขอบคุณมากค่ะ เราเมล์ไปแจ้งแอดมิน ผ่านแจ้งกระทู้แล้วรอลบอยู่ กลัว พวกเจ้าหนี้มาเจอจังเลยค่ะ

เห็นจำนวนหนี้สินเราแล้ว เราควรหาเงินจ่ายบัตรไหนหรือ อะไรก่อนดีคะ ตอนนี้ขายของเก็บเงินอยู่

คิดว่า เจ้าไหนจะฟ้องก่อนคะ เราจะมีเวลาเตรียมตัวเท่าไรคะ

Anakin เขียน: อ่านกระทู้ปักหมุดให้จบสักรอบสองรอบนะครับ แล้วค่อยกลับมาถามคำถามใหม่
ในกระทู้ปักหมุดมีความรู้เกือบครบทุกอย่างแล้วครับ รวมทั้งที่คุณถามว่าใครฟ้องเร็ว และควรเก็บเงินไว้อย่างไรด้วยครับ

คนตอบมีน้อย แต่คนถามมีเป็นร้อยๆ เลยครับ

โอเคค่า จริงๆ เราก็อ่านปักหมุดมาเยอะแล้ว แต่เดี๋ยวจะไปอ่านอีก พอดีใจร้อนไปหน่อยคะ่ ขอบคุณมากนะคะ

ถ้าจะแนะนำฐานะรุ่นพี่ที่ยอดหนี้มากกว่าคุณ 1 เท่าตัวว่า
หยุดทุกตัวค่ะ

แล้วทำตารางหนี้อย่างที่คุณทำ ว่าหนี้แบงค์ในระบบอะไร
nonbank เช่น อีอ้อน อะไรบ้าง ยอดหยุดเท่าไร วันหยุด
เมื่อไร จ่ายขั้นต่ำต่อเดือนเท่าไรเพื่อเป็นอุทธาหรณ์ว่า
อย่าทำอีก

แล้วทำบัญชีรายรับรายจ่ายต่อเดือน ต่อวัน เห็นจะๆ คือ
ค่าบ้าน ค่ารถ ค่าไฟ สูงไปไหม ลดได้ไหม เปลี่ยนได้ไหม
รถถ้าหยุดจ่าย ยึดแน่ แต่ถ้าขายดาวน์ยังพอมีเงินกลับมา
แล้วทำไมจ่ายค่ารถเบิ้ล มีรถ 2คันหรือเปล่า

หากหารายได้เพิ่มยังไม่มี การปลดหนี้ที่ดีที่สุด คือการลด
ค่าใช้จ่ายค่ะ อะไรไม่จำเป็น ตัด ปรับ ลดค่ะ

อย่าลืมว่า อีกไม่กี่เดือน คุณต้องมีภาระเรื่องคลอด ไม่ใช่หรือค่ะ

อย่าไปคิดเรื่องจ่ายใครก่อนเลย ใจเย็นเถอะโยม หัดคลาน
ก่อนเดินนะค่ะ เพิ่งหยุดคิดว่า ใครเขาจะลดให้คุณ ของใหม่
คุณไม่ขายลดราคา ไม่ใช่หรือค่ะ เช่นกันค่ะ แล้วเรื่อง
สต๊อกของ ถ้าแบกไว้นานๆ ไม่เป็นผลดี แปลสภาพเป็นเงินได้ไหม
บางครั้งเราต้องกำเงินดีกว่ากำลม ได้บ้างดีกว่าไม่ได้เลยนะ

นอกนั้น หาอ่านในห้องรู้ทันกฎหมายหนี้นะค่ะ แล้วก็ใช้กระทู้นี้
จะถามจะเล่าได้หมดค่ะ อย่าฝากเงินไว้กับเสือจะโดนเขมือบ
นะค่ะ

ผมอยากให้คุณ ชอร์ตตี้..เข้าใจนิดนึง...

ที่นี่ไม่ใช่ ห้องแชท แบบห้องพันธุ์ทิพย์...คนที่จะตอบต้องมีจิตอาสา..มีความรู้..ประสบการณ์

พอสมควร....และที่สำคัญ...ต้องมีเวลาด้วย...

คุณคือน้องใหม่..ที่อยู่ในฐานะลำบากพอสมควร...แต่ไม่ใช่จะสิ้นไร้หนทาง...

ปรมาจารย์.."แก้วจ๋า"..แม่งานอบรมผู้เปี่ยมล้นประสบการณ์ ให้คำแนะนำคุณแล้วเป็นอย่างดี...

"อนาคิน."..(แอดมิน..ที่แก้ปัญหาให้คุณเมื่อเช้านี้...)พร้อมคำแนะนำสำคัญยิ่ง...

ที่ทุกคนต้องศึกษา..(อย่างละเอียดด้วย..)ขอย้ำ...หากต้องการประสบความสำเร็จ..

ตอนนี้..คุณมีการบ้านแล้ว...มีแผนอย่างไร...1- 2 -3 ไปหาข้อมูลมาส่งครู....

จะมีคนมาตรวจให้...ค่อยๆคิด..ร้อนไปไม่ช่วยอะไร....ขอบอก..

มาขำคำพูดของพีจัง....
คุยทางโทรศัพท์กลัวอะไร เขาทำอะไรไม่ได้หรอก...
แสดงว่า น้องมันไม่เคยดูหนังเรื่อง The ring ที่มันมีตัวผมยาวๆ ยืดๆ ปีนออกมาจากทีวี
เจ้าหนี้สมัยนี้เขาอาจจะ "พัด ตะ นา" ด้วยการให้พนักงานทวงหนี้ยืดมือออกมายาวๆ บีบคอลูกหนี้ก็ด๊ายยย

เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้...
อย่าได้หวั่นวันทวงมาก...
ทวงมากๆ ก็แค่สองสามวันแรก วันต่อๆไปมันจะน้อยไปเอง
เอ๊ะ...พูดถึงเรื่องอะไรเนี้ย?
กอบัวจะบอกว่า อย่าไปหวั่นไหว หนี้ตั้งหลายล้านยังมีปัญญาสร้างมันได้
กะอีแค่คนทวงหนี้ มีสองมือ สองแขนแบบเรา กลัวทำไม
อ่านปักหมุดมากๆ มีแนวทางในการแก้ไขหนี้ ยังมีงานทำ ยังมีความหวังในการได้เงินมาปลดหนี้
เผลอแพล๊บๆ หมดหนี้ก่อนกรรมการเสียอีก...สู้ๆค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาแนะนำ

แอบขำ ฉายา ช็อตหนี้อ่ะค่ะ


บอกตรงๆ ถ้าไม่มีชมรมนี้ หนี้เยอะอย่างนี้ เราไปต่อไม่ได้ เรามีแว่บๆ คิดสั้นด้วยนะคะ

มันหมดหนทางจนตรอกจริงๆ

แต่ตอนนี้ไม่แล้วค่ะ ก็นั่งอ่านสารพัดกระทู้อ่ะ อ่านเหมือนเหมือนพวกเสพติดย์ดราม่า

ขอค่อยทำความเข้าใจไปก่อน


ตอนนี้ขอเริ่มต้นรับมือกับพวกทวงนี้ทางโทรศัพท์ก่อนนะคะ

สอบถามนิดนึงค่ะ พอดีไปอ่านบทความเรื่องดอกเบี้ย ที่กฏหมายกำหนด

ธนาคาร สามารถ คิดดอกได้ 28% ต่อปี
ส่วนพวกบริษัทสินเชื่อ คิดได้ แค่ 15% ต่อปีใช่ไหมคะ

ถ้าอย่างนี้ เราติดหนี้ธนาคาร เค้าคิดอัตราดอกเบี้ยเราเกิน 15% ต่อปีเค้าไ่ม่ผิดใช่ไหมคะ

ถ้าสมมติว่าต้องไปขึ้นศาล แล้วเจ้าหนี้เป็นธนาคาร เราจะไม่ได้รับความเห็นใจหรือลดหย่อนใดๆ เลยหรือเปล่าคะ

ขอบคุณมากค่ะ

คิดว่า วันอาทิตย์นี้จะแวะไปที่สวนลุน ไปปรึกษา กรรมการชมรมค่าขอบคุณมากค่า

ไปอ่านที่ไหนมาค่ะ
ธนาคาร ในระบบ และ non bank ทั้งหลายคิดดอกเบี้ยสำหรับ
บัตรเครดิต เพดาน ไม่เกิน 20% ต่อปี
ส่วนสินเชื่อ เพดาน ไม่เกิน 28% ต่อปี
ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย จำปีไม่ได้ค่ะ

ถ้ามองใบแจ้งของธนาคารบางที่ จะเห็นว่า ไม่ได้คิดเราแค่ดอกเบี้ย
เขาคิดค่าอื่นแฝงมาด้วย เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าใช้วงเงิน เป็นต้น

เวลาบวกไปแล้วเกินกว่าอัตราที่กำหนด หากทุกธนาคารซื่อตรง
คิดดอกเบี้ยแบบตรงไปตรงมา 15% ต่อปี ซึ่งเป็นไปตามข้อ
กฎหมาย ไม่ใช่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย หนี้เราคง
ไม่หนักจนต้องหยุดหรอกค่ะ

เรื่องขึ้นศาลนั้น รอคุณได้หมายแล้วไปปรึกษาคุณอาที่สวนลุมนะ
ค่ะ การขอลดหย่อนดอกเบี้ยกระทำได้ แต่คุณต้องยื่นคำให้การสู้
ค่ะ

ที่สวนลุม มีแต่คุณอาที่ปรึกษาค่ะ ช่วงนี้กรรมการไม่ว่างไปค่ะ

kaewja เขียน: ไปอ่านที่ไหนมาค่ะ
ธนาคาร ในระบบ และ non bank ทั้งหลายคิดดอกเบี้ยสำหรับ
บัตรเครดิต เพดาน ไม่เกิน 20% ต่อปี
ส่วนสินเชื่อ เพดาน ไม่เกิน 28% ต่อปี
ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย จำปีไม่ได้ค่ะ

ถ้ามองใบแจ้งของธนาคารบางที่ จะเห็นว่า ไม่ได้คิดเราแค่ดอกเบี้ย
เขาคิดค่าอื่นแฝงมาด้วย เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าใช้วงเงิน เป็นต้น

เวลาบวกไปแล้วเกินกว่าอัตราที่กำหนด หากทุกธนาคารซื่อตรง
คิดดอกเบี้ยแบบตรงไปตรงมา 15% ต่อปี ซึ่งเป็นไปตามข้อ
กฎหมาย ไม่ใช่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย หนี้เราคง
ไม่หนักจนต้องหยุดหรอกค่ะ

เรื่องขึ้นศาลนั้น รอคุณได้หมายแล้วไปปรึกษาคุณอาที่สวนลุมนะ
ค่ะ การขอลดหย่อนดอกเบี้ยกระทำได้ แต่คุณต้องยื่นคำให้การสู้
ค่ะ

ที่สวนลุม มีแต่คุณอาที่ปรึกษาค่ะ ช่วงนี้กรรมการไม่ว่างไปค่ะ

คุณแก้วจ๋า
่
เราอ่านมาจาก ในเว็บนี้แหละค่ะ เราขอถามเผื่อเป็นความรู้นิดนึงว่า

แล้วตอนขึ้นศาลเนี่ย เราจะอิงหลักเกณฑ์

ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กฏหมายค่ะ

เพราะ ถ้าเอาตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย เจ้าหนี้เหล่านี้ก็คิดบอกเบี้ยไม่เิกินจริงใช่ไหมคะ

แต่ตามกฏหมายถือว่าเิกินจริง

ทีนี้ เรา็ก็งง อีกว่า ถ้ายึดตาม กฏหมาย ทำไม ธนาคารแห่งประเทศไทยถึงได้ ออกประกาศที่แย้งกฏหมายมาล่ะคะ

ไม่รู้ว่าคุณไปอ่านของใครเขียน หรืออ่านผิด ถ้ามี ข้อมูลก็ยืนยันมา
แล้วกันค่ะ ว่าพบที่ไหน แต่ในห้องรู้ทันที่แนะนำให้อ่านข้อมูลที่
ท่านประธานได้เขียนไว้ มีดังนี้ค่ะ


สำหรับข้อต่อสู้ของลูกหนี้นั้นก็มี...เป็นต้นว่า

- ตนเองเป็นหนี้จริงหรือไม่ สัญญาที่เจ้าหนี้อ้างว่าลูกหนี้เป็นหนี้อยู่นั้นเป็นสัญญาปลอมหรือไม่

- หนี้ที่เจ้าหนี้นำมาทวงถามกับลูกหนี้นั้น สามารถบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ หรือเป็นโมฆะหรือไม่ หรือได้ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดหรือไม่

- ในส่วนดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้เรียกร้องมานั้น ได้มีการคิดถูกต้องตามสัญญาหรือไม่ และเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ (กฎหมายกำหนดให้คิดได้ไม่เกิน 15% ต่อปี ยกเว้นกรณีที่เจ้าหนี้เป็นสถาบันการเงินสามารถคิดได้ตามที่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตไว้)

- และเรื่องสำคัญหนี้ที่เจ้าหนี้นำมาเรียกร้องเอาแก่ลูกหนี้นั้นขาดอายุความหรือยัง หากขาดอายุความแล้วเมื่อลูกหนี้ยกขึ้นต่อสู้ในชั้นศาล ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง
แต่ถ้าลูกหนี้ไม่รู้หรือไม่ยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว ศาลก็ไม่สามารถนำปัญหาเรื่องหนี้ขาดอายุความหรือไม่มาวินิจฉัยได้ ลูกหนี้ก็เสียประโยชน์ไป

ธนาคารต่างๆ ในประเทศไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ
ธนาคารแห่งประเทศไทยค่ะ เคยมีกรณีเกิดขึ้นมาในอดีตจึงมีประกาศ
ซึ่งลูกหนี้รู้ว่า ไม่เป็นธรรมกับลูกหนี้แน่นอนค่ะ แต่เราตัวเล็กๆ จะไป
ต้านอำนาจเขาไหวได้ยังไงค่ะ เราถึงต้องเข้าสู่กระบวนการของศาล
เพื่อให้พิจารณาให้ความเป็นธรรมในเรื่องดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมาย
แทนค่ะ ซึ่งถ้าไม่มีระบุในสัญญา ศาลบางท่านก็อาจพิจารณาคิดดอก
เบี้ยเพียง 7.5% ต่อปีค่ะ

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พึงกระทำตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องดอกเบี้ยเลยนะ
คุณควรรับมือกับการทวงหนี้ที่จะเกิดขึ้น และทำการบ้านเรื่องราย
จ่าย ให้มีเงินออมเข้ามาทันใช้หนี้ดีกว่าไหมค่ะ เพราะอย่างไรก็ดี
ดอกเบี้ยก็เป็นเพียงตัวเลขสำหรับเราค่ะ

shorty22 เขียน:

kaewja เขียน: ไปอ่านที่ไหนมาค่ะ
ธนาคาร ในระบบ และ non bank ทั้งหลายคิดดอกเบี้ยสำหรับ
บัตรเครดิต เพดาน ไม่เกิน 20% ต่อปี
ส่วนสินเชื่อ เพดาน ไม่เกิน 28% ต่อปี
ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย จำปีไม่ได้ค่ะ

ถ้ามองใบแจ้งของธนาคารบางที่ จะเห็นว่า ไม่ได้คิดเราแค่ดอกเบี้ย
เขาคิดค่าอื่นแฝงมาด้วย เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าใช้วงเงิน เป็นต้น

เวลาบวกไปแล้วเกินกว่าอัตราที่กำหนด หากทุกธนาคารซื่อตรง
คิดดอกเบี้ยแบบตรงไปตรงมา 15% ต่อปี ซึ่งเป็นไปตามข้อ
กฎหมาย ไม่ใช่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย หนี้เราคง
ไม่หนักจนต้องหยุดหรอกค่ะ

เรื่องขึ้นศาลนั้น รอคุณได้หมายแล้วไปปรึกษาคุณอาที่สวนลุมนะ
ค่ะ การขอลดหย่อนดอกเบี้ยกระทำได้ แต่คุณต้องยื่นคำให้การสู้
ค่ะ

ที่สวนลุม มีแต่คุณอาที่ปรึกษาค่ะ ช่วงนี้กรรมการไม่ว่างไปค่ะ

คุณแก้วจ๋า
่
เราอ่านมาจาก ในเว็บนี้แหละค่ะ เราขอถามเผื่อเป็นความรู้นิดนึงว่า

แล้วตอนขึ้นศาลเนี่ย เราจะอิงหลักเกณฑ์

ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กฏหมายค่ะ

เพราะ ถ้าเอาตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย เจ้าหนี้เหล่านี้ก็คิดบอกเบี้ยไม่เิกินจริงใช่ไหมคะ

แต่ตามกฏหมายถือว่าเิกินจริง

ทีนี้ เรา็ก็งง อีกว่า ถ้ายึดตาม กฏหมาย ทำไม ธนาคารแห่งประเทศไทยถึงได้ ออกประกาศที่แย้งกฏหมายมาล่ะคะ

เขายังไม่ฟ้องมาใช่ไหม

เพราะฉนั้น ยังไม่มีใครสามารถบอกได้หรอก

จนกว่าคุณจะขึ้นศาล ดีที่คุณรู้จักศึกษาหาความรู้

แต่อย่าไปกังวลกับสิ่งที่ทำอะไรไม่ได้

ถ้ามันเป็นอย่างที่คุณถาม

ถ้าสมมติว่าต้องไปขึ้นศาล แล้วเจ้าหนี้เป็นธนาคาร เราจะไม่ได้รับความเห็นใจหรือลดหย่อนใดๆ เลยหรือเปล่าคะ

ขอบคุณมากค่ะ


ถ้าใช่ แล้วทำไมล่ะครับ คุณจะทำอะไร จะไม่หยุดจ่ายหรือ

ถ้าไม่ใช่ แล้วจะทำไมล่ะครับ รู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

จะมามัวกังวลให้มันได้อะไรขึ้นมา

ยังไงมาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้อง

1. หยุด
2. ประเมินกำลัง
3. ลดภาระ
4. และก็รีบเก็บเงินใช้หนี้


ไปอ่านเคสในเรื่องเล่าชาวหนี้ ดูของเพื่อนๆ ที่ขึ้นศาลให้มากๆ

ว่า ไม่มีอะไรที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

และ ขึ้นอยู่กับ คำให้การในการสู้คดีของคุณด้วย ถ้าสู้

ไม่ต้องถามถึงเรื่องสู้คดีเลยนะ

ส่วนใหญ่เราจะสู้คดีเพื่อดึงเวลาเก็บเงินปิดหนี้

ถ้ายังไม่เห็นหมายศาลก็ไม่รู้หรอกว่าจะสู้เรื่องอะไร



แต่ก็ดีแล้วที่สงสัยแล้วมาถาม ไม่เอาไปกังวลอยู่คนเดียว


ทำตามที่พวกพี่ๆเขาบอกหรือยัง

ตารางรายรับ

ตารางรายจ่าย

ตารางหนี้

และจะลดภาระตัวไหนได้บ้าง

จะได้เก็บเงินได้มากขึ้นปิดหนี้เร็วขึ้น

ควรไปปรึกษาที่สวนลุมก่อนสักที

เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินที่แบกเป็นภาระอยู่บนบ่าด้วย

จะได้รับคำแนะนำดีๆในการบริหารจัดการ

kaewja เขียน: ไม่รู้ว่าคุณไปอ่านของใครเขียน หรืออ่านผิด ถ้ามี ข้อมูลก็ยืนยันมา
แล้วกันค่ะ ว่าพบที่ไหน แต่ในห้องรู้ทันที่แนะนำให้อ่านข้อมูลที่
ท่านประธานได้เขียนไว้ มีดังนี้ค่ะ


สำหรับข้อต่อสู้ของลูกหนี้นั้นก็มี...เป็นต้นว่า

- ตนเองเป็นหนี้จริงหรือไม่ สัญญาที่เจ้าหนี้อ้างว่าลูกหนี้เป็นหนี้อยู่นั้นเป็นสัญญาปลอมหรือไม่

- หนี้ที่เจ้าหนี้นำมาทวงถามกับลูกหนี้นั้น สามารถบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ หรือเป็นโมฆะหรือไม่ หรือได้ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดหรือไม่

- ในส่วนดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้เรียกร้องมานั้น ได้มีการคิดถูกต้องตามสัญญาหรือไม่ และเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ (กฎหมายกำหนดให้คิดได้ไม่เกิน 15% ต่อปี ยกเว้นกรณีที่เจ้าหนี้เป็นสถาบันการเงินสามารถคิดได้ตามที่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตไว้)

- และเรื่องสำคัญหนี้ที่เจ้าหนี้นำมาเรียกร้องเอาแก่ลูกหนี้นั้นขาดอายุความหรือยัง หากขาดอายุความแล้วเมื่อลูกหนี้ยกขึ้นต่อสู้ในชั้นศาล ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง
แต่ถ้าลูกหนี้ไม่รู้หรือไม่ยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว ศาลก็ไม่สามารถนำปัญหาเรื่องหนี้ขาดอายุความหรือไม่มาวินิจฉัยได้ ลูกหนี้ก็เสียประโยชน์ไป

ถ้าตามที่พี่แก้วตอบ ก็แสดงว่า พวกที่ไม่ใช่ธนาคาร คิดดอกได้ไ่ม่เกิน 15% แต่พวกธนาคารที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรับรองก็คิดได้เกิน 15% ใช่ไหมคะ นี่เองที่เวลาทำตารางรายละเอียดหนี้เราต้องแยก พวก ธนาคาร กับไม่ใช่ธนาคาร เพื่อ ดูเรื่องดอกเบี้ยใช่ไหมคะ

shorty22 เขียน:

kaewja เขียน: ไม่รู้ว่าคุณไปอ่านของใครเขียน หรืออ่านผิด ถ้ามี ข้อมูลก็ยืนยันมา
แล้วกันค่ะ ว่าพบที่ไหน แต่ในห้องรู้ทันที่แนะนำให้อ่านข้อมูลที่
ท่านประธานได้เขียนไว้ มีดังนี้ค่ะ


สำหรับข้อต่อสู้ของลูกหนี้นั้นก็มี...เป็นต้นว่า

- ตนเองเป็นหนี้จริงหรือไม่ สัญญาที่เจ้าหนี้อ้างว่าลูกหนี้เป็นหนี้อยู่นั้นเป็นสัญญาปลอมหรือไม่

- หนี้ที่เจ้าหนี้นำมาทวงถามกับลูกหนี้นั้น สามารถบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ หรือเป็นโมฆะหรือไม่ หรือได้ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดหรือไม่

- ในส่วนดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้เรียกร้องมานั้น ได้มีการคิดถูกต้องตามสัญญาหรือไม่ และเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ (กฎหมายกำหนดให้คิดได้ไม่เกิน 15% ต่อปี ยกเว้นกรณีที่เจ้าหนี้เป็นสถาบันการเงินสามารถคิดได้ตามที่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตไว้)

- และเรื่องสำคัญหนี้ที่เจ้าหนี้นำมาเรียกร้องเอาแก่ลูกหนี้นั้นขาดอายุความหรือยัง หากขาดอายุความแล้วเมื่อลูกหนี้ยกขึ้นต่อสู้ในชั้นศาล ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง
แต่ถ้าลูกหนี้ไม่รู้หรือไม่ยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว ศาลก็ไม่สามารถนำปัญหาเรื่องหนี้ขาดอายุความหรือไม่มาวินิจฉัยได้ ลูกหนี้ก็เสียประโยชน์ไป

ถ้าตามที่พี่แก้วตอบ ก็แสดงว่า พวกที่ไม่ใช่ธนาคาร คิดดอกได้ไ่ม่เกิน 15% แต่พวกธนาคารที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรับรองก็คิดได้เกิน 15% ใช่ไหมคะ นี่เองที่เวลาทำตารางรายละเอียดหนี้เราต้องแยก พวก ธนาคาร กับไม่ใช่ธนาคาร เพื่อ ดูเรื่องดอกเบี้ยใช่ไหมคะ

อ่านกระทู้ปักหมุดให้ละเอียดหน่อยนะ เห็นบอกอ่านมาหลายรอบแล้ว

shorty22 เขียน:

Anakin เขียน: อ่านกระทู้ปักหมุดให้จบสักรอบสองรอบนะครับ แล้วค่อยกลับมาถามคำถามใหม่
ในกระทู้ปักหมุดมีความรู้เกือบครบทุกอย่างแล้วครับ รวมทั้งที่คุณถามว่าใครฟ้องเร็ว และควรเก็บเงินไว้อย่างไรด้วยครับ

คนตอบมีน้อย แต่คนถามมีเป็นร้อยๆ เลยครับ

โอเคค่า จริงๆ เราก็อ่านปักหมุดมาเยอะแล้ว แต่เดี๋ยวจะไปอ่านอีก พอดีใจร้อนไปหน่อยคะ่ ขอบคุณมากนะคะ

ดูคำตอบคุณพีจัง...กระทู้ 8925

รวบรัด ชัดเจน brief ที่สุดแล้ว...ไม่ต้องนึกไปไหนไกลหรอก...

เอาแค่นั้นก่อน...