- จำนวนโพสต์: 1950
- ขอบคุณที่รับ: 1502
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
domonite เขียน: www.consumerthai.org/old/compliant_board1/view.php?id=11662
ไม่ใช้เสียนาน เข้าลิงค์ไม่ได้
มีคนเคยเขียนไว้แบบนี้ครับ
- หลายท่านในเวปนี้ คงเคยทำพลาดโดยการทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินและ Non Bank ไปแล้ว แต่..นั่นเป็นความรู้สึกของท่านเอง จริง ๆ แล้วผมยังไม่เห็นสถาบันการเงินไหน หรือ Non Bank ใด “ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้” กับท่านทั้งหลายจริง ๆ สักครั้ง (อย่างน้อย สถาบันการเงิน & Non Bank หรือ Outsource gเกือบทั้งหมด ก็อ้างว่าเป็นสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้) ท่านทั้งหลายต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า “สัญญาปรับปรังโครงสร้างหนี้” จริงๆแล้ว คือ อะไร และจะใช้เมื่อไร และควรต้องมีข้อมูลอะไรประกอบบ้าง
- การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ทำเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกสภาบันการเงิน ครั้งแรกตั้งแต่ตอนประเทศเราเริ่มเดียงเมื่อ กรกฎาคม 2539 จากอัตราแลกเปลี่ยน โดย ธปท. ไปลอกของฝรั่งมาเกือบ 100 % แล้วปรับปรุงเข้าไปเล็กๆน้อยๆพอเป็นพิธี ให้ดูเหมือนเป็นการช่วยแก้ปัญหาให้ลูกหนี้ แต่จริงๆแล้วมันกลับทำให้ “เจ้าหนี้” มีสิทธิแทบทุกอย่าง เหมือนเซ็นเช็คเปล่าไปให้ชาวบ้านเขากรอกเงินนั่นแหละ ยกตัวอย่าง PTI ไง คุณประชัย “แค้น” มาจนทุกวันนี้ โดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้มีองค์ประกอบหลักๆ ดังนี้
- วัตถุประสงค์ทำเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของลูกหนี้ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาที่กำหนดเงื่อนไขไว้ได้ตลอดสัญญากับสถาบันการเงินได้
- สถาบันการเงินต้องมีการรับทราบ [MOU] หือ ข้อตกลง หรือ บันทึกทำความเข้าใจ (แล้วแต่จะว่ากันไป) ว่าในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ นั้นต้องมีวิธีการอย่างไร เช่นมีมาตรฐานการวิเคราะห์งบการเงินอย่างไร ห้ามปล่อยสินเชื่อใหม่ไปชำระหนี้เดิม ห้ามคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย เป็นต้น
- การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มี 9 วิธี เช่น ลดต้น ลดดอก ขยายระยะเวลาชำระหนี้ เปลี่ยนหนี้ระยะสั้นเป็นหนี้ระยะยาว เป็นต้น โดยสามารถจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีรวมกันก็ได้
- การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ต้องมีการแสดงหนี้ตั้งต้นแต่ละประเภทว่าเป็นต้นเงิน ดอกเบี้ยค้างรับ ดอกเบี้ยแขวน เท่าไร รวมทั้งหมดเท่าไร และที่สำคัญ หนี้ทั้งหมดนี้มาจากสัญญาใดบ้าง (**อันนี้สำคัญ**)
- ต้องมีการวิเคราะห์ปัญหาจริงของลูกหนี้โดยชัดเจน ว่าเป็นปัญหาระยะสั้น ระยะยาว และมีวิธีแก้ไขอย่างไร
- ต้องจัดทำงบการเงิน โดยมีสมมุติฐานที่เชื่อถือได้รองรับเพียงพอเชื่อถือได้
- เมื่อได้รับอนุมัติก็จะมีสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยเฉพาะ แต่ไม่ว่าภายในมีข้อความอย่างไรก็ตามจะต้องมีการอ้างถึง “สัญญาเดิมทั้งหมดที่ปรับปรุงหนี้” และหากลูกหนี้ปฏิบัติไม่ได้ตามเงื่อนไขใหม่ ให้สถาบันการกลับไปคิดดอกเบี้ยตามสัญญาเดิมได้เป็นหลัก (เห็นไหมอะไรๆก็สัญญาเดิม)
- การปรับปรุงโครงสร้างหนี้นี้โดยปกติจะทำกันตั้งแต่ลูกหนี้ค้างชำระงวดแรกก็ได้ โดยไม่ต้องรอให้เป็นหนี้เสียก่อน (จำตรงนี้ไว้ให้ดีเพราะพวก สถาบันการเงิน & Non Bank นอกคอกมักจะนำมาใช้กับหลายๆท่านไปแล้ว)
- การปรับปรุงหนี้จะต้องมีการเพิ่มเงินกันสำรองตามเดือนที่ค้างชำระ หากเกิน 3 เดือนก็สำรอง 100 % ครับผม (พวก สถาบันการเงิน & Non Bank นอกรีตถึง “หน้ามืด” จนต้องหลบกฎเกณฑ์ข้อนี้กันเป็น “ลิง” เชียว จนถึงทุกวันนี้ไง)
- หากผิดนัดลูกหนี้จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย (แล้วแต่ความเข้ม บางสถาบันก็อาจปรับปรุงหนี้ใหม่ก็ได้)
- แต่หากลูกหนี้ถูกดำเนินคดีไปแล้ว การปรับปรุงโครงสร้างหนี้จะต้องทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาล ก่อน แล้วจึงไปทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินอีกครั้งหนึ่งโดยอ้างถึงสัญญาประนีประนอมยอมความข้างต้น ซึ่งผลของกรณีนี้ คือ ผิดนัดโดนบังคับคดีทันทีไม่มีผ่อนผันอีก
- อื่น ๆ อีกแต่ที่สำคัญและที่ท่านทั้งหลายควรรู้มีอยู่หมดแล้ว
- เมื่อถึงตอนนี้หลายท่านคงมาถึงบาง “อ้อ” แล้วว่า สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในความหมายของพวก สถาบันการเงิน & Non Bank นอกรีต นั้นมันใช่สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้หรือไม่ ซึ่ง มันก็คือ การทำสัญญากู้ใหม่เพื่อมาชำระหนี้เดิม ซึ่งมาจากการนำดอกเบี้ยมาคิดดอกเบี้ยซ้อน การนำค่าปรับ ค่าธรรมเนียมผิดนัด ค่าติดตามทวงถาม มารวมไว้เป็น “ยอดหนี้” ใหม่ทั้งหมด ทำสัญญาใหม่ กำหนดดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมาย ขยายระยะเวลาออกไป ส่งให้น้อยลง แต่ส่งกัน 5 ชาติยังไม่หมดเลย และโอกาสผิดนัดผิดสัญญามีสูงมาก ซึ่งท้ายสุดท่านก็จะพบว่าการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของพวกนี้ก็ คือ การทำสิ่งที่ผิดกฎหมายตามสัญญาเดิมให้เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายตามสัญญาใหม่นั่นเอง
- ข้อดีของการทำคือ หลบกฎเกณฑ์ของ ธปท.เกือบทั้งหมด ลดเงินกันสำรองที่ต้องสำรองไว้ที่ ธปท. ทำสิ่งผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมาย อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป็นไง “แสบสันต์” ไหมท่านทั้งหลาย
** ทีนี้มาว่ากันว่า “ฉันหลวมตัว” ไปแล้วทำอย่างไร **
1. หากส่งได้ไม่เดือดร้อนก็ส่งไปตามเดิม
2. กรณีที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี ลองร้องเรียนไปที่ ธปท. ขอให้สอบสวนกรณีดังกล่าวว่าเป็นเรื่องไม่ถูกกฎหมาย (สอบสวนจากแหล่งที่ไปของเงินกู้ใหม่ว่าใช้ไปที่ใด) ท่านทั้งหลายส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นรายละเอียดหนี้ตั้งต้น หรือบางคนสัญญาก็ยังไม่เคยเห็นหรือได้รับเลย เป็นต้น ธปท. ไม่เคยพบเห็นหรือ โดยร้องเรียนพร้อม ๆ กันเป็นจำนวนมากซิ เผื่อ ธปท.จะลืมตาขึ้นมาดูบ้าง ยิ่งผ่านสื่อหรือ “ผู้มีศักยภาพ” ละก็ สถาบันการเงิน & Non Bank นอกรีต เป็นได้เดือดร้อนชนิดหน้ามืดเลยทีเดียว
3. จาก 2. หาก ธปท. สอบสวนจริง ๆ จะพบว่าผิดจริง และต้องปรับยอดกันใหม่หมด “ลูกหนี้ได้เฮ” ลดหนี้โดยไม่ต้องส่ง และข้อสำคัญหากโดน ธปท.สอบสวน พวกนี้จะไม่มีเวลามาพัวพันกับท่านทั้งหลายอีก (สบายหูไปนานทีเดี๋ยวแหละ)
4. กรณีผิดสัญญาใหม่และถูกดำเนินคดีไปแล้ว กรณีนี้แก้ไขไม่ได้ตามความเห็นที่หลายท่านในเวปนี้ได้ให้ข้อคิดเห็นไว้แล้วว่าดอกเบี้ยถูกต้องตามกฎหมาย เจ้าหนี้ผ่อนผันให้แล้ว ไม่มีเหตุอันควรต่อสู้ได้อีก...
5. แต่ผมขอเสนอแนวทางการต่อสู้คดีอีกแนวทางทางหนึ่งไม่ทราบว่าพอจะเป็นได้หรือไม่ กล่าวคือ เมื่อต่อสู้เรื่องดอกเบี้ยตามกฎหมายไม่ได้ ทำไมเราไม่เปลี่ยนเป็นต่อสู้ว่า “เราไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้” ละ เพราะเมื่อลูกหนี้อ้าง เป็นหน้าที่เจ้าหนี้ต้องนำสืบว่าลูกหนี้ “รับเงินไปแล้วจริง” ตามสัญญา ถึงตอนนี้เราก็ร้องขอให้ศาลสั่งให้ ”เจ้าหนี้” แสดง Statement เดิม (เพราะ “เจ้าหนี้” พวกนี้มันไม่จ่ายเป็นเงินสด เพื่อป้องกันการทุจริตของพนักงานมันเอง) ในทางปฏิบัติเงินกู้จากสัญญาใหม่เมื่อไม่ได้จ่ายเป็น “เงินสด” ก็จะต้อง Transfer ไปที่ “บัญชี....ซึ่งก็คือสัญญาเดิมก่อนที่จะทำสัญญาใหม่นั่นเอง” ทีนี้แหละเป็นทีของเราบ้างแล้ว ร้องขอต่อศาลให้ “เจ้าหนี้” แจงรายละเอียดของหนี้ตั้งต้นตามสัญญาใหม่มากจากรายละเอียดอะไรบ้างของสัญญาเดิม โดยเน้นไปที่ยอด “ดอกเบี้ย” เดิมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่รวมแล้วเกินกว่าประกาศของ ธปท. โอยยยย...ผมนึกภาพไม่ออกเลย ว่าทนาย “เจ้าหนี้” และคนของ “เจ้าหนี้” จะทำหน้าอย่างไร.....
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
kingsarisa เขียน: ถ้านำไปใช้ไม่ได้ แล้วกรณีที่เราปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว สามารถนำประเด็นไหน ไปต่อสู้ในศาลได้บ้างคะ
- เป็นการแก้ไข“สัญญาที่ผิดกฏหมาย” เปลี่ยนให้มาเป็น“สัญญาที่ถูกต้องตามกฏหมาย”
เหตุผลเพราะสัญญาฉบับเดิม เป็นสัญญาที่มีการคิด“ดอกเบี้ย”เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด (กฎหมาย ปพพ.ตามรัฐธรรมนูญ ให้คิดอัตราดอกเบี้ยได้สูงสุดไม่เกิน 15% ต่อปี) แต่สัญญาในใบสมัครบัตรเครดิต มีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 20% ต่อปี , สัญญาสินเชื่อ/เงินกู้ มีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 28% ต่อปี , สัญญาบัตรกดเงินสด มีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 28% ต่อปี...ซึ่งดอกเบี้ยทั้งหมดทั้งมวลนี้ เกินที่กว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนด (เพราะในกฎหมายเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามคิดดอกเบี้ยเกินกว่า 15% ต่อปี)
แต่“สัญญานรก”ฉบับใหม่นี้ จะมีการแก้ไขอัตราดอกเบี้ยให้ลงลด ไม่เกินกว่าที่กฏหมายกำหนดไว้ (ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจาก“ดำ”ให้เป็น“ขาว” / เปลี่ยนจาก“ชั่ว”ให้เป็น“ดี” / เปลี่ยนจาก“ผิด”ให้เป็น“ถูก”)...เพื่อที่เวลาสู้คดีกันที่ชั้นศาล เจ้าหนี้จะได้ชนะคดี โดยสามารถอ้างต่อศาลได้ว่า ในสัญญาคิดดอกเบี้ยไม่เกินกว่าที่กฏหมายกำหนดแล้ว ลูกหนี้ก็จะแพ้คดีไปโดยปริยาย
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา