สารพันสรรสาระ และข่าวสารเพื่อเพื่อนชาวหนี้ ปี 55-56

11 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา #31514 โดย Champcyber99



คนไทยหนี้พุ่ง!หญิงเป็นหนี้มากกว่าชาย
คนไทยหนี้พุ่งพบหญิงเป็นหนี้มากกว่าชาย

การไม่มีหนี้คือลาภอันประเสริฐ ดร.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.กรุงเทพมหานครในฐานะที่ปรึกษาชมรมปฏิรูปสิทธิลูกหนี้ กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยเป็นหนี้กันมากขึ้น เฉลี่ยครัวเรือนละ 130,000 กว่าบาท หรือ จากแต่ก่อนในเดือนๆ หนึ่งแต่ละครอบครัวต้องชำระหนี้คิดเป็น 30-40 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน แต่ปัจจุบันตัวเลขการชำระหนี้พุ่งสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน และแนวโน้มที่พบ คือ ผู้ที่มีรายได้น้อยกลับมีหนี้สูงกว่าผู้ที่มีรายได้มาก ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนับเป็นวิกฤติอย่างมาก ดังนั้นทางชมรมฯ จึงอยากสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนที่มีภาระหนี้สิน ด้วยการรู้จักรับมือกับการจัดการกับหนี้สิน ใช้ชีวิตพอเพียง และไม่ก่อหนี้เพิ่ม

“หนี้ไม่ได้แบ่งแยกเพศ แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงจะเป็นหนี้มากกว่าผู้ชาย ทั้งช็อปปิ้ง ดูแลครอบครัว การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หลายคนเลือกเป็นหนี้เพราะความจำเป็น เช่น เอาไปใช้ในการลงทุน บางคนเป็นหนี้เพื่อการศึกษาลูก หรือ เพราะเจ็บป่วย แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ คนที่เป็นหนี้เพราะความฟุ่มเฟือย แต่ไม่ว่าจะเป็นหนี้ด้วยกรณีไหนๆ ก็ต้องใช้คืน แต่หากจุดหนึ่งที่ใช้คืนไม่ไหว เราก็ต้องรู้วิธีการใช้เงินคืนให้ชีวิตเราอยู่ได้ ไม่เป็นภาระกับการดำเนินชีวิตต่อไป มีข้อแนะนำง่ายๆ สำหรับผู้ที่เป็นหนี้ในระบบ คือ ดูว่าเป็นหนี้แบบไหน หนี้ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน อย่างบ้านหรือรถ หรืออีกประเภทหนึ่งคือหนี้ส่วนบุคคล เราควรใช้หนี้ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันก่อน เพราะไม่เช่นนั้นสินทรัพย์ก็จะถูกยึดไปด้วย” ดร.รัชดา แนะนำ

อย่างไรก็ดี ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถจัดการกับหนี้ก้อนโตจนได้รับหมายศาลนั้น "อ้วน" อารีวรรณ จตุทอง ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย แนะนำว่า ไม่ควรตื่นตระหนก เพราะทุกอย่างต้องมีทางออกเสมอ ประเด็นสำคัญคือ เมื่อได้เห็นจดหมายจากศาลแล้ว หลายคนกลัว เครียด ทำอะไรไม่เป็น แล้วปล่อยไว้โดยไม่สู้คดี จนเขามายึดทรัพย์สิน ดังนั้น หากได้จดหมายจากศาลแล้ว ต้องตั้งสติให้ดี และหาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ทนายความ หรือผู้รู้ที่สามารถช่วยเหลือเราได้ รวบรวมเอกสารสำคัญต่างๆ ไปตามคำนัดของศาลเพื่อขอประนอมหนี้หรือผ่อนชำระหนี้ตามศักยภาพของตัวเอง

ในงานยังมีตัวแทนลูกหนี้มาเล่าถึงประสบการณ์ที่เคยตกเป็นหนี้ รวมทั้งวิธีหาทางออกจากวิกฤติชีวิตในครั้งนั้นด้วย

อัญเทพ คงเกตุ หนุ่มใหญ่ที่เคยตกเป็นหนี้บัตรเครดิตและบัตรสินเชื่อส่วนบุคคลถึง 37 ใบ จนเป็นหนี้กว่าล้านบาท เล่าว่า เริ่มทำบัตรเครดิตตั้งแต่ปี 2533 จากเงินเดือนเพียง 7,000 บาท เรื่อยมาจนเงินเดือนสูงถึง 35,000 บาท ตอนนั้นค่อนข้างชะล่าใจ ใครติดต่อมาให้ทำบัตรอะไรก็ทำหมด สนุกกับการใช้จ่าย สุรุ่ยสุร่ายมาก และไม่มีการวางแผนการเงินใดๆ จนท้ายสุดมีบัตรทุกประเภทรวม 37 ใบ จนพอปี 2547 เริ่มหมุนเงินไม่ทัน จึงตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อนำเงินจากการลาออกมาใช้หนี้ แต่ตอนนั้นกลับเลือกนำเงินไปทำธุรกิจกระจก ซึ่งขาดทุนและต้องปิดกิจการ จึงกลายเป็นมีหนี้เพิ่มพูนจากเดิมมากถึงกว่าล้านบาท

“เมื่อรับผิดชอบกับภาระหนี้สินไม่ไหว ผมก็ตัดสินใจไปประนอมหนี้กับเจ้าหนี้ทุกธนาคารและทุกบัตร และตอนนี้ก็ทยอยชำระหนี้เท่าที่ทำได้ แต่กว่าจะรู้ตัวว่าเราพลาดไป ผมต้องเสียทั้งครอบครัว บ้าน รถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ตอนที่ตัดสินใจทำบัตรเครดิตครั้งแรกเรายังอุ่นใจ คิดว่าทำหลายใบยังไงก็มีเงินจ่ายแน่นอน แต่พอเยอะขึ้นเรื่อยๆ และบางบัตรเครดิตให้วงเงินแบบไม่จำกัดเลย ก็เลยชะล่าใจ ไม่วางแผนการเงิน จนสุดท้ายต้องหมดตัว ผมจึงอยากฝากให้กับคนรุ่นใหม่ที่เลือกใช้บัตรเครดิต ให้วางแผนการเงินของตัวเองด้วย และไม่ควรทำเกิน 2 ใบ ” อัญเทพ แนะนำส่งท้าย
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: june

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา #31827 โดย jj_chamon
KTC เข้มลูกค้าสับขาหลอก
งัดระบบเพิ่มวินัยจ่ายหนี้ตรง
เคทีซี งัดแผนธุรกิจปี 56 เข้มติดตามหนี้ ปรับระบบตัดบัญชีเหมือนแบงก์ พวกชอบสับขาหลอกยอมจ่ายดอกเบี้ย-ค่าปรับ แต่ไม่จ่ายหนี้ให้ตรงเวลามีสิทธิ์โดนหนักถูกขึ้นบัญชีดำ คาดหนี้เสียทะลักชั่วคราว 0.4% เริ่มดีเดย์ มี.ค.นี้ ด้านการทวงแชมป์ยอดขายอัดงบ 1 พันล้าน ตั้งเป้าจัดแคมเปญยาวตลอดปี ใช้คะแนนสะสมเป็นหัวใจหลักดึงยอดใช้จ่าย พร้อมยอดบัตร คาดดันยอดรูดเพิ่มได้ไม่ต่ำกว่า 10%

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย (KTC) เปิดเผยว่า ภายหลังจากการลดต้นทุนดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกลับมามีผลกำไรในช่วงไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา และมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2555 บริษัทมีกำไรจากการลดต้นทุน แต่ในปีนี้ผลกำไรจะมาจากทั้ง 2 ส่วน คือ การปรับลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง และยอดขายที่สูงขึ้น โดยในปีนี้บริษัทจะเน้นเรื่องการควบคุมดูแลการติดตามหนี้ (Collection) อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ จะมีการปรับระบบไอทีภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจะทำให้มีการปรับวิธีการตัดรอบบิลบัญชีของลูกค้าใหม่ที่เป็นไปตามระบบของธนาคารพาณิชย์ทั่วไป เพื่อให้รูปแบบเป็นสากลมากขึ้น โดยวิธีใหม่นี้ลูกค้าที่ครบกำหนดชำระหนี้ และไม่สามารถชำระได้ตามกำหนดตั้งแต่รอบบิลเดือนมีนาคม บริษัทจะส่งข้อมูลไปยังบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ในส่วนของผู้ที่เข้าข่ายผิดนัดชำระหนี้ 45 วัน แม้จะยังไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ก็ตาม แต่บริษัทยังมีกฎการผ่อนผันระยะปลอดดอกเบี้ย 3 วันแรกของวันครบกำหนดชำระเหมือนเดิม

สำหรับการปรับวิธีการตัดรอบบัญชีใหม่ จะเป็นการสร้างวินัยให้ลูกค้า เนื่องจากมีลูกค้าบางกลุ่มยอมจ่ายดอกเบี้ยและค่าปรับ แต่ไม่ยอมชำระหนี้ให้ตรงเวลา ซึ่งวิธีใหม่จะเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าสร้างวินัยการชำระหนี้ รวมถึงบริษัทจะมีงบดุลในบัญชีที่แข็งแกร่ง เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทจะต้องมีการตั้งสำรองเผื่อไว้จำนวน 90% ของหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูงในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ในช่วงเริ่มต้นเข้าสู่วิธีใหม่นี้ บริษัทได้แจ้งไปยังลูกค้าให้ทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในช่วงแรกของการปรับตัวของลูกค้า อาจจะทำให้เอ็นพีแอลปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 0.3-0.4% จากสิ้นปีก่อนที่เอ็นพีแอลอยู่ที่ระดับ 2.9% ทั้งนี้ คาดว่าภายใน 2-3 เดือนเอ็นพีแอลจะกลับเข้าสู่ระดับปกติ โดยตั้งเป้าเอ็นพีแอลทั้งปีไม่เกิน 2.4% จากที่ทั้งระบบคาดว่าจะอยู่ที่ 3%

“แม้ว่าเราจะปล่อยสินเชื่อมาก แต่อีกข้างก็มีการติดตามอย่างเข้มข้นเหมือนกัน การปรับวิธีการตัดรอบบิลชำระใหม่นี้จะเป็นรูปแบบสากลที่ธนาคารใช้กัน ซึ่งจะมีการส่งข้อมูลลูกค้าให้เครดิตบูโรในส่วนที่เข้าข่ายผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าชำระเร็วขึ้น และอีกส่วนหนึ่งต้องการให้มีบัญชีที่เข็มแข็ง แต่การทำวิธีใหม่จะต้องมีการตั้งสำรองที่เพียงพอ ซึ่งเราก็มีพอ ถึงได้ทำ ในช่วงแรกอาจเห็นเอ็นพีแอลกระตุกขึ้นประมาณ 0.3-0.4% หลังจากนั้น 2-3 เดือนก็จะกลับมาเป็นปกติ” นายระเฑียร กล่าว

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา #31892 โดย Champcyber99

เริ่มผ่อนไม่ไหว! สรรพสามิตผุดวอร์รูมไล่เก็บภาษีรถคันแรกคืน
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อประสานงานกับบริษัทเช่าซื้อหรือลีสซิ่งที่ปล่อยกู้ให้กับผู้ซื้อรถในโครงการรถคันแรกเพื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์ผ่อนชำระค่างวดที่อาจมีผู้เข้าร่วมโครงการประสบปัญหาทางการเงินและไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดได้ตามปกติและถูกยึดรถ เพื่อให้กรมสรรพสามิตสามารถดำเนินการเรียกคืนเงินภาษีจากผู้เข้าร่วมโครงการ

"กรมสรรพสามิตได้ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลโครงการรถคันแรกให้ตั้งเป็นศูนย์ติดตามเฝ้าระวังในโครงการรถยนต์คันแรก เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหากเกิดหนี้เสียจากโครงการนี้จะได้ประสานงานกับกรมบัญชีกลางเพื่อเรียกเงินคืนให้กับรัฐบาลได้" นายสมชายกล่าว

นายจุมพล ริมสาคร รองอธิบดีกรมสรรพสามิต รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กล่าวว่า ตั้งแต่ครบรอบ 1 ปีของโครงการรถคันแรกวันที่ 1 กันยายน 2555 ที่เริ่มมีการคืนเงินผู้ซื้อรถที่เข้าร่วมโครงการนั้น บริษัทเช่าซื้อหรือลีสซิ่งที่เข้าร่วมโครงการได้แจ้งยอดหนี้เสียที่เกิดขึ้นจากการขาดส่งค่างวดเกิน 3 เดือนเข้ามาแล้วประมาณ 10 กว่าราย ซึ่งกระบวนการต่อไปทางกรมสรรพสามิตจะตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัดก่อนประสานงานกับกรมบัญชีกลางเพื่อเรียกเงินคืนต่อไป

ขณะเดียวกัน ศูนย์ติดตามเฝ้าระวังโครงการรถคันแรกได้ประสานงานกับบริษัทลีสซิ่งมาอย่างต่อเนื่องเพื่อคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการหรือลูกค้าของลีสซิ่งที่มีความสามารถในการผ่อนชำระค่างวดได้จริง ถือเป็นการสกรีนลูกค้าในเบื้องต้นก่อนให้เข้าร่วมโครงการ โดยเท่าที่มีรายงานเข้ามานั้นเมื่อเปรียบเทียบกับลูกค้าทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการรถคันแรกมีหนี้เสียเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7% โดยคาดว่าโครงการรถคันแรกอาจมีหนี้เสียอยู่บ้าง แต่คงไม่เท่ากับกลุ่มลูกค้าปกติของลีสซิ่ง

"ขั้นตอนในการติดตามเรียกคืนเงินภาษีนั้นศูนย์ติดตามเฝ้าระวังรถคันแรกของกรมสรรพสามิตเมื่อได้รับแจ้งจากลีสซิ่งแล้วจะแจ้งเตือนไปยังเจ้าของรถที่เข้าร่วมโครงการก่อน 2 ครั้ง หากไม่ติดต่อกลับมาเพื่อคืนเงินภาษีก็จะส่งเรื่องไปยังกรมบัญชีกลางเพื่อประสานงานร่วมกับอัยการเพื่อทำสำนวนคดีสำหรับฟ้องร้องต่อไป" นายจุมพลกล่าว

(ที่มา:มติชนรายวัน 18 ก.พ.2556)
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Lyncns31

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา #31916 โดย Lyncns31
นี่แหละครับ..ผลของการมองเพียงด้านเดียว..โธ่ถัง..กระตุ้นเศรษฐกิจ...

ให้คนออกรถกันเยอะๆ..แล้วไม่มีปัญญาจ่าย...ช่างไม่รู้จักหลาบจำซะเลย...

ที่นี้ก็ต้องไปตามล้างตามเช็ดกันไม่หวาดไหว แถมยังหางานเพิ่มงานให้ศาลอีก...

........................................เจริญละทีนี้..แม่มึง...!!!

และแล้ว...หนี้ข้าก็สิ้นสุด..อิสรภาพมาถึงแล้ว.

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา #31938 โดย น้ำมนต์

devil angel เขียน: นี่แหละครับ..ผลของการมองเพียงด้านเดียว..โธ่ถัง..กระตุ้นเศรษฐกิจ...

ให้คนออกรถกันเยอะๆ..แล้วไม่มีปัญญาจ่าย...ช่างไม่รู้จักหลาบจำซะเลย...

ที่นี้ก็ต้องไปตามล้างตามเช็ดกันไม่หวาดไหว แถมยังหางานเพิ่มงานให้ศาลอีก...

........................................เจริญละทีนี้..แม่มึง...!!!



ไม่รู้กระตุ้นเศรษฐกิจ...หรือ ทำลายความมีระเบียบวินัยการเงิน....การคลัง ก็บ่ฮู้เจ้าาา....

และตอนนี้...กังวลมากมายหากจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลออกมาอีก...


ไฟล์ที่แนบมาด้วย:

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 1 เดือน ที่ผ่านมา #33343 โดย Ploylyly
เปิดโปงแก๊งโจรเสื้อสูทรีดเงินลูกหนี้ NPL แลกแฮร์คัตฮวบฮาบ

แก๊งโจรเสื้อสูทรีดเงินใต้โต๊ะลูกหนี้เอ็นพีแอลถูกจับผิดทุจริตได้แล้วแบงก์ยังตกรางวัลเลื่อนขั้นเป็นตำแหน่งใหญ่ แต่โดนแบงก์ชาติค้าน ลูกหนี้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ระบุพ่อถูกเจ้าหน้าที่ประนอมหนี้หักหลัง ทั้งๆ ที่ตกลงกันเรียบร้อยกับแบงก์ใหม่เตรียมรีไฟแนนซ์จนเครียดปลิดชีพตัวเอง





ASTVผู้จัดการรายวัน - แฉแบงก์ขนาดใหญ่หละหลวมปล่อยให้เหลือบหากินกับลูกหนี้ คาดทำเป็นขบวนการร่วมมือกันตั้งแต่เจ้าหน้าที่เล็กๆ ไปจนถึงระดับใหญ่คุมบริหาร พฤติการณ์เรียกรับเงินใต้โต๊ะบรรดาสินเชื่อรายใหญ่ที่เป็นเอ็นพีแอลแลกกับการ “แฮร์คัต” จำนวนมากโดยไม่มีเหตุผลรองรับ ไม่ต้องสืบทรัพย์ค้ำประกัน บันทึกหนี้สูญคราวละหลายสิบหลายร้อยล้านให้ทันที ธปท.พบจะจะกรณีเดียวเรียกเงิน 15 ล้านโอนเงินเข้าบัญชี ผอ.อาวุโสกว่า 8 ล้าน

ไม่เพียงแต่ธนาคารรัฐอย่าง SMEแบงก์ หรือธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ที่มีตัวเลขหนี้เสีย หรือ NPLs (Non-performing Loans) เพิ่มปริมาณสูงจนกลายเป็นปัญหาสั่นคลอนระบบธนาคารเท่านั้น ขณะนี้ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งก็กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดของคนในแวดวงการเงิน

ทั้งนี้ “ASTVผู้จัดการรานวัน” ได้รับเอกสารทั้งจากการตรวจสอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย และหนังสือร้องเรียน พร้อมแนบจดหมายลาตายของบิดาจากลูกค้าที่สืบทอดธุรกิจของตระกูลยื่นต่อธนาคารแห่งนี้ เห็นว่าน่าสนใจมากจึงตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า ปัญหาค่อยๆ สะสมมาตั้งแต่ปี 2554 ดำเนินมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ในเอกสารระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับปฎืบัติการ และระดับผู้บริหารบางคนที่เกี่ยวข้องกับด้านสินเชื่อธุรกิจ และการแก้ไขหนี้หลายคนการกระทำผิดจริง บ้างถูกลงโทษ ลดขั้น ตัดเงินเดือนไปแล้ว แต่ก็เป็นเพียงโทษสถานเบาเท่านั้น ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องร้ายแรงส่งผลกระทบต่อธนาคาร และลูกค้า

ในการตรวจสอบของ ธปท. เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2555 ธปท. ได้พบว่า จากการสุ่มตรวจสอบการแก้ไขหนี้ด้อยคุณภาพของธนาคาร พบพิรุธธนาคารได้ลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้เอ็นพีแอลเป็นมูลค่าที่สูง โดยขาดเหตุผลที่หนักแน่น และขาดการเจรจาต่อรองอย่างเต็มที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของธนาคาร ทำให้ได้รับการชำระหนี้ต่ำกว่าที่ควรจะได้

ลูกหนี้รายใหญ่ที่สำคัญดังกล่าวนี้ เช่น บริษัท ส. (สมมติ) ดำเนินธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ยอดหนี้เงินต้น 155.3 ล้านบาท และดอกเบี้ยค้างรับ 217.3 ล้านบาท รวม 372.6 ล้านบาท ธนาคารได้ดำเนินคดีกับลูกหนี้ และผู้ค้ำประกันเมื่อปี 2552 ศาลได้พิพากษาโดยการประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระเงินต้น 121.5 ล้านบาท โดยให้ลูกหนี้ผ่อนชำระได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2552 ถึงเดือนมีนาคม 2559 ซึ่งลูกหนี้สมารถผ่อนชำระหนี้ได้ตามสัญญามาตลอด

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2555 ธนาคารกลับทำ TDR (Troubled Debt Restructuring ) ซึ่งเป็นวิธีที่ ธปท.และธนาคารในขั้นตอนการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ โดยการคำนวณทำ TDR นี้ ธนาคารจะเอาข้อมูลของลูกค้ามาพิจารณาร่วมกับนโยบายการแก้ไขหนี้ของตัวเอง เพื่อให้มีส่วนสูญเสียน้อยที่สุด หลังจากนั้นก็จะคำนวณออกมาว่า ควรจะจัดตารางการชำระหนี้ให้ลูกหนี้อย่างไร คิดดอกเบี้ยกี่เปอร์เซ็นต์ และจะให้ชำระคืนในกี่ปี เป็นต้น

จากมูลหนี้ที่เหลืออีกจำนวนมาก ธนาคารทำ TDR ยอมรับการชำระหนี้เพียง 75 ล้านบาท ที่เหลือมูลค่ากว่า 80.3 ล้านบาท ไม่ปรากฎเหตุผลที่ชัดเจนที่นำเสนอให้ตัดเป็นหนี้สูญ นอกจากนี้ จากการสอบถามฝ่ายกฎหมายทราบว่า ธนาคารสืบทรัพย์ผู้ค้ำประกันเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฆล และที่อยู่ตามภูมิลำเนาของลูกหนี้โดยไม่ได้สืบทรัพย์ทั่วประเทศ หรืออย่างน้อยควรนับหัวเมืองใหญ่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา เป็นต้น

กรณีที่สอง บริษัท ด. ผู้ผลิตกระดาษ เป็นเอ็นพีแอลเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2554 และมีหนี้เงินต้นคงค้าง 925 .72 ล้านบาท มีดอกเบี้ยค้างรับนอกบัญชี 132.8 ล้านบาท ธนาคารได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หรือ TDR เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2554 ให้ลูกหนี้ชำระเงินต้นเพียง 370 ล้านบาท โดยธนาคารได้ลงบันทึกหนี้สูญ (Write-off) หนี้ที่จะลดให้ทันที

เมื่อวันทำสัญญาโดยลูกหนี้ชำระหนี้ 20 ล้านบาท ส่วนหนี้ที่เหลือ 350 ล้านบาท ให้ชำระภายใน 3 เดือน และหากชำระหนี้ได้ตามสัญญา TDR จะลดหนี้เงินต้นให้ 555.72 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60 .03 ของเงินคงค้าง และดอกเบี้ยนอกบัญชีทั้งจำนวน

จะเห็นได้ว่าธนาคารลดหนี้ให้เป็นจำนวนสูงทั้งที่ลูกหนี้ยังคงดำเนินธุจกิจอยู่ และมีหลักประกันเป็นที่ดีนพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และเครื่องจักรมีราคาประเมินรวม 501.59 ล้านบาท (ราคา ณ มกราคม 2555)

นอกจากนี้ มีหลักประกันที่เป็นเครื่องจักรที่ยังไม่ได้จดทะเบียนจำนองอีก 59 เครื่อง กรรมสิทธิ์ของลูกหนี้มีราคาประเมินเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2554 เป็นเงิน 1,145 ล้านบาท

กรณีที่สาม เป็นบริษัท อ. ดำเนินธุรกิจการ์เมนต์ เป็นเอ็นพีแอลเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2553 เงินต้นคงค้าง 501.74 ล้านบาท ธนาคารทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 โดยธนาคารได้ไรต์-ออฟ ส่วนที่จะลดหนี้ให้ทันที และให้ลูกหนี้ชำระเงินต้นเพียง 200 ล้านบาท โดยชำระในวันที่ทำสัญญา 20 ล้านบาท ส่วนเงินต้นที่เหลือ 180 ล้านบาท ให้ชำระภายใน 4 เดือน หากปฎิบัติได้ตามสัญญาก็จะลดหนี้ให้ 301.74 ล้านบาท หรือร้อยละ 60.13 ของเงินต้น และดอกเบี้ยนอกบัญชีทั้งจำนวน

กรณีนี้ธนาคารทำเหมือนกับกรณีที่สอง ลดหนี้ให้ในจำนวนที่สูง ทั้งที่ลูกหนี้ยังดำเนินธุรกิจอยู่ และมีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่มีราคาประเมินเมื่อเดือนกุมภาพันธุ์2554 รวม 275.95 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องจักรที่ยังไม่ได้จดจำนองตามเงื่อนไขการอนุมัติสินเชื่อที่ประเมินราคาอีก 98.73 ล้านบาท นำมาใช้ประกอบการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ด้วย

ทำเป็นขบวนการ

ย้อนไปเมื่อปี 2554 ผู้ตรวจการ ธปท.ได้เข้าตรวจสอบการบริหารงานภายในของสายงานพัฒนาสินทรัพย์ธนาคารแห่งนี้ พบว่า มีกรณีที่น่าสงสัยถึง 4 บริษัทที่มีข้อสังเกตมีการอนุมัติแก้ไขหนี้รายใหญ่ผิดปกติ จึงสั่งให้ธนาคารตั้งกรรมการอิสระสอบสวนเรื่องดังกล่าว แต่ธนาคารขอตรวจสอบเอง โดยครั้งแรกตั้งทีมที่มีหัวหน้าชุดเป็นคนตรงไปตรงมา แต่หลังจากสอบสวนไปได้ระยะหนึ่งก็มีคำสั่งเปลี่ยนเปลงทีมสอบสวนชุดใหม่ซึ่งผลสอบสรุปว่า ทั้ง 4 ราย เป็นการแก้ไขหนี้แบบปกติ ไม่มีมูลการทุจริต

ปี 2555 ธปท.ได้เข้าทำการตรวจสอบในสายงานนี้อีกครั้ง พบว่า เจ้าหน้าที่ปฎิบัติการและฝ่ายบริหารที่เคยเกี่ยวข้องกับ 4 กรณีต้องสงสัยต่างได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งกันหมด ซึ่ง ธปท.พบว่า การตรวจครั้งนี้ก็ยังเจอความผิดปกติของลูกหนี้อีก 2 ราย ที่เป็นรายเดียวกันกับปี 2554

ในเอกสารระบุว่า ธปท.ได้พบหลักฐานการทุจริตที่ชัดเจนในการเรียกเงินตอบแทนจากการอนุมัติลดหนี้ให้ลูกหนี้ โดยบริษัทได้ออกเช็ค 15 ใบๆ ละ 1 ล้านบาท ซึ่งเข้าบัญชีเจ้าหน้าที่ธนาคารระดับผู้อำนวยการอาวุโส 8 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 7 ล้านบาท มีการถอนเป็นเงินสด ซึ่งเข้าใจว่าผู้เกี่ยวข้องกับขบวนการแก้ไขหนี้รายใหญ่ของธนาคารบางคนของรับเป็นเงินสด

ปัจจุบัน ธนาคารได้เลิกจ้างเจ้าหน้าที่ระดับผู้อำนวยการอาวุโสรายนี้แล้ว ขณะที่อีกหลายคนยังคงทำหน้าที่ในธนาคารแห่งนี้ ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ธปท.เชื่อว่าพฤติการณ์แบบนี้ในธนาคารแห่งนี้ทำกันเป็นขบวนการอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ผลกระทบจากการทุจริตเรียกรับผลตอบแทนของเจ้าหน้าที่ธนาคารเหล่านี้ยังส่งผลกระทบต่อลูกหนี้ชั้นดี และลูกหนี้ที่กำลังจะฟื้นตัวให้กลายเป็นธุรกิจมีปัญหาอีกหลายกรณี

พร้อมกันนี้ ในปี 2554 ธนาคารแห่งนี้ยังได้รับเอกสารร้องเรียนพร้อมทั้งหนังสือลาตายของทายาทสืบทอดทำธุรกิจแทนบิดาที่เสียชีวิตระหว่างการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้นี้ด้วย โดยในจดหมายลาตายที่เขียนด้วยลายมือได้บอกเล่าความไร้มนุษยธรรมของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลุ่มนี้ โดยคำนึงถึงแต่ประโยชน์ที่เกิดจากการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ

จากกรณี “ASTVผู้จัดการรายวัน” ได้เปิดโปงพฤติกรรมของพนักงาน-เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ฉ้อฉลต่อลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ หรือลูกหนี้เอ็นพีแอล ซึ่งถูกเรียกรับเงินใต้โต๊ะแลกกับการลดหนี้ให้จำนวนมากตามที่เสนอไปก่อนนี้นั้น (ติดตามอ่านย้อนหลังได้ “เปิดโปงแก๊งโจรเสื้อสูทรีดเงินลูกหนี้ NPL แลกแฮร์คัตฮวบฮาบ")

ตามเอกสารระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้พบหลักฐานการทุจริตที่ชัดเจนในการเรียกเงินตอบแทนจากการอนุมัติลดหนี้ให้บริษัทแห่งหนึ่ง โดยบริษัทนั้นได้ออกเช็ค 15 ใบๆ ละ 1 ล้านบาท ซึ่งผ่านเข้าบัญชีของนาย...เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารระดับผู้อำนวยการอาวุโสของสายงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนที่เหลืออีก 7 ล้านบาท มีการเบิกถอนเป็นเงินสด ซึ่งคาดว่าผู้ร่วมขบวนการบางรายขอรับเป็นเงินสด

ปัจจุบันนี้ ธนาคารแห่งนี้ได้มีคำสั่งเลิกจ้างผู้อำนวยการอาวุโสคนนี้ไปแล้ว ทว่า ยังมีกลุ่มผู้ร่วมขบวนการยังทำงานอยู่ที่ธนาคารเหมือนเดิม มิหนำซ้ำ บางคนได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น นาง ณ เลื่อนตำแหน่งจาก ผอ.อาวุโส เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน ซึ่งตำแหน่งนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจาก ธปท.ซึ่ง ธปท.ได้ขอให้สรุปผลการสอบสวนเสร็จก่อนค่อยแต่งตั้ง แต่ปรากฏว่า ธนาคารก็ยังยืนยันที่จะแต่งตั้งก่อนทราบผลการสอบสวน ต่อมาภายหลังพบว่า นาง ณ มีภาระหนี้ที่มีปัญหากับธนาคาร ธปท.ได้ทักท้วงว่า ขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และอาจจะถูกปรับจาก ธปท.เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามมาตรา 24

ปัจจุบัน ธนาคารได้ปรับลดตำแหน่งผู้บริหารคนนี้ลงเป็น ผอ.อาวุโส ตามข้อทักท้วงของ ธปท.

เมื่อ ธปท. ตรวจสอบลึกลงไปในบางบริษัทที่คนกลุ่มนี้ดูแลอยู่ เช่น บริษัท ส.ซึ่งดำเนินธุรกิจจัดสรรที่ดินในสนามกอล์ฟ พบว่า มีการลดหนี้ให้ลูกหนี้เป็นจำนวนสูง ทั้งๆ ที่หลักประกันคุ้มหนี้มาก โดยผู้บริหารคนเดิมที่ถูกเลื่อนชั้นมาอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นนี้ให้เหตุผลว่า หลักประกันไม่มีทางเข้าออก ดังนั้น ราคาประเมินจึงสูงเกินจริง แต่จากการตรวจสอบของฝ่ายประเมินพบว่า ที่ดินหลักประกันอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.จัดสรร ดังนั้น จึงมีทางเข้าออกแน่นอน และยืนยันว่า ราคาประเมินดังกล่าวถูกต้อง และสมเหตุสมผลแล้ว ซึงตามข้อมูลนี้ธนาคารได้รับความเสียหายจากการลดหนี้ดังกล่าวเป็นจำนวนสูงไปแล้ว

นอกจากนี้ ธปท.ยังมีข้อสังเกตเพิ่มในการตรวจสอบครั้งนี้ว่า มีการแก้ไขหนี้ลูกหนี้อีกหลายรายที่มีความผิดปกติ

การทุจริตในกรณีนี้ยังถูกประจานออกไปภายนอกเมื่อผู้บริหารของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งขอพึ่งกระบวนการยุติธรรมต่อสู้ไม่ยอมจำนนต่อคนกลุ่มนี้ โดยปรากฏเป็นหลักฐานแจ้งความลงในบันทึกประจำวันของตำรวจ เมื่อเดือนกันยายน 2555

ทั้งนี้ ผู้บริหารบริษัทรายนี้เข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีอาญาต่อพนักงานธนาคารแห่งนี้ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจในข้อหายักยอกเงิน 30 ล้านบาท ที่ทาง FA ขอเบิกเงินจากบริษัทฯ โดยแจ้งว่าจะนำไปจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ธนาคารเป็นค่าปูทางที่จะลดหนี้ให้ในจำนวนมากๆ

ปัจจุบันคดีนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการสอบสวนของตำรวจเศรษฐกิจ

** ลูกหนี้เครียดฆ่าตัวตาย

การทุจริตของพนักงานธนาคารขนาดใหญ่แห่งนี้ส่งผลอย่างมากต่อธนาคาร และลูกค้า ลูกค้าบางรายที่รับไม่ได้กับพฤติกรรมที่อาศัยช่องทาง และอำนาจที่ตัวเองมีบีบบังคับลูกหนี้ซึ่งไม่แตกต่างจากโจร จนเครียดนำไปสู่การฆ่าตัวตาย

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2554 ได้มีทายาทลูกหนี้ของธนาคารรายหนึ่งทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมที่บิดาของเธอได้ฆ่าตัวตาย โดยในจดหมายลาตายที่เขียนด้วยลายมือของบิดาระบุว่า ได้เจรจาชำระหนี้กับธนาคาร และสรุปยอดชำระแน่นอนแล้ว และเขาได้ขอกู้เงินจากธนาคาร SME มาชำระหนี้ตามตกลงพร้อมมีจ่ายเงินใต้โต๊ะเจ้าหน้าที่แก้หนี้แล้วบางส่วน แต่ต่อมา เจ้าหน้าที่ธนาคารแจ้งว่า ต้องชำระเพิ่มจากที่ตกลง บิดาของเธอจึงเกิดความเครียด และยิงตัวตายในที่สุด

เดิมนั้นบริษัทแห่งนี้ซึ่งประกอบธุรกิจอยูในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจดำเนินไปด้วยดีโดยต้องการกู้เงินมาเพื่อขยายกิจการ และเพื่อเกาะกุมโอกาสที่เศรษฐกิจขยายตัว แต่เมื่อปี 2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจธุรกิจได้รับผลกระทบจึงมีปัญหาเรื่องการเงิน

ที่ผ่านมา บริษัทฯ นี้ได้เจรจาประนอมหนี้กับธนาคารโดยสามารถผ่อนชำระได้ในอัตราเดือนละ 450,000 บาท ในเวลาที่กำหนด โดยเขาสามารถผ่อนชำระมาได้ทุกงวดโดยไม่ได้ผิดนัด เพื่อหวังว่าจะได้ชำระหนี้ให้แก่ธนาคารครบถ้วนตามเงื่อนไขที่ประนอมหนี้ไว้เช่นลูกหนี้ที่ดี พยายามขวนขวายดิ้นรนทุกวิถีทางแม้กระทั่งกู้เงินนอกระบบมาเพื่อจะปลดหนี้กับธนาคาร และได้มีการเจรจากับธนาคารครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2553 โดยธนาคารตกลงให้ทางบริษัทตัดชำระหนึ้เงินต้น จำนวน 27 ล้านบาทเศษ

นอกจากนี้ ไม่เพียงธนาคาร SME บริษัทได้ติดต่อขอกู้เงินจากธนาคารอีกแห่งหนึ่ง เพื่อนำมาตัดชำระหนี้ให้แก่ธนาคารอีกทางหนึ่งให้เป็นไปตามข้อตกลง โดยในการพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อให้บริษัท ธนาคารทั้ง 2 แห่งได้ติดต่อประสานงานกับธนาคารแห่งนี้เพื่อขอทราบยอดหนี้ ซึ่งธนาคารก็ได้แจ้งยืนยันยอดหนี้ที่ต้องชำระให้ธนาคารทั้ง 2 แห่งที่เป็นแหล่งเงินใหม่ของบริษัทจึงอนุมัติวงเงินเพื่อมาชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเดิมเรียบร้อย

ทว่า กลุ่มบุคคลที่ไม่ต่างจากโจรใส่เสื้อสูทของธนาคารแห่งนี้ก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา เป็นผลให้ความหวังที่จะนำเงินมาชำระหนี้ล่าช้าออกไป และยังได้รับแจ้งจากธนาคารว่าจะขอเพิ่มเงินต้นอีก 2 ล้านบาท จาก 27 ล้านบาทเศษ เป็น 29 ล้านบาทเศษ

ผู้บริหารบริษัทรายนี้ก็ได้ดิ้นรนหาเงินมาเพิ่มยินยอมตามที่เจ้าหน้าที่กลุ่มนี้แจ้งมา และ รอคอยที่เจ้าหน้าที่กลุ่มนี้รับปากว่าจะนำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมกรรมการของธนาคาร เพียงหวังว่าจะปลดหนี้ได้เสียที และสามารถที่จจะประคับประคองธุรกิจให้สามารถเดินต่อไปได้

จนวันที่ 21 กันยายน 2554 เขาได้พบกับทีมประนอมหนี้ดังกล่าว และได้รับแจ้งว่าไม่สามารถอนุมัติให้รีไฟแนนซ์ หรือตัดชำระหนี้ได้ โดยยืนยันว่า ธนาคารจะฟ้องร้องต่อศาลเพื่อให้บริษัท และผู้ค้ำประกันชำระหนี้เท่านั้น

จากพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ ผู้บริหารบริษัทที่แบกรับภาระไว้มาหลายปีรู้สึกถึงความหลอกลวง การรีดไถ ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่ดำเนินการแก้หนี้ได้มีการพูดคุยเจรจาประนอมหนี้หลายต่อหลายครั้งจนจะเรียบร้อยด้วยกระบวนการหมดแล้วกลับมาพังครืนลงอีก

ในที่สุด หลังจากพบเจ้าหน้าที่ประนอมหนี้แจ้งข่าว เขาก็กลับมาปลิดชีพตนเอง ซึ่งก่อนตายได้เขียนหนังสือลาตาย กล่าวถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกี่ยวกับหนี้สิน และการประนอมหนี้กับทีมประนอมหนี้ของธนาคารแห่งนี้ไว้อย่างชัดเจน

หลังจากที่ผู้บริหารรายนี้ฆ่าตัวตาย เจ้าหน้าที่ของบริษัทได้แจ้งต่อทีมประนอมหนี้ดังกล่าวว่า ผู้บริหารของตนได้เสียชีวิตลงแล้ว แต่ทีมประนอมหนี้นอกจากจะไม่แยแส หรือรู้สึกถึงความสูญเสียของลูกหนี้ และผลกระทบต่อบุคลากรในบริษัทฯ อีกจำนวนมากแล้ว กลุ่มคนดังกล่าวกลับแจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่บริษัทเพียงว่า ถึงอย่างไรก็ต้องฟ้องต่อศาลเพื่อให้ชำระหนี้เพียงอย่างเดียว
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 1 เดือน ที่ผ่านมา #33344 โดย Ploylyly
อ่านแล้วก็รู้สึกเศร้าใจกับสังคมไทย โดยเฉพาะพวกเห็นแก่ได้ เห็นแก่ประโยชน์พวกพ้องของตนเอง จนขาดมนุษยธรรม

ขอไว้อาลัยแก่ชาวหนี้ด้วยกันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ถึงแม้ว่าหนี้เราจะต่างกันมากมายก็ตาม แต่เข้าใจในสถานการณ์เหมือนกัน

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

10 ปี 8 เดือน ที่ผ่านมา #42867 โดย noopat
เจ้าหน้าที่แบงค์ก็ตัวดี บ้านโดนฟ้องยึด เมื่อไปถึงศาลบอกให้ประนอม เราก็ทำตามเพราะอายุก็มาก พยายามดึงแล้ว(เพื่อแม่) แต่สุด ๆ แล้ว ก็ไม่ไหว
ยึดที่ 2.5 ล. ให้เวลาขาย 6 เดือน ราคาซื้อขาย 4.5 - 5 ล. ถ้าไม่รีบ จากนั้น 1 เดือน จนท. บอกมีคนจะซื้อ 2.65 ล. เอาไหม จะเหลือเงินอีกตั้ง แสนห้า
เพราะถ้ารอตามหวังอาจไม่ได้เลย (เขามีนายทุนแล้ว กะฟันกำไรเนื้อ ๆ เห็นเราแก่ ๆ คงงี่เง่า) เราไม่ขาย ติดป้ายตัวโตหน้าบ้านเลย 3.9 ล. ขาดตัว แถม
ทุกอย่างในบ้าน แอร์ 5 ตัว ปั้มน้ำออโต้อย่างดี และ อื่น ๆ เพียบ ไม่ถึงเดือนปิดการขายได้เรียบร้อยดังใจ แล้วก็ไม่ถึงเดือนเราได้บ้านใหม่ใกล้ที่ทำงาน
บ้านเดี่ยว ตกแต่งพร้อม เพียงยกกระเป๋า อยู่ได้เลย พื้นที่ 100 ตรว. เป็นเพราะเราเป็นเนื้อคู่กัน ราคาเพียง 2.6 ล. เรามีทุนมาตั้ง 1.3 ล. ขอบคุณที่ฟ้าลิขิต
ให้แบงค์ยึดบ้านเก่า รายละเอียดเยอะ แค่นี้ก่อนเนอะ แค่จะแชร์ และแบ่งปันว่าอย่ายึดติดค่ะ และก็อย่าไว้ใจเจ้าหน้าที่แบงค์มากก็เท่านั้นค่ะ :P :cheer: :wo:

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

ผู้ดูแล: MommyangelBadmankonsiam
เวลาที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บ: 0.809 วินาที
ขับเคลื่อนโดย ระบบฟอรัม Kunena