สารพันสรรสาระ และข่าวสารเพื่อเพื่อนชาวหนี้ ปี 55-56

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25188 โดย Mommyangel
สนใจเรื่อง ภาษี กันมั๊ย..คร้า....

ขอเป็นเก้าอี้พักใจ....
ให้เธอได้พักพิง...
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: ntps

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25189 โดย Ploylyly
ดีเลยครับ จะได้มีความรู้เรื่องภาษีกับเค้าบ้าง ยิ่งโง่ๆอยู่ ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เท่าไหร่เลย เพราะมันหักในเงินเดือนเลย
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: ntps

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25191 โดย ntps
พี่ลี ได้เลยค่ะ เหมือนกันค่ะ ยังงมโข่งกับภาษี ^^

มาต่ออีกนิดเรื่อง เงินออมก่อนคั้นเวลาพี่ลีมาต่อเรื่อง ภาษี ค่ะ

เคล็ดลับดีๆ ในการออมเงินให้เพิ่มขึ้น บัญชีเงินออมนั้นจำเป็นต้องแยกออมจาก
บัญชีเงินฝากที่ใช้บัตร ATM และไม่ควรนำเงินทั้งหมดมารวมกัน เพราะเวลามีเงิน
ในมือมักมีเหตุผลให้ใช้เงินได้ตลอดเวลา

ต้องแยกเงินออกเป็น 4 บัญชี

1 บัญชีเงินฉุกเฉิน สำหรับเหตุไม่คาดฝันต่างๆ ทางที่ดีที่สุด ควรมีเงินสัก 6 เท่าของเงินที่คุณใช้จ่าย

2 บัญชีเงินออม ระยะสั้น-กลาง เก็บเพื่อให้คุณบรรลุเป้าหมายในสิ่งที่อยากได้ เช่น บ้าน รถ

3 บัญชีเงินออม ระยะยาว จะมีค่าเมื่อคุณเกษียณอายุ ถ้าเริ่มสะสมตั้งแต่วันนี้ เมื่อถึงเวลาจะไม่ลำบาก ต้องมีวินัยในการออมสูงมาก

4 บัญชีเพื่อการลงทุน มองหากองทุนสักอย่าง เพื่อจะทำให้เงินเก็บของคุณเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่รอคอยดอกเบี้ยอันน้อยนิดจากการฝากแบงค์ แม้ได้ผลตอบแทนมากกว่าแต่มันมาพร้อมกับความเสี่ยง



ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Mommyangel, Ploylyly

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25193 โดย ntps

พูดถึงภาษี พี่ลีค่ะ ช่วยมาขยายความตามที่ได้ยินว่า

อัตราภาษีบุคคลธรรมดากรมสรรพากรได้เสนอให้มีการปรับอัตราใหม่ให้มีความถี่
มากขึ้นเริ่มตั้งแต่

รายได้หลังหักรายจ่ายและค่าลดหย่อน 0-1.5 แสนบาท ได้รับการยกเว้นภาษี

รายได้ 1.5-3 แสนบาท เสียภาษี 5%

รายได้ 3-5 แสนบาท เสียภาษี 10%

รายได้ 5-7.5 แสนบาท เสียภาษี 15%

รายได้ 7.5 แสนบาท - 1 ล้านบาท เสียภาษี 20%

รายได้ 1-2 ล้านบาท เสียภาษี 25%

รายได้ 2-4 ล้านบาท เสียภาษี 30% และ

รายได้ตั้งแต่ 4 ล้านบาท เสียภาษี 35% จากปัจจุบันอัตราภาษีอยู่ที่ 10-37%

ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25231 โดย Champcyber99

ออมสินลุยไฟเข็น"บัตรเครดิตน.ศ.-รากหญ้า"เปิดช่องไม่มีสลิป-ลูกค้าต่ำเกณฑ์แบงก์
แบงก์ออมสินเดินหน้า "บัตรเครดิตนักเรียนนักศึกษา-บัตรเครดิตรากหญ้า" หวังเจาะกลุ่มไม่มีสลิปเงินเดือนที่ถูกแบงก์พาณิชย์เมิน เผยหลักเกณฑ์เบื้องต้นให้วงเงินใบละไม่เกิน 5 พันบาท-ดอกเบี้ยอาจต่ำกว่า 18% ด้านแบงก์ชาติหนุนช่วยรากหญ้าเข้าถึงบริการการเงิน แต่ต้องให้ความรู้วินัยการเงิน

นายธัชพล กาญจนกูล รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า แบงก์มีแนวคิดจะออกบัตรเครดิต 2 ประเภท โดยตัวแรก คือบัตรเครดิตนักเรียนนักศึกษา ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารไปแล้ว ล่าสุดอยู่ระหว่างให้ฝ่ายการตลาดกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขต่างๆ ทั้งอัตราดอกเบี้ย วงเงินที่เหมาะสม และจำนวนนักเรียนนักศึกษาที่จะเข้าร่วมโครงการ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนจะมีความชัดเจน

ส่วนอีกตัวที่อยู่ระหว่างรอความชัดเจน จากนโยบายรัฐบาล คือบัตรเครดิตรากหญ้า ที่จะเน้นผู้ประกอบอาชีพอิสระ พ่อค้า แม่ค้า ที่ไม่มีเงินเดือนประจำที่ต้องมีสลิป เพื่อให้มีเงินไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ อยู่ระหว่างรอนโยบายที่ชัดเจนจากกระทรวงการคลัง เพราะต้องมีการขอผ่อนปรนเงื่อนไขหลักเกณฑ์จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วย

"บัตรเครดิตรากหญ้าต้องรอนโยบายจากรัฐบาล โดยให้ทางคลังมีนโยบายชัดเจน แล้วต้องไปคุยกับแบงก์ชาติว่า จะสามารถผ่อนปรนหลักเกณฑ์ตรงไหนได้บ้าง เพราะเป็นโครงการพิเศษ คล้ายโครงการพักหนี้ เพราะเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยต่างๆ"นายธัชพลกล่าว

อย่าง ไรก็ดี นายธัชพล กล่าวว่า เบื้องต้น บัตรเครดิตทั้ง 2 ประเภท คาดว่าการอนุมัติวงเงินต่อบัตรน่าจะอยู่ไม่เกิน 5,000 บาท น่าจะเหมาะสม เพราะต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มนี้ไม่เคยถูกบันทึกในฐานข้อมูลของระบบธนาคาร เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์การอนุมัติของธนาคารพาณิชย์ โดยกรณีนักเรียนนักศึกษานั้น อาจต้องขอให้ผู้ปกครองค้ำประกันให้ด้วย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในอนาคต แต่จะผ่อนปรนในเรื่องเอกสารหลักฐานบางรายการมากกว่าการทำบัตรเครดิตกับแบงก์ พาณิชย์ อาทิ หลักฐานเกี่ยวกับรายได้ เป็นต้น

ส่วนการคิดอัตรา ดอกเบี้ยบัตรเครดิตทั้ง 2 ประเภท อาจจะต่ำกว่าหรือใกล้เคียงกับบัตรเครดิตทั่วไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้ที่ 18% อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าเงื่อนไขจะดีกว่าการไปกู้นอกระบบแน่นอน

"อัตราดอกเบี้ยคง ต้องถูกลงมาหน่อย เพราะทำเพื่อพี่น้องประชาชน แต่เราต้องมีบัตรเป็นของตัวเองอยู่แล้ว กฎเกณฑ์ก็ต้องปรับเกณฑ์ใหม่ แต่คงต้องใช้เวลา ตอนนี้อยู่ระหว่างพิจารณา เพราะขนาด ธ.ก.ส. (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ที่ทำบัตรเครดิตเกษตรกรยังต้องใช้เวลา" นายธัชพลกล่าว

นายธัชพล กล่าวอีกว่า ในอนาคต เมื่อธนาคารออมสินลงทุนทำบัตรเครดิตเองแล้ว อาจจะต้องยกเลิกการทำบัตรเครดิตที่ร่วมกับสถาบันการเงินอื่น (โคแบรนด์) เช่น ที่ทำร่วมกับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือเคทีซีอยู่ในปัจจุบัน เป็นต้น เพื่อไม่ให้ลูกค้าสับสนสำหรับแนว คิดที่จะทำโครงการนี้ เนื่องจากธนาคารออมสินมองเห็นโอกาสเพิ่มช่องทางหารายได้ โดยเข้าไปเจาะกลุ่มที่ไม่ได้รับอนุมัติจากแบงก์พาณิชย์ ส่วนความกังวลเรื่องเอ็นพีแอลนั้น ยอมรับว่าคงต้องมีวิธีการควบคุมเป็นพิเศษ แต่ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะแบงก์มีประสบการณ์และพนักงานก็ได้เรียนรู้ระบบบัตรเครดิตมาแล้ว

นาง สาวนวพร มหารักขกะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การที่แบงก์รัฐเริ่มลงมาแข่งขันและทำบัตรเครดิต ไม่น่ากระทบต่อสภาพคล่องของระบบสถาบันการเงินรวม เนื่องจากปัจจุบันแบงก์รัฐบางแห่งมีขนาดใหญ่มาก และกลุ่มรากหญ้าก็อาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของแบงก์พาณิชย์ ดังนั้นการที่รัฐเริ่มโครงการนี้ ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้คนกลุ่มหนึ่งที่แบงก์พาณิชย์เข้าไม่ถึง

ส่วน ประเด็นความเสี่ยงก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ ซึ่งต้องคำนึงถึงวินัยทางการเงินของคนเหล่านี้ด้วย แต่คงไม่ใช่ว่าแบงก์ต้องดูแลอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนรากหญ้า

"คนที่ ทำธุรกิจก็ต้องขายของ สถาบันรัฐก็ต้องการช่วยเหลือคนบางกลุ่ม แต่มีอยู่กลุ่มหนึ่งที่ดูแลตัวเองไม่ได้ และขาดความรู้ ซึ่งเป็นหน้าที่ต้องให้ความรู้ เราเป็นผู้กำกับดูแลของแบงก์พาณิชย์ หากเกิดอะไรขึ้น เราก็จะคอยดู ซึ่งบางคนอาจไม่เข้าใจว่า การที่เราได้เงินมาง่ายเกินไป อาจทำให้เราเป็นหนี้" นางสาวนวพรกล่าว
ที่มาประชาชาติธุรกิจ


ชั่งเป็นธนาคารที่มีความเมตตาเสียจริงๆ ดอก 18 %คำว่าธนาคารก็พวกเดียวกันนั้นเอง
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Mommyangel, Ploylyly, ntps

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25274 โดย Champcyber99
หนี้ครัวเรือนเริ่มมีปัญหา
ธปท.เกาะติดหนี้ครัวเรือน หลังยอดผิดนัดชำระหนี้เกิน 1 เดือนพุ่ง
จับตาวิกฤตเศรษฐกิจโลก บั่นทอนภาวะจ่ายหนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุในรายงานในแนวโน้มเงินเฟ้อประจำเดือน ต.ค. ว่า
ธปท.เริ่มติดตามหนี้ภาคครัวเรือนอย่างใกล้ชิด
หลังจากพบว่ากลุ่มที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง (รายได้ต่ำกว่า 2.5 หมื่นบาทต่อเดือน)
ที่กู้เงินจากบริษัทบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เริ่มมีสัญญาณการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น
เห็นได้จากสินเชื่อค้างชำระเกิน 1 เดือน
มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคลที่เร่งขึ้นในช่วง 6 เดือนล่าสุด
ทั้งนี้ มาตรการผ่อนคลายทางการเงินของประเทศหลัก
เริ่มส่งผลให้เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของไทยมีความเสี่ยงสูงขึ้น
โดยภาคธุรกิจได้รับผลกระทบจากการส่งออกหดตัวมีมากขึ้น
และอาจบั่นทอนความสามารถในการชำระหนี้ของภาคเอกชนไทย
และส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อได้
นอกจากนี้ ความสามารถในการชำระหนี้แล้ว
ความเสี่ยงระยะต่อไปที่ ธปท.ต้องติดตาม
คือผลกระทบของการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินของสหรัฐ (คิวอี 3)
ต่อความผันผวนของตลาดการเงินไทยและค่าเงินบาท โดยไตรมาส 3 ปีนี้ค่าเงินบาทปรับอ่อนค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 31.36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากไตรมาสก่อนหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ 31.32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ธปท.คาดว่า คิวอี 3 มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มากนัก
เงินทุนน่าจะไหลเข้าน้อยกว่าช่วงที่มีคิวอี 1 และ 2 เมื่อปี 2551 และ 2553 ตามลำดับ เพราะเศรษฐกิจเอเชียอ่อนแอลงอย่างชัดเจน จากการส่งออกที่หดตัวต่อเนื่อง
ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่ได้ขึ้นกับเงินลงทุนจากต่างประเทศมากนัก เมื่อเทียบกับประเทศที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาฟองสบู่อย่างสิงคโปร์และฮ่องกง
ก่อนหน้านี้ ธปท.ระบุว่า สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ของภาคครัวเรือนเริ่มสูงขึ้นที่ระดับ 40-50% ของรายได้รวม เทียบกับอดีตอยู่ที่ 30% ขณะที่สัดส่วนที่เหมาะสมคือ 28%
ที่มาโพสต์ทูเดย์
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25310 โดย Ploylyly
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มธุรกิจการเงินรายใหญ่สัญชาติอเมริกันที่ชื่อ จีอี แคปปิตอล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด ว่า หลังจากที่กลุ่มจีอีได้ขายหุ้นของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ที่ถืออยู่ในมือในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดที่มีสัดส่วนอยู่ 32.9%ให้แก่กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ประเภทสถาบันในแบบเฉพาะ เจาะจงเมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยขายไป 7.6% วงเงินรวม 17,000 ล้านบาท ผ่านการจัดจำหน่ายของวาณิชธนกิจใหญ่สัญชาติเดียวกันคือ มอร์แกน สแตนเลย์นั้น

ปรากฏว่าช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มจีอีได้นำหุ้นที่ยังคงถืออยู่ในธนาคารกรุงศรีอยุธยาอีก 25.3% ไปเสนอขายแก่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินรายใหญ่ของไทยหลายแห่ง พร้อมเสนอโมเดลควบรวมกิจการกันระหว่างธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ ซึ่งหนึ่งในธนาคารที่กลุ่มจีอีได้เสนอขายหุ้นที่เหลืออยู่ทั้งหมดก็คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มจีอีได้เสนอขายหุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยาส่วนที่เหลือทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ ตามกลยุทธ์ที่ได้มีการทำข้อตกลงไว้กับมอร์แกน สแตนเลย์ และตลาดหลั...กทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้คำมั่นสัญญาว่าหลังจากที่ขายหุ้นจำนวน 7.6% ให้แก่นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงไปแล้ว กลุ่มจีอีจะไม่ขายหุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยาเพิ่มอีกภายในเวลา 180 วัน เว้นแต่จะตัดสินใจขายทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมดดังที่มีกระแสข่าวออกมา

สำหรับโมเดลธุรกรรมทางการเงินที่กลุ่มจีอีนำเสนอแก่ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารไทยพาณิชย์ ก็คือ ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ซื้อหุ้นจำนวน 25.3% ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่กลุ่มจีอีถืออยู่ เพื่อให้ธนาคารไทยพาณิชย์มีขนาดและสถานะใหญ่เป็นอันดับ 1 ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย

จากปัจจุบันที่ธนาคารไทยพาณิชย์มีขนาดของสินทรัพย์ 2.06 ล้านล้านบาท เงินฝาก 1.5 ล้านล้านบาท และสินเชื่อ 1.4 ล้านล้านบาท รวมเป็นมูลค่า 4.8 ล้านล้านบาท ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ขณะที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีสินทรัพย์ 957,679 ล้านบาท มีเงินฝาก 677,120 ล้านบาท และมีสินเชื่อ 668,278 ล้านบาท มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของธนาคารทั้งระบบ

ทั้งนี้ ข้อเสนอที่ให้มีการควบรวมกิจการกันนั้นการจะตัดสินใจดำเนินการใดๆ เพื่อการควบรวมกิจการกันดังกล่าว อันดับแรกผู้บริหารระดับสูงของธนาคารไทยพาณิชย์ต้องหารือกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่อีกรายซึ่งก็คือกลุ่ม ของนายกฤต รัตนรักษ์ ซึ่งยังถือหุ้นของธนาคารกรุงศรีอยุธยาอยู่ราว 25% เพื่อให้ความเห็นชอบด้วย หาไม่โมเดลทางธุรกิจนี้ อาจทำให้ธนาคารทั้ง 2 แห่งนี้กลายเป็นปรปักษ์ต่อกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารของธนาคารไทยพาณิชย์ ได้พยายามขอนัดนายฤกต รัตนรักษ์ ผ่านคนใกล้ชิดในสัปดาห์หน้า แต่ยังไม่ได้รับคำตอบจากนายกฤต ขณะเดียวกัน บรรดานายธนาคารต่างๆให้ความเห็นว่า ถ้ากลุ่มจีอีผลักดันให้เกิดการควบรวมกิจการกันได้ ธุรกรรมนี้ก็จะจัดเป็นธุรกรรมการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะจะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลหลายแสนล้านบาท

มีรายงานด้วยว่า ล่าสุด นายวิชิตได้เจรจาต่อรองกับจีอีแคปปิตอล ให้มีการควบรวมระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารศรีอยุธยาพร้อมให้มีการแลกหุ้นระหว่างกัน แต่กลุ่มจีอีแคปปิตอลปฏิเสธเงื่อนไขนี้เนื่องจากต้องการเงินสดจากการขายหุ้นและไม่ต้องการถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยอีก กรณีนี้ทำให้กลุ่มจีอีหันไปเสนอขายหุ้นในมือตนให้แก่ธนาคารซีไอเอ็มบี ซึ่งขณะนี้ผู้บริหารระดับสูงของซีไอเอ็มบีแบงก์ก็กำลังศึกษาโมเดลธุรกิจนี้อยู่.

อั้ยหย่ะ จะผสมพันธ์กันแล้ว
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: ntps

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25355 โดย ntps

อาจเป็นเพราะกระแส 3G กำลังจะเกิดในบ้านเรา หลังจากรอแล้วรอเล่า

ห้างแบบ supermarket ใหญ่ของไทย เช่น Tesco Lotus และ

BigC จึงเรียงหน้าออกข่าว กำลังเริ่มใช้กลยุทธ Virtual Store

หรือการขายของโดยไม่มีหน้าร้านค่ะ ซึ่งในต่างประเทศ เช่น

เกาหลี หรือยุโรป ได้เริ่มใช้แล้ว ตามสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งที่บ้านเรา

เริ่มที่รถไฟฟ้า Airport Rail Link พญาไทค่ะ จึงนำมาเล่าข่าว

ความเคลื่อนไหวด้านเทคโนฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตของเราค่ะ

แรงงานคนระดับกลางอาจต้องการน้อยลง ความต้องการมือถือแบบ

smart phone มากขึ้น เช่นเดียวกับบัตรเครดิตที่ยังโตขึ้นอีกค่ะ


Smart Store

คือคอนเซ็ปของการช๊อปปิ้งในยุคดิจิตอลที่แสนสะดวกและสบายด้วย

เทคโนโลยีต่างๆ เช่น Barcode หรือ QR Code โดยคอนเซ็ปดังกล่าว

ได้รับการแนะนำให้รู้จักกันมาบ้างแล้วในก่อนหน้านี้ แต่ที่ผ่านมายัง

ไม่ได้นำคอนเซ็ปดังกล่าวมาทำให้เกิดเป็นร้านค้าที่สามารถ ช๊อปปิ้ง

ได้จริงมาก่อน แต่แล้ววันนี้คอนเซ็ปดังกล่าวได้กลายเป็นความจริง

แล้วในสถานีรถไฟใต้ดิน Seolleung ที่ประเทศเกาหลีใต้

<br/> <br/>Homeplus Smart Virtual Store เป็นเพียงแผ่นป้าย

โฆษณาที่มีการจัดรูปแบบเหมือนชั้นวางสินค้าตามห้างสรรพ สินค้าทั่วไป

โดยจะทำการแสดงรายละเอียดสินค้า ราคา และที่สำคัญ Barcode และ

QR Code ของสินค้าแต่ละชนิด วิธีการซื้อของก็แสนง่ายดายเพียง

แต่เบื้องต้นต้องทำการดาวน์โหลด application ที่มีชื่อว่า Homeplus App

สำหรับระบบปฎิบัติการ iOS หรือระบบปฎิบัติการ Android เมื่อใดต้องการ

ซื้อสินค้าชนิดไหนก็เพียงแค่เปิด application ดังกล่าวขึ้นมาเพื่อทำการสแกน

Barcode หรือ QR Code จากนั้นทำการตรวจสอบข้อมูลสินค้าที่ต้องการและ

ทำการจ่ายเงินผ่านทาง eMoney ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของการตัดเงินผ่านทาง

Homeplus ID หรือบัตรเครดิต







แค่มองหาของ แล้วสแกนบาร์ จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็จบธุรกรรมค่ะ

ไม่ต้องออกจากบ้านไปหอบหิ้วของ เปลืองน้ำมันรถ แต่ไม่รู้ว่า

หากทำแบบนี้ในบ้านเรา จะเกิดช่องทุจริตแบบไหนอีกค่ะ :เฮ้อ:




ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25358 โดย Ploylyly
ไฮเทคมากซื้อของสแกนเอา แต่สงสารธุรกิจโชห่วยของอากงอาม่าที่มีมานมนานกาเล ทำให้เป็นเจ้าสัวกันไปหลายคนแล้ว คงต้องเจ๊งกันระนาว
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: ntps

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25518 โดย ntps
ยังหาสาระใหม่ๆ มาลง ไม่ทัน ขอลง เรื่องของนายซิงห์ก่อนนะค่ะ




ถ้าทำได้ ดีมากๆ ค่ะ ไม่จำเป็นต้องเริ่มเท่าเขา แค่เราหักสัก 10% ของเงินเดือน

ใส่บัญชีออม ที่คิดว่าจะให้ค่าตอบแทนดีกว่าบัญชีปกติ เดี๋ยวนี้ แบงค์หลายที่

มีให้เลือกจะออมทรัพย์หลายระดับ เป็นขั้นบันไดค่ะ ออมได้ถอนได้ในเงื่อนไข

ที่ไม่ใช่ฝากประจำ ของแก้วจ๋าไปเริ่มมาแล้วกับ ธนชาติ ออมขั้นต่ำ 10000 ได้

ดอกเบี้ยทุกเดือน ประมาณ 0.875 ถ้าฝากยิ่งสูงขึ้น ดอกก็วิ่งไปอีกขั้นประมาณ

2.15 ซึ่งมากกว่าออมธรรมดาค่ะ ลองดูค่ะ เจ้าหนี้รายไหนยังไม่อยากเอาเงิน

เร็ว ก็เก็บแบบนี้ไว้ก่อนก็ได้ค่ะ เขาให้ถอน 2 ครั้ง มีขั้นต่ำรักษาบัญชีด้วยค่ะ


ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25522 โดย Champcyber99
เตือนระวังโดนหลอกโอนเงินผ่าน ATM
สมาคมธนาคารไทยร่อนหนังสือเตือนประชาชนระวังมิจฉาชีพหลอกลวงโอนเงินผ่านเอทีเอ็ม
สมาคมธนาคารไทย มีเอกสารข่าวแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการหลอกลวงให้โอนเงินผ่านเอทีเอ็ม โดยระบุว่า ปัจจุบันยังมีกลุ่มมิจฉาชีพออกหลอกลวงประชาชน โดยการโทรศัพท์ไปแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารจากฝ่ายบัตรเครดิต และแจ้งว่าท่านเป็นหนี้บัตรเครดิตหรือมีรายการใช้บัตรเครดิตที่ห้างสรรพสินค้าต่างๆ รวมทั้งมีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งว่าบัญชีเงินฝากของท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตด้านการเงินในลักษณะต่างๆ โดยมีเป้าหมายในการลวงถามข้อมูลการเงินและส่วนตัว ตลอดจนหลอกให้ลูกค้าทำธุรกรรมการเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็ม หรือให้ฝากเงินผ่านเครื่องรับฝากเงินอัตโนมัติ ซึ่งในที่สุดจะเป็นการโอนเงินให้กลุ่มมิจฉาชีพ สร้างความเสียหายให้แก่ผู้ที่หลงเชื่อเป็นจำนวนมาก
สมาคมธนาคารไทยขอแจ้งว่า ธนาคารทุกแห่งไม่มีนโยบายในการโทรศัพท์ไปแจ้งข้อมูลหรือสอบถามข้อมูลการเงินจากลูกค้า หรือให้ลูกค้าไปทำรายการแก้ไขข้อมูลใดๆ ผ่านเครื่องเอทีเอ็มหรือเครื่องฝากเงินอัตโนมัติ หากได้รับโทรศัพท์ในลักษณะดังกล่าว ขอให้อย่าไดหลงเชื่อให้ข้อมูลหรือทำรายการใดๆ ตามข้อแนะนำของกลุ่มมิจฉาชีพ
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มมิจฉาชีพทำการลักลอบคัดลอกข้อมูลบัตรและขโมยรหัสของลูกค้าในขณะทำรายการผ่านเครื่องเอทีเอ็ม แม้ธนาคารต่างๆ จะได้มีการดำเนินการป้องกันการกระทำเช่นนี้จากกลุ่มมิจฉาชีพแล้ว แต่ปรากฏว่ายังมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก
สมาคมธนาคารไทย จึงใคร่ขอแจ้งเตือนมายังลูกค้าและประชาชน ขอให้ใช้มือบังในขณะกดรหัส และควรเปลี่ยนรหัสเอทีเอ็มอยู่เสมอ อย่าหลงเชื่อบุคคลอื่นให้ไปทำรายการที่เครื่องเอทีเอ็ม หากลูกค้าพบสิ่งผิดปกติหรือมีข้อสงสัยใดๆ ในขณะทำรายการผ่านเครื่องเอทีเอ็ม ขอให้ยุติการทำรายการทันที และติดต่อสอบถามจาก Call Center ตามหมายเลขที่ติดอยู่บนหน้าเครื่องเอทีเอ็มของแต่ละธนาคาร
ข่าวนี้รู้มานานแล้วแต่ก็ยังโดนหลอกกันทุกวัน
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25525 โดย Champcyber99

พักหนี้รายย่อยทางออกแก้หนี้ครัวเรือน
แม้ตัวเลขเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศในปีนี้จะยังพอดูได้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้ไว้ที่ระดับ 5.7%
ธปท.ให้เหตุผลคงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไว้ระดับนี้ ด้วยเหตุผลว่า การบริโภคและการลงทุนในประเทศซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการของรัฐ อาทิ โครงการรถยนต์คันแรก โครงการรับจำนำข้าว เป็นต้น ยังเป็นนโยบายสำคัญที่ทำให้การบริโภคในประเทศยังขยายตัวต่อไปได้
แต่การบริโภคของประชาชนไม่ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง คือ มาจากรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากงานที่มั่นคง แต่การเติบโตของการบริโภคครัวเรือนส่วนใหญ่มาจากการเป็นหนี้ เห็นได้จากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ธปท. ระบุว่า สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ของภาคครัวเรือนเริ่มสูงขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 40-50% ของรายได้รวม เทียบกับในอดีตอยู่ที่ 30% จะเห็นว่ามีอัตราการเพิ่มมากขึ้น ขณะที่สัดส่วนที่เหมาะสมของหนี้ครัวเรือนคือ 28%
ก่อนหน้านี้ เกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ยอดคงค้างสินเชื่อส่วนบุคคลเติบโตแบบก้าวกระโดด ถือเป็นจุดต้องเข้าไปดูแล โดยเฉพาะการขอสินเชื่อส่วนบุคคลไปใช้จ่าย เพื่อซื้อสินค้าประเภทผ่อน 0%
การขยายตัวของสินเชื่อเงินผ่อนเป็นการเติบโตจากการโหมโฆษณาและการแข่งขันของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นันแบงก์) ร่วมกับผู้ผลิตสินค้า ออกโปรโมชันซื้อสินค้าเงินผ่อนดอกเบี้ย 0% บางสินค้าให้ผ่อนได้ถึง 24 เดือน
ทำให้คนที่ไม่คิดจะเป็นหนี้ ก็ยอมกระโจนเข้าไปเป็นหนี้ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคิดมาก
ดังนั้น การโหมใช้สินเชื่อบุคคลของประชาชน ส่วนหนึ่งมาจากการฟื้นฟูบ้านหลังจากถูกน้ำท่วม และเงินที่ได้รับการเยียวยาจากรัฐบาลไม่เพียงพอ ต้องหันไปกู้จากนันแบงก์และหนี้นอกระบบ
แถมตามมาด้วยการกระตุ้นชุดใหญ่จากภาครัฐ ด้วยโครงการรถยนต์คันแรก โครงการบ้านหลังแรก ที่ทำให้คนที่เพิ่งเริ่มทำงานยอมเป็นหนี้ทั้งที่ยังไม่พร้อมเพรียง แค่ต้องการเงินแสนหนึ่งจากการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์ของรัฐบาล แต่จะต้องเป็นหนี้ผ่อนรถยนต์ทุกเดือนเป็นเวลานานถึง 5 ปี
และที่น่าเป็นห่วงคือ คนที่เป็นหนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 2.5 หมื่นบาท
สายนโยบายสถาบันการเงินของ ธปท. ได้เคยรายงานตัวเลขสำคัญของสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับล่าสุดของเดือน ส.ค. ปี 2555 พบว่า ยอดคงค้างสินเชื่อส่วนบุคคลมีจำนวนทั้งสิ้น 236,173 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน 31,396 ล้านบาท คิดเป็น 15.33%
เป็นการเพิ่มขึ้นทั้งธนาคารพาณิชย์ไทย 25,276 ล้านบาท และผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นันแบงก์) 9,121 ล้านบาท แต่ในส่วนของสาขาธนาคารต่างชาติลดลง 3,000 ล้านบาท
จำนวนบัญชีสินเชื่อส่วนบุคคลมีทั้งสิ้น 9,419,298 บัญชี เพิ่มขึ้น 677,759 บัญชี เพิ่มขึ้น 7.75% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของนันแบงก์มากที่สุด 383,090 บัญชี ตามมาด้วยธนาคารพาณิชย์ 321,905 บัญชี แต่กลับลดลง 27,236 บัญชี ในส่วนของสาขาธนาคารต่างชาติ
หากสินเชื่อขยายตัวดีและมีคุณภาพ คือ มีหนี้เสียเกิดขึ้น จะถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีของภาคเศรษฐกิจ แต่ผลกลับออกมาเป็นตรงกันข้ามคือเริ่มเห็นสัญญาณความเสี่ยงต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนกลุ่มมีรายได้ต่ำถึงปานกลาง ที่กู้ยืมเงินจากนันแบงก์
โดยล่าสุด ในไตรมาส 2 ของปีนี้ พบว่า ครัวเรือนมีสัดส่วนหนี้ค้างชำระเกิน 1 เดือน เป็น 4.7% แม้จะลดลงจากไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ 4.9% ของยอดการปล่อยสินเชื่อทั้งหมดก็ตาม
ขณะที่สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ มีสัดส่วนการค้างชำระเกิน 1 เดือน เพิ่มขึ้นเป็น 3.7% และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ มีสัดส่วนการค้างชำระเกิน 1 เดือน เพิ่มเป็น 7.2% ของสินเชื่อทั้งหมด
ที่น่าเป็นห่วง คือ การที่นันแบงก์ได้ปล่อยกู้ในอัตราสูงถึง 60% ให้กับประชาชนตามต่างจังหวัดในลักษณะการเช่าซื้อสินค้า แต่นำสินค้ากลับคืนมาในวันเดียว และมีการติดตามหนี้โหดกับลูกหนี้ที่ค้างหนี้


ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ในช่วงนี้ เริ่มจะได้ยินข่าวการทวงหนี้โหด ทั้งข่มขู่ ใช้กำลังประทุษร้ายตามพื้นที่ต่างๆ ในหลายจังหวัด
อาจจะมีข้อถกเถียงจากทางฝั่งรัฐบาล ว่าถึงหนี้เสียจะเพิ่มขึ้นแต่เสถียรภาพด้านรายได้และการมีงานทำของครัวเรือนยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากการจ้างงานเดือน ก.ค. ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราการว่างงานปรับลดลงจากครึ่งปีแรกที่ 0.79% มาอยู่ที่ 0.56% ของกำลังแรงงานทั้งหมด และรายได้เฉลี่ยครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง
แต่เรื่องนี้ยังวางใจอะไรไม่ได้ เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงจากผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐและสหภาพยุโรป การส่งออกชะลอตัว มีผลต่อการจ้างงาน อาจบั่นทอนความสามารถในการชำระหนี้ของภาคเอกชน และส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อของสถาบันการเงินในที่สุด
พูดง่ายๆ ก็คือ จำนวนหนี้เสียของสถาบันการเงินจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อาจจะต้องตั้งสำรองหนี้เสียเพิ่ม มีผลทำให้กำไรในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไม่สวยงาม ธนาคารที่มีเงินกองทุนต่ำอาจจะต้องเพิ่มทุน นี่อาจจะรวมไปถึงบริษัทเช่าซื้อและนันแบงก์ด้วย
นอกจากนั้น การก่อหนี้ของรากหญ้าในขณะนี้อาจจะใกล้ถึงจุดสูงสุด จนบุคคลไม่สามารถเพิ่มยอดหนี้ขึ้นไปได้อีกแล้ว เพราะโดยปกติสถาบันการเงินจะให้กู้เงินได้ไม่เกิน 60 เท่าของเงินเดือน หากสูงกว่านั้นแล้วจะเกินความสามารถในการชำระหนี้และจะกลายเป็นหนี้เสีย หากยังฝืนให้กู้ต่อไป
ฉะนั้น ปัญหาหนี้ครัวเรือนจะทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ด้วยการเพิ่มการบริโภคในประเทศจะทำได้ยากขึ้น นอกจากจะพักหนี้เสียให้กับรากหญ้าอีกรอบหนึ่ง ซึ่งคนรับภาระก็คือธนาคารของรัฐ ที่จะถูกร้องขอจากรัฐบาลให้ดำเนินการ หลังจากที่ในปีนี้ได้มีการพักหนี้ของลูกหนี้ธนาคารของรัฐไปแล้ว ทั้งลดเงินต้น ลดดอกเบี้ย
การที่หนี้ครัวเรือนหรือหนี้ส่วนบุคคลขยายตัวมากไม่ใช่เรื่องดี เพราะสะท้อนปัญหาให้เห็นว่าภาคเศรษฐกิจไม่ดีจริง
เศรษฐกิจระดับจุลภาคหรือฐานรากในระดับครัวเรือนเปราะบาง พร้อมที่จะพังลงได้ทุกขณะ ดังนั้นนี่จึงเป็นจุดที่ ธปท. แสดงความเป็นห่วงและจับตาอย่างใกล้ชิด ว่าหนี้ครัวเรือนอาจจะสูงจนเกินไป
วิธีการแก้ไขหนี้ครัวเรือนไม่ให้เพิ่ม แต่ต้องการกระตุ้นการบริโภคให้ขยายตัว มีทางเดียวเท่านั้นคือการเพิ่มรายได้ให้ประชาชน
รัฐบาลยืนยันว่า ในวันที่ 1 ม.ค. ค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศจะขึ้นเป็นวันละ 300 บาท หลังจากที่ขึ้นเงินเดือนแรกเข้าของผู้ที่จบปริญญาตรีเดือนละ 1.5 หมื่นบาท
หากเศรษฐกิจชะลอตัว การเพิ่มการจ้างงานก็มีน้อยมาก อีกทั้งการขึ้นค่าแรงจะไปซ้ำเติมให้นายจ้างลดการจ้างงานใหม่ลง แถมจะลดคนงานเพื่อลดค่าใช้จ่าย
ขณะนี้นอกจากในระดับประเทศจะมีหนี้เพิ่มสูงขึ้นแล้ว หนี้ส่วนบุคคลก็สูงขึ้นอีก หากยังปล่อยให้สูงอยู่เช่นนี้ โอกาสที่จะเกิดหนี้เสียลุกลามในอนาคตเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
เรื่องนี้รัฐบาลมีทางเลือกไม่มาก เชื่อว่าในปีหน้าจะมีโอกาสเห็นแคมเปญพักหนี้ของรายย่อยออกมาอีกอย่างแน่นอน

ที่มาโดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly, ntps

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25546 โดย Ploylyly
[/attachment]
วันหยุดแล้ว นำข่าวสบายๆ เที่ยวชมฟรี เหมาะแก่ชาวหนี้ครับ




ร่วมตื่นตา “ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคฯ” ในวันซ้อมใหญ่ 2 และ 6 พ.ย. วันจริง 9 พ.ย. นี้ ชมฟรีได้ 5 จุดหลัก อาทิ สวนสันติชัยปราการ สวนหลวงพระราม 8 ฯลฯ
กองทัพเรือ ในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการเตรียมการจัด “พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554” จึงมีการจัดซ้อม ทั้งการซ้อมย่อย ในเดือนกันยายน-ตุลาคม ที่ผ่านมา และการซ้อมใหญ่เสมือนจริง ในวันที่ 2 และ 6 พฤศจิกายน 2555 ส่วนวันพระราชพิธีจริงคือ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2555

โดยขบวนเรือจะเริ่มตั้งขบวนบริเวณสะพานพระราม 8 เวลาประมาณ 15.00 น. และเคลื่อนขบวนไปถึงวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร เวลาประมาณ 16.00 น. ทั้งนี้ จะมีการปิดการจราจรทางน้ำ ตั้งแต่เวลาประมาณ 13.00-18.00 น. ในวันดังกล่าว

สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถรอชมได้บริเวณพื้นที่ต่างๆ ทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดย มี 5 จุดหลักๆ น่าสนใจเพราะมีพื้นที่กว้างขวางที่สามารถเข้าชมได้ฟรี ได้แก่ สวนหลวงพระราม 8 (เชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี), สวนสันติชัยปราการ (ถนนพระอาทิตย์), สถานีรถไฟธนบุรี (เดิม), สวนนาคราภิรมย์ (ท่าเตียน) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)

ทั้งนี้ การจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในครั้งนี้ เป็นการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคใหญ่ ประกอบด้วย 5 ริ้วขบวน จำนวน 52 ลำ เป็นเรือพระที่นั่ง 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นเรือรูปสัตว์ 8 ลำ และเรือพระราชพิธีอื่นๆ อีก 40 ลำ ใช้กำลังพลและฝีพายจากกองทัพเรือ และกำลังพลในส่วนอื่นๆ กว่า 2,300 นาย

ส่วนกาพย์เห่เรือได้มีการประพันธ์ขึ้นมาใหม่ ในชื่อ “กาพย์เห่เรือเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554” ประพันธ์โดย นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย ข้าราชการบำนาญ สังกัดกองทัพเรือ มีทั้งสิ้น 3 บท ได้แก่ บทสรรเสริญพระบารมี บทชมเรือขบวน และบทชมเมือง โดยมี นาวาโทณัฐวัฎ อร่ามเกลื้อ เป็นพนักงานเห่

นอกจากการชมฟรี ณ จุดหลักต่างๆ แล้ว ร้านอาหาร และพื้นที่ต่างๆ ริมสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในจุดที่สามารถรับชมได้ ก็ยังมีการขายบัตรที่นั่งชมขบวนพยุหยาตราทางชลมารคให้แก่ผู้สนใจด้วย

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ 31 ตุลาคม 2555








ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Mommyangel, ntps

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25579 โดย อยากหลุดพ้น
เสียบบัตรเข้าตู้ เงินสดก็ออกมา ชีวิตมีความสุข นั่นคือสิ่งที่เกิดในโฆษณาส่งเสริมสินเชื่อมากมาย หากทว่าความจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น เมื่อความสุขในตอบจบของโฆษณาเหล่านั้น แท้จริงแล้วกลับเป็นความทุกข์ใหญ่หลวงที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในรูปแบบของนรกอันไม่มีที่สิ้นสุดของการเป็นหนี้!

มาถึงตอนนี้เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปน.) ออกรายการถึงแนวโน้นการค้างชำระหนี้ของภาคครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 25,000 สูงขึ้ยอย่างน่าเป็นห่วง

พร้อมหลายฝ่ายด้านเศรษฐกิจออกมาวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ปัญหาหนี้ในประเทศไทยว่า กำลังเดินไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจเข้าไปทุกที

วัฒนธรรมซื้อเงินผ่อนที่นำเงินในกระเป๋าจากอนาคตของผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมีมากขึ้น จนวัฒนธรรม “ออมก่อนซื้อ” กลายเป็น “ซื้อก่อนออม”

การส่งเสริมการค้าขายที่ป่าวประกาศกันว่า “เพื่อทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน” นั้นเร่งเดินหน้าไปอย่างไม่หยุดยั่ง หากแต่มันจะส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้นจริงหรือ? ไลฟ์สไตล์ชีวิตติดหนี้ของคนรุ่นใหม่นั้นส่งผลต่อภาพอนาคตอย่างไร? หลายคำถามบนวิถีปากท้องถูกถามไถ่ และต้องการคำตอบชัดเจนในเร็ววันนี้...เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ระหว่างเส้นทางเศรษฐกิจที่มุ่งไปสู่ความวิกฤติเข้าไปทุกที

“กับดักหนี้ “ นรกแห่งการชำระหนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

นานมาแล้ววังวนชีวิตของคนเป็นหนี้นั้นต้องอยู่กับการใช้หนี้ที่ไม่วันจบสิ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชนชั้นล่าง อาจมาจากการกู้เงินนอกระบบดอกเบี้ยโหด ทว่าในปัจจุบันกลุ่มคนเป็นหนี้นั้นมีมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ผู้มีการศึกษาหรือชนชั้นกลาง

เมื่อสินเชื่อขออนุมัติง่าย ได้เงินเร็ว ทันใจการบริโภค ถูกขับเคลื่อนด้วยสินค้ากระแสแรง ไม่ว่าจะเป็นมือถือ, แท็ปเล็ป ไม่เว้นแม้แต่แพกเกจทัวร์ก็มีให้ซื้อขายกันแบบผ่อนชำระ สิ่งเหล่านี้มาพร้อมกับสภาพเศรษฐกิจที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นทุกที จึงไม่แปลกที่จะส่งผลให้คนยุคใหม่มีไลฟ์สไตล์ชีวิตแบบติดหนี้ ทำให้วัฒนธรรมออมก่อนใช้ กลายเป็นใช้ก่อนออม

ไพโรจ โคสุพัฒน์ หนึ่งในกรรมการชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เอ่ยถึงสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ปัจจุบันว่า ตอนนี้การเป็นหนี้ของคนในประเทศอยู่ในขั้นวิกฤติ ทั้งจำนวนที่มากขึ้น และการชำระหนี้ที่พบกับความยากลำบากของกับดักหนี้ที่ดอกเบี้ยผุดงอกจากเงินต้นเสียจนหลายต่อหลายราย ต้องพบกับภาวะหนี้ทับเงินเดือน ชนิดที่ว่า พอเงินออกต้นเดือนก็ชำระหนี้หมดเสียแล้ว ทำให้ต้องไปกู้วงเงินใหม่เพื่อมาใช้ดำรงชีวิต เป็นหนี้ทับหนี้พอกพูนไปไม่มีวันจบ และจะยิ่งทวีดอกเบี้ยค้างชำระขึ้นเรื่อยๆ

“หลายคนมีการศึกษานะ มีเงินเดือนหมื่นเก้าแล้ว แต่ยังเป็นหนี้ทั้งที่เงินเดือนขนาดนี้มันควรจะมีเงินเก็บสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตได้ แต่กลับต้องเอาเงินมาจ่ายดอกเบี้ย จ่ายหนี้ต่างๆ บางคนก็มีตำแหน่งที่เขาไม่สามารถที่จะเสียเครดิตได้ เขาก็ต้องไปกู้วงเงินที่อื่นมาแปะเป็นหนี้ซ้ำซ้อน”

โดยการเป็นหนี้นั้น ไพโรจตั้งข้อสังเกตจากการเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกหนี้หลายคนพบว่า โดยมากนั้นแรกเริ่มของการเป็นหนี้จะเริ่มเมื่อคนเข้าสู่ช่วงวัยทำงาน เริ่มมีเงินเดือน สถาบันการเงินหรือบริษัทที่ทำงานด้านสินเชื่อจะมายื่นข้อเสนอให้ทำบัตรเครดิต หรือบัตรกดเงินสดให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

แต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น เมื่อมีการชำระเงินไม่ทัน หรือหากเป็นบัตรเงินสดก็จะมีค่าธรรมเนียมกดเงินสดเพิ่มขึ้นมาอีก 3 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นกับดักหนี้ที่ผู้ก่อหนี้มองไม่เห็นจำนวนเงินตั้งแต่คราวแรก

“บางครั้งก็เขียนไว้สวยๆ ว่า ค่าใช้จ่ายอันควรแก่เหตุ ซึ่งมันก็เป็นค่าใช้จ่ายที่กลายเป็นหนี้เหมือนกัน ตอนนี้หนี้ส่วนบุคคลก็รวมไปถึงพวกธุรกิจขนาดย่อมด้วย เพราะไม่มีความรู้ทางด้านการเงิน เมื่อธนาคารใช้คำว่า อัตราดอกเบี้ยคงที่ แม้ว่าจะดอกเบี้ยน้อย แต่เมื่อคำนวณออกมาแล้ว ดอกเบี้ยเงินรวมจะมากกว่า”

คดีในชั้นศาลที่ฟ้องร้องเรื่องหนี้สินตอนนี้มีอยู่เยอะมาก ไพโรจน์เผยว่า มากจนตอนนี้ศาลต้องเปิดในวันเสาร์เพื่อพิจารณาคดีประเภทนี้ และเมื่อถามถึงการทวงหนี้ก็มีการละเมิดเป็นเรื่องปกติ โดยความรุนแรงนั้นหนี้นอกระบบหรือในระบบก็เหมือนกัน จากที่บริษัทด้านการเงินในระบบจ้างบริษัทรับทวงหนี้เหมือนกับเจ้าหนี้นอกระบบ

“การโทร.มาข่มขู่ ละเมิดมันก็มีอยู่แล้ว มีหลายครั้งโทร.เข้ามือถือครั้งหนึ่ง ยังไม่ทันรับก็ตัดสายไปก่อนจะโทร.เข้ามาที่บริษัท แล้วก็คิดเป็นค่าทวงหนี้ กลายเป็นหนี้เพิ่มอีกชั้นหนึ่ง”

มาถึงตรงนี้สิ่งที่ไพโรจมองในมุมของคนเป็นหนี้จึงเป็นการที่รัฐบาลไม่มีระบบที่รัดกุมในการปกป้องผู้เป็นหนี้ การให้คิดค่าบริการต่างๆ พร้อมทั้งการให้มีดอกเบี้ยที่สูง

“คนกลุ่มนี้รัฐบาลน่าจะมีมาตรการเข้ามาช่วยเหลือด้วย แต่ที่ผ่านมานั้นมีแต่การให้เพิ่มดอกเบี้ยได้ มีการอนุญาตให้เปิดกิจการเกี่ยวกับการเงินได้มากขึ้น ไม่มีการควบคุม ที่ผ่านมานั้นจึงไม่มีมาตรการที่ช่วยเหลือผู้ที่เป็นหนี้เลย ซึ่งทุกวันนี้ก็เดือดร้อนมาก อยากให้มีการลดดอกเบี้ย กำหนดเพดานดอกเบี้ย ไม่อย่างนั้น ใช้หนี้ทั้งชาติก็ไม่มีวันหมด”

คิดก่อนใช้อย่างถี่ถ้วนที่สุด

ปัจจัยการทำให้สถานการณ์หนี้เดินมาถึงขั้นวิกฤติเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน โดยข้อมูลที่บอกถึงแนวโน้นสู่วิกฤตินั้น ดร.เกียรติอนันท์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เผยถึงตัวเลขที่น่าสนใจว่า ตั้งแต่ปี 43-52 หนี้สินครัวเรือนมีอัตราเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7 เปอร์เซ็นต์ โดยในปี 52 นั้นมีหนี้สินครัวเรือนเฉลี่ยอยู่ที่ 1 หมื่น 4 แสนบาทต่อครัวเรือน ซึ่งคำนวณตามแนวโน้มที่ควรจะเป็นแล้ว หนี้สินครัวเรือนในปี 54 ควรจะเท่ากับ 1 หมื่น 6 แสนบาท แต่ทว่าผลสำรวจกลับแสดงตัวเลขก้าวกระโดดไปถึง 2 แสน 4 หมื่นบาท !!

“มากกว่าแนวโน้มก่อนหน้านี้ถึง 50-60 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในช่วงนี้แน่นอน โดยสิ่งที่เกิดขึ้นก็น่าจะส่งผลกระทบต่อไปอีกหลายปีด้วย”

ตัวเลขอีกตัวที่น่าสนใจคือรายได้กับรายจ่ายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้คนมีอัตรารายได้สูงกว่ารายจ่าย ส่วนนี้ในทางจิตวิทยาแล้ว เมื่อผู้บริโภคมีรายได้มากกว่ารายจ่ายติดกันระยะหนึ่ง จะทำให้มีความมั่นใจว่าสามารถก่อหนี้ได้

ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งของบริษัทการเงิน ดร.เกียรติอนันท์ก็เผยว่า ตลาดหนี้ระดับสูงที่เป็นหนี้นำไปประกอบธุรกิจนั้นเริ่มอิ่มตัว ทำให้ธนาคารหรือบริษัทด้านการเงินจำเป็นต้องหาตลาดใหม่ ซึ่งก็คือกลุ่มผู้เป็นหนี้รายย่อยในปัจจุบันนั่นเอง ทำให้เกิดบัตรเครดิตมากมายหลายรูปแบบขึ้นมา สังเกตได้จากแนวโน้มในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สถาบันการเงินพยายามจะสร้างหนี้ให้กับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยมากกว่าที่มีรายได้เยอะ

“เราจะเห็นว่าด้านหนึ่งคนไทยรู้สึกว่าสามารถจะกู้ได้ ขณะที่อีกด้านสถาบันการเงินก็ตอบสนองข้อนี้ด้วยการให้วงเงินสินเชื่อที่กู้ง่าย จ่ายน้อย ผ่อนนาน แต่ดอกเบี้ยสูง ตอนนี้เราเห็นแล้วว่า คนซื้อก็อยากจะสร้างหนี้ คนที่พร้อมจะให้เงินก็อยากจะให้เงิน มันกลายเป็นข้อตกลงกันซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แม้แต่ในประเทศอื่นที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนา โครงสร้างการก่อหนี้แบบนี้ เมื่อคนมีรายได้มากขึ้น หนี้เพิ่มขึ้นเป็นเรื่องปกติ”

แต่สิ่งที่น่ากลัว ดร.เกียรติอนันท์เผยถึงข้อสังเกตว่า สัดส่วนหนี้ที่คนกู้มาโดยเฉลี่ยประมาณ 1 ใน 3 คือการกู้เพื่อซื้อบ้าน หรืออสังหาริมทรัพย์เพื่อความมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ทว่าอีก 1 ใน 3 ของการกู้นั้นคนกลับนำไปใช้อุปโภคบริโภค คือการซื้อของ ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือเอาไปผ่อนสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆ เช่นมือถือ หรือแพกเกจทัวร์ และมีเพียง 2.6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่นำไปลงทุนด้านการศึกษา

“มันชี้ให้เห็นว่า 1 ใน 3 ของหนี้ มันลงไปในส่วนที่ไม่เกิดผลประโยชน์ระยะยาวของคนที่เป็นหนี้ มันเป็นการใช้จ่ายเพื่อตอบสนองความสุขความต้องการชั่วคราวเท่านั้น ตามหลักพื้นฐานทางการบริหารจัดการเงินส่วนบุคคล คนที่มีรายได้น้อยหรือปานกลาง ไม่ควรจะมีหนี้ผ่อนชำระเกิน 8 - 10 เปอร์เซ็นต์ของรายได้”

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันคือหลายคนที่มีเงินเดือนอยู่ที่หมื่นต้นๆ กลับผ่อนโทรศัพท์ที่ส่วนมากจะผ่อนได้นาน 10 เดือนที่มีราคาสูงถึง 2 หมื่นบาท ทำให้ต้องผ่อนเดือนละ 2000 บาทซึ่งมากกว่าตัวเลขที่ควรจะเป็นที่ 1000 บาทถึง 2 เท่า

“แล้วโทรศัพท์พวกนี้ไม่ได้ช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้เขาได้เลย มันเป็นการตอบสนองความต้องการระยะสั้น มันสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมของคนไทยโดยรวมว่า เริ่มใช้จ่ายเกินตัวและเริ่มสร้างหนี้ในส่วนที่ไม่เกิดผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งวันหนึ่งปัญหาพวกนี้มันจะปะทุขึ้นมา และมันจะกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนกลุ่มนี้มาก”

ข้อสังเกตอีกอย่างคือ ตอนนี้คนที่มีรายได้น้อยมักเช่าคอนโดฯ อพาร์ตเมนต์อยู่อาศัย แทนที่จะลงทุนซื้อบ้าน ในด้านของจิตวิทยาผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคไม่มีรายได้พอจะสร้างความมั่นคงระยะยาว ก็จะมองอะไรเป็นระยะสั้นไปทั้งหมด ในระยะยาวมันส่งผลต่อโครงสร้างคุณภาพชีวิตโดยรวมของคนไทย และจะส่งผลกระทบอันเลวร้ายต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างแน่นอน

“ตอนนี้เราก่อหนี้โดยมีสมมติฐานว่าเศรษฐกิจเราจะไปได้ แต่มันจะกลายเป็นระเบิดเวลาครั้งใหญ่ เพราะเศรษฐกิจไทยตอนนี้สัญญาณเศรษฐกิจมหภาคไม่ดีอยู่แล้ว ยอดส่งออกที่ต่ำกว่าเป้า เศรษฐกิจโลกที่คลุมเครือ มันเป็นสัญญาณกว้างระดับโลกที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในความเสี่ยง ตอนนี้คนกลุ่มที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางก็สร้างหนี้เยอะขึ้น และเป็นหนี้ที่ไม่ได้สร้างความมั่นคงในชีวิต หากเกิดเศรษฐกิจตกต่ำขึ้นมาในช่วง 2 - 5 ปีข้างหน้า คนกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบเยอะที่สุด ภาพวิกฤติในปี 40 จะกลับมา และมาพร้อมภาระหนี้สินส่วนบุคคลที่สูงกว่าเมื่อ 15 ปีก่อน”

ว่าง่ายๆ คือยุ่งแน่ ทว่าสิ่งที่ทำได้ก่อนวิกฤติมาถึงนั้นไม่ยาก แม้ในมุมของลูกหนี้การชำระหนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ในมุมกลับการก่อหนี้ก็ไม่เกิดจากการถูกบังคับ แต่เกิดจากผู้เป็นหนี้สร้างหนี้ให้กับตัวเอง รายละเอียดของความรู้ในการกู้เงิน หรือระเบียบวินัยทางการเงิน เป็นที่ทุกคนต้องรู้ และพึงตระหนักก่อนตัดสินใจสร้างหนี้สิน

“ถ้าธนาคารเลือกที่จะทำให้มันเข้าใจยากมันก็จะยาก แต่คนเราจะก่อหนี้ทั้งที มันต้องคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ ทีเวลาซื้อบ้าน เราดูสัญญา เรากู้เงินไปซื้อรถเราคิดหนัก จริงแล้วเราต้องใช้มาตรฐานเดียวกับตอนที่เรากู้ระยะสั้น ประกอบกับดอกเบี้ยที่สูง ยิ่งต้องบอกว่า การกู้หนี้ระยะสั้น ต้องกู้ไปเพื่อให้มันคุ้มค่าจริงๆ”

การเป็นหนี้นั้นผู้ก่อหนี้ก็มีส่วนผิดแม้ว่าบริษัทการเงินจะปล่อยสินเชื่อง่ายและคิดดอกเบี้ยสูงเพียงใดก็ตาม แต่หลายกรณีของผู้ก่อหนี้ก็มาจากเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จริงๆ กลุ่มคนรายได้น้อยที่มีปัญหากับค่าครองชีพถือเป็นกรณีที่ต้องแก้ไข

“กลุ่มแรกนั้นเราคงต้องเตือนสติเขาไม่ให้ก่อหนี้โดยไม่จำเป็น ซึ่งก็ทำได้แค่นั้น เขายินยอมเป็นหนี้เอง ตรงนั้นเราช่วยไม่ได้ แต่อีกกลุ่มที่เป็นผู้มีรายได้น้อย และต้องกู้เงินมาใช้ในยามวิกฤติจริงๆ นั้น แท้จริงแล้วเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากความจนซึ่งการแก้ไขปัญหาความยากจนนั้นก็จำเป็นต้องมีการศึกษาถึงรากเหง้าของความจน เพื่อแก้ไขปัญหาตามกลุ่มคนจนที่มีอยู่ เช่น กลุ่มคนงานก่อสร้างอายุ 40 ก็ต้องใช้วิธีแก้ไขความจนต่างจากชาวไร่อายุ 40”

การระมัดระวังในเรื่องของการใช้จ่ายเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในยุคที่อะไรก็ต่อมิอะไรก็สามารถจับจ่ายมาได้โดยไม่ต้องใช้เงินที่อยู่ในกระเป๋า เพียงรูดบัตร หรือเอาเงินมาจากอนาคตเพื่อจับจ่ายในสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งสิ่งของที่หลอกล่อให้อยากมีอยากได้ก็มากล้น คำถามของการใช้เงินหากฐานะทางการเงินยังไม่มั่นคงพอก็คือ เงินที่ใช้ไปนั้นคุ้มค่าหรือเปล่า มันสร้างรายได้หรือเปล่า ถ้ามันเป็นความสุขระยะสั้น ใช้จ่ายได้บ้างแต่อย่าให้เกินตัว และพึ่งระลึกไว้เสมอว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณเลือกจะตอบสนองอารมณ์ชั่ววูบด้วยการเอาเงินในอนาคตมาใช้...วันหนึ่งอนาคตจะไล่ทันคุณ!

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา - 11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25582 โดย ntps
พาไปหาสาระต่างประเทศบ้างค่ะ อย่าคิดว่า เราจะเป็นหนี้ชาติเดียว

ที่อื่นก็น่าหวาดเสียวเช่นกันค่ะ เช่น เกาหลี ประเทศที่มีแต่คนหน้า

สวยหล่อแบบหลุดมาจากพิมพ์พลาสติกเดียวกัน ^^




ช็อก! เกาหลีใต้หนี้ท่วมหัว แตะระดับ 233.8% ของจีดีพี

ต้นเหตุเพราะรบ. ทุ่มงบกระตุ้นศก.-ภาคปชช.กู้กระหน่ำ


เอเอฟพี/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ยอดรวมหนี้สาธารณะทั้งภาครัฐและเอกชนของเกาหลีใต้ พุ่งสูงแตะระดับ 2,962ล้านล้านวอน เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เป็นผลมาจากการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อกระตุ้นการเติบโตทาง เศรษฐกิจ รวมถึงหนี้สินของภาคครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น

รายงานของสำนักข่าวยอนฮัประบุว่า ยอดรวมหนี้สาธารณะของประเทศ ซึ่งคิดรวมหนี้สินทั้งของภาครัฐและเอกชนล่าสุดนับถึงเมื่อเดือนมิถุนายนที่ ผ่านมา ได้พุ่งแตะระดับ 2,962ล้านล้านวอน (ราว 83.5ล้านล้านบาท) ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงกว่าเมื่อสิ้นปี 2011 ที่ยอดหนี้สาธารณะของประเทศยังอยู่ที่ 2,859 ล้านล้านวอน (ราว80.6 ล้านล้านบาท) และหากพิจารณาเปรียบเทียบกับจีดีพีของเกาหลีใต้แล้ว จะพบว่า สัดส่วนของหนี้สาธารณะล่าสุดได้เพิ่มจำนวนเป็นกว่า “233.8 เปอร์เซ็นต์” ของจีดีพีของประเทศ

รายงานของสื่อดังแดนโสมขาวระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้จำนวนหนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจเป็น เพราะมาตรการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมหาศาลของรัฐบาลเกาหลีใต้ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกเมื่อปี ค.ศ.2008 ขณะเดียวกันต้นทุนการกู้ยืมในตลาดภายในประเทศที่ต่ำ ยังกลายเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ชาวเกาหลีใต้กู้ยืมเงินจำนวนมากขึ้นตลอดหลายปี ที่ผ่านมา จนยอดหนี้ภาคครัวเรือนพุ่งสูง

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมิถุนายน “มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส” สถาบันจัดอันดับเครดิต เรตติงชื่อก้องโลกออกโรงเตือนว่า ระดับของหนี้สินภาคครัวเรือนของเกาหลีใต้ได้ก้าวเข้าสู่ “ระดับอันตราย” และมีความเปราะบางอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้เกิดวิกฤตทางการเงินในประเทศ หากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงขาลง





แหล่งช็อปปิ้งของขาใหญ่ขาก๊อปปี้ทั้งหลาย เจริญเร็วก็ขาลงเร็วและแรงค่ะ


ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly, Lyncns31

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา - 11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25664 โดย jongdee
นำมาฝากค่ะ เห็นว่าทำไม่ยากอ่ะค่ะ

"ตักบาตรวันโกน"

วันโกนคือวันก่อนวันพระ อย่าลืมใส่บาตรให้เจ้ากรรมนายเวร ผี คน และสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก
ลุงส่งคำอธิษฐานเวลาใส่บาตรวันโกนมาให้ ดังนี้:

" ข้าพเจ้าชื่่อ...............และ.............ของข้าพเจ้าชื่อ วันนี้วันโกน
และต่อ ๆ ไป ทุกวันโกนข้าพเจ้าและ.......ของข้าพเจ้าจะนำข้าวปลาน้ำมาให้........
เจ้ากรรมนายเวรที่ติดตามตัวข้าพเจ้าและ....... เทวดาที่ดูแลรักษาตัวข้าพเจ้าและ
........เจ้าที่เจ้าทาง ผีสางนางไม้ ภูติผีปีศาจ สัมภเวสีผีเร่ร่อนอดอยาก ตลอดจนสัตว์
เดรัจฉานที่ผ่านไปมาทั้งหลาย จงมาดื่มกินข้าวปลาน้ำที่ข้าพเจ้านำมาให้ครั้งนี้ และ
เมื่อได้ดื่มกินอิ่มหนำสำราญแล้ว ขอจงรีบนำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายออกไปจากบ้านและตัว
ของข้าพเจ้าและ......ของข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้เลย พร้อมทั้งอวยพรให้ข้าพเจ้าและ.......ของข้าพเจ้า
จงร่ำรวยแก้วแหวนเงินทองไหลมาเทมา มีโชคลาภถูกหวยถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่ ๆ
สุขภาพแข็งแรง ปราศจากทุกข์โศกโรคภัยไข้เจ็บ ปัดเป่าปัญหาอุปสรรคให้หมดสิ้น
ไปโดยเร็ว ความสุขกลับมาเยือน ความทุกข์ห่างหายฉับพลัน สาธุ! "

ใช้ธูปจุด 1 ดอก ข้าวสวย 1 ถ้วยเล็ก น้ำเปล่า 1 แก้ว ปลาทูทอดสวย 1 คู่(2ตัว) วางที่
กลางแจ้งหรือใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านนอกรั้วบ้าน ขอให้ปักธูปไว้ที่ดิน
เมื่อได้ทำแล้วขอให้จงได้ทำทุกๆวันโกน จงอย่าได้ลืม

ปฏิบัติให้ได้ทุกวันโกน ชีวิตเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ อะไรที่ติดขัดจะค่อยหาย
เริ่มราบรื่นขึ้นมา
เวลาที่จะตักบาตรวันโกน ขอให้ทำหลังจากหนึ่งทุ่มนะ(นี่คือสิ่งที่สำคัญที่อยู่ในคัมภีร์ ขอให้ถามตัวเองก่อนว่าเคยรู้เรื่องนี้หรือไม่?
ถ้ามันไม่ยากอะไรก็จงทำตามอย่างที่ลุงได้บอก แล้วหลานก็จะเจอในสิ่งที่ดีขึ้นเรื่อยๆ)


ขอบคุณ คุณลุงรวยค่ะ :)

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา - 11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25666 โดย jongdee
ขอบคุณพี่ devil angel ที่เปิดห้องให้มีการบอกเล่าเรื่องต่างๆๆค่ะ ขอบคุณพี่ๆๆเพื่อนๆๆทุกท่านที่มีข่าวมาลงให้ได้อ่านกันค่ะ :)

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25688 โดย ntps
การลงทุนมีความเสี่ยง ทั้งการลงทุน และคนชี้ชวน

ความโลภ เป็นหนทางสู่ความหายนะ
:sweat:

เตือนว่า ให้ระวังคนที่มา ชักชวนไปลงทุนโน่นนี่โดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ... ผ่านไปแค่ 2 วัน ก็มีเคสเกิดขึ้นจริง ... ดราม่ามาก เรื่องยาวด้วย ค่อยๆ อ่านนะครับ

ผมสรุปให้ฟังสั้นๆ นิดเดียวว่า "พ่อมด" คนนี้ (เคยทำงานเป็นโบรคเกอร์แต่ถูกลงโทษจาก ก.ล.ต.) ไปเปิดโรงเรียนสอนการเทรด Option ค่าเรียน 6 วัน = 3 แสนบาท ก็มีคนหลงเชื่อไปเรียนกันเป็นร้อย (คนสอนได้เงินไปแล้ว 30 ล้าน) เรียนแล้วก็เทรดจริงด้วย ลงเงินคนละเป็นล้าน ... ปรากฎว่า ไอ้ Option ที่ "พ่อมด" มันให้ซื้อน่ะ เป็นแบบ Out of Money คือมันไม่มีค่าแล้ว อยู่ๆ ไป Option หมดอายุ คนที่เรียนเสียเงินล้านซื้อ Option ที่กลายเป็นเศษกระดาษครับ ....

กลโกงแบบนี้มีมาหลายร้อยปีแล้วครับ ไม่ต่างอะไรกับการ "ตกทอง" คือ เล่นกับ "ความโลภ" ของคน แต่เปลี่ยนกลยุทธ์ไปเรื่อยๆ ... โลกเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน กลโกงก็เปลี่ยน (จาก "ตกทอง" เป็น "ตกออฟชั่น") ... แต่ "ความโลภ" ของคนเรานี่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะครับ

Inspired by Wizard Kid and Indy Investor Forum

www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I12885310/I12885310.html

ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly, Lyncns31

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา - 11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25690 โดย jackTs
.
ถ้าไม่ได้ทำ "พินัยกรรม" มอบให้กับครอบครัว...ยึดเงิน





เรียน สมาชิกชมรมหนี้ฯทุกท่านที่ทำประกันสังคม

ท่านสามารถเข้าไปเช็คเงินของท่านได้ที่ www.sso.go.th/wpr/category.jsp?lang=th&cat=95
(ต้องเข้าไปลงทะเบียนก่อนถึงจะเช็คได้)

วิธีการ
เพียงใส่เลขที่บัตรประชาชน วัน(วรรค) เดือน ภาษาไทย(วรรค) พศ.เกิด เช่น 20 เมษายน 2518
กด Submit ก็สามารถตรวจสอบได้แล้ว ผลประโยชน์ของเราอย่ามองข้ามเงินออม เล็กๆน้อยๆ จากประกันสังคมที่ท่านไม่ควรลืม

เช่น ทุกเดือนบริษัทจะหักเงิน 5% ของ 15,000 .- (เงินเดือนขั้นสูงสุด)= 750 บาท จากเงินเดือนของท่าน

1.5% = 225 บาท จะประกันเจ็บป่วย ตาย
0.5% = 75 บาท จะประกันการว่างงาน
3% = 450 บาท จะประกันชราภาพ

สรุปว่า ท่านจะถูกหักเป็นเงินออมชราภาพทุกเดือนๆละ 450.- บาท = ปี ละ 5,400.- บาท

ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการออมเงิน 1 ปี 5,400 บาท
คือท่านจะได้เงินสบทบอีก 100% จากนายจ้างคือปีละ 5,400 + ดอกเบี้ยจากประกันสังคม

ปี 45 = 4.2% , ปี 46 = 6.5%
(สรุปท่านได้ผลประโยชน์ 106.5% เชียวนะ คือฝาก 5,400 เงินของท่านจะได้รับประมาณ 11,502 บาท เห็นไหมละว่าสูงมากๆ

จึงอยากจะเตือนท่านว่า อย่าเห็นเป็นเงินเล็กน้อย ท่านจะได้คืนเงินจำนวนนี้ เมื่ออายุครบ 55 ปี หรือถ้า 55 ปี และไม่ได้ทำงานแล้ว
แต่ถ้ายังทำงานอยู่ก็ยังไม่มีสิทธิ์ขอรับเงินบำเน็จหรือ บำนาญชราภาพ จนกว่าจะเลิกทำ
คือเลิกส่งเงินประกันสังคมหรือความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

*** ที่สำคัญคือ ต้องขอคืนภายใน 1 ปี หลังจากเกษียณเท่านั้น
ห้ามเกินแม้แต่วันเดียว มิฉะนั้นจะถูกยกเข้าเงินกองกลางไปเลย

*** ไม่สามารถฟ้องร้องขออุทธรณ์ได้เลย


การขอเงินคืน
1. ถ้าท่านส่งเงินสมทบน้อยกว่า 15 ปี หรือ 180 เดือน ท่านจะได้เป็นเงินบำเหน็จ
(จ่ายครั้งเดียว คือได้ไปเป็นก้อนไปเลย เยอะอยู่นา อย่าลืมละ)

2. ถ้าท่านส่งเงินครบ 15 ปี หรือ 180 เดือน ท่านจะได้เป็นบำนาญ (จ่ายเป็นรายเดือน)
คือท่านจะได้รับเงินบำนาญชราภาพในอัตราร้อยละ 15 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
ทีใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

3. ถ้าท่านส่งเงินมากกว่า 15 ปี หรือ 180 เดือน ท่านจะได้เป็นบำนาญ (จ่ายเป็นรายเดือนเช่นกัน)
ข้อแตกต่างจากข้อ 2.คือ ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินบำนาญชราภาพ ตามข้อ 2 จากอัตราร้อยละ 15
เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 1 ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน (1 ปี)
เช่น ส่งเงินสมทบ 20 ปีได้ 20% ของ 15000.- บาท เท่ากับ 3,000 บาท ต่อเดือน


เพราะฉะนั้นจำไว้ว่า...เมื่ออายุเกิน 55
และไม่ได้ทำงานแล้วให้รีบไปติดต่อเอาเงินคืนที่ประกันสังคม
สิทธินี้ตกทอดถึงทายาทด้วย อย่าลืมบอกที่บ้านไว้ด้วยว่า ถ้าข้าพเจ้าเป็นอะไรไป
ให้เอาใบมรณะบัตรไปขอรับเงินนี้ที่สำนักงานประกันสังคมด้วย


เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการข้อมูล สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ชี้แจงว่า กรณีผู้ประกันตนที่มีอายุครบ 55 ปี
จะได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีบำนาญชราภาพ ซึ่งจะได้รับทุกเดือนจนกว่าจะเสียชีวิต
แต่หากยังทำงานอยู่ และยังไม่เกษียณอายุ ถือว่ายังไม่สิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน ก็ไม่สามารถขอรับเงินสมทบกรณีชราภาพได้
จนกว่าจะเกษียณอายุและสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน

ฉะนั้น เมื่อสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนแล้ว ให้รีบไปติดต่อสำนักงานประกันสังคมในพื้นที่
เพื่อยื่นแบบขอรับประโยชน์ทดแทน (สปส.2-01)
หลังจากออกจากงานภายใน 1 ปี
หากเกินกำหนด ผู้ประกันตนจะถูกตัดสิทธิทันที
และจะนำเงินของคุณเข้ากองทุนของสำนักงานประกันสังคม และจะไม่สามารถขอรับเงินได้อีก
ซึ่งเป็นไปตามระเบียบและข้อกฎหมายของสำนักงานประกันสังคมที่กำหนดเอาไว้ให้ต้องทำตาม
คุณจะได้เงินคืนแบบแบ่งจ่ายเป็นรายเดือน ตามระยะเวลาที่กำหนด หรือจนกว่าจะเสียชีวิต


จะมีชาวบ้านตาดำๆสักกี่คน ที่รู้เรื่องนี้...จริงไหมครับ?



ปล.แบบฟอร์มพินัยกรรม ที่เอาไว้ให้กับทายาทสำหรับนำไปรับเงินแทนผู้ประกันตนที่เสียชีวิต



ไฟล์แนบ:

ชื่อไฟล์: form.pdf
ขนาดไฟล์:46 kb

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Mommyangel, Ploylyly, ntps, Lyncns31

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #25724 โดย Ploylyly
ว้าว ว้าว ว้าว ท่านประธานเข้ามาแจมแล้ว


ไฟล์ที่แนบมาด้วย:

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

ผู้ดูแล: MommyangelBadmankonsiam
เวลาที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บ: 1.412 วินาที
ขับเคลื่อนโดย ระบบฟอรัม Kunena