เห็นถามกันมาเยอะ...ถามกันจัง...ถามมาตลอดทุกปี...ถามไม่หยุดไม่หย่อน วันนี้ผมจะมาไขปัญหานี้ให้กระจ่างกันไปเลย
คำถามส่วนใหญ่มักจะถามกันว่า
- ผมผ่อน เครื่องซักผ้าไว้ แล้วจ่ายต่อไม่ไหว เขาจะมายึดเอาของคืนไหมครับ?
- เคยผ่อน โน๊ตบุ๊ค เอาไว้ แต่ได้เอาไปขายแล้ว แล้วตอนนี้ก็ไม่ได้ผ่อนต่อ ทางเจ้าหนี้บอกว่า เป็นคดีอาญา ต้องติดคุก จริงไหมคะ?
- ใช้ชื่อของตัวเองทำสัญญาผ่อน TV ให้กับเพื่อนที่อยู่ข้างๆห้องเช่า แต่ตอนนี้เพื่อนหนีหนี้ไปแล้ว เจ้าหนี้เขาโทรมาทวงเอา TV คืน แต่เพื่อนก็ย้ายห้องพร้อม TV หนีไปไหนก็ไม่รู้ ทางเจ้าหนี้ก็บอกว่าถ้าไม่เอา TV มาคืน จะเอาตำรวจมาจับผม จะทำยังไงดีครับ?
- ผ่อนตู้เย็นมาได้ 3 เดือนแล้วค่ะ แต่ตอนนี้ตกงานไม่มีเงินผ่อนต่อ คนโทรมาทวงบอกว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อ เขาจำเป็นต้องมายึดเอาของไป ทำได้ด้วยหรือคะ?
จะอธิบายให้ฟังละนะ
สัญญาเช่าซื้อ...มีความหมายว่า ลูกค้าไปเอาของๆเขามาใช้ ในลักษณะของการเช่าของ และสัญญาว่าจะจ่ายชำระเงินค่าสินค้านั้นๆ โดยการผ่อนเป็นงวดๆพร้อมด้วยดอกเบี้ยตามข้อตกลง จนกว่าจะครบตามมูลค่าของสินค้านั้นๆ จึงจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ของสินค้านั้นๆ ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของลูกค้าหรือผู้เช่าซื้อต่อไปได้...หากลูกค้าหรือผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระ(ไม่จ่าย) เจ้าของสินค้าก็ต้องไปยึดเอาของคืนมา...มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
แต่ถ้าเจ้าของตามไปยึดสินค้าแล้ว กลับไม่มีสินค้าให้ยึด เนื่องจากลูกค้าเอาสินค้าของเขาไป ขาย , จำนำ , หรือยกให้กับคนอื่นต่อ...ผู้ที่เป็นเจ้าของสินค้าเขาก็สามารถฟ้องลูกค้าผู้นั้นให้เป็นคดีอาญา ในข้อหา “
ยักยอกทรัพย์ของผู้อื่น” ได้ (ก็เล่นเอาของๆคนอื่น ที่มิใช่ของตนเองไปขายนี่ครับ)
ดังนั้น...การที่จะยึดสินค้าที่กำลังผ่อนชำระอยู่นั้น...ได้...หรือไม่ได้? ก็ต้องให้ไปดูที่ตัว "
สัญญา" เป็นหลัก...ว่าเป็น "
สัญญาเช่าซื้อ" หรือไม่?
การที่จะใช้คำว่า "
สัญญาเช่าซื้อ" ได้นั้น...สินค้านั้นๆจะต้องเป็นทรัพย์สินของเจ้าหนี้มาก่อนตั้งแต่เริ่มแรกๆเลย แล้วหลังจากนั้นลูกหนี้ก็ไปเอาของๆเขามาใช้ โดยตกลงกันว่า ลูกหนี้จะผ่อนชำระมูลค่าของสินค้าพร้อมด้วยดอกเบี้ย คืนให้กับเจ้าของสินค้าเป็นงวดๆไป ตามข้อตกลง…เป็นไปตามที่ผมได้กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น
แต่ถ้าหากสินค้านั้นๆ ไม่ได้เป็นทรัพย์สินของเจ้าหนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม...แต่ฝ่ายเจ้าหนี้มันดันไปเขียนไว้ที่หัวของสัญญาว่า "
สัญญาเช่าซื้อ"...สัญญาฉบับนั้นๆ ก็จะเป็นอันมิชอบด้วยกฏหมาย และจะเป็นโมฆะต่อไปหากเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี...ดังนั้น ทางฝ่ายเจ้าหนี้ทั้งหลายแหล่ที่เป็นผู้ปล่อยสินค้าประเภทเงินผ่อน โดยทั้งๆที่ตัวมันไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้ามาตั้งแต่เริ่มแรก จึงมักเลี่ยงที่จะใช้คำว่า "
สัญญาเช่าซื้อ" บนหัวกระดาษของสัญญา แต่มันจะเปลี่ยนไปใช้เป็นคำอื่นๆแทน เช่น
เขียนว่าเป็น “
สัญญาเงินกู้เพื่อการผ่อนชำระสินค้า” , “
สัญญาผ่อนสินค้าเงินเชื่อ” , “
สัญญาผ่อนสินค้าส่วนบุคคล” , “
สัญญาสินค้าเงินผ่อน” , ฯลฯ...เป็นต้น
สัญญาเหล่านี้ ไม่ถูกจัดว่าเป็น "
สัญญาเช่าซื้อ" ตามกฏหมาย แต่ถูกจัดว่าเป็นสัญญาที่ให้กู้เงิน เพื่อใช้ในการจับจ่ายใช้สอย สำหรับการอุปโภคและบริโภคใดๆ...หรือเรียกง่ายๆก็คือว่า “
เป็นการปล่อยเงินกู้ให้กับลูกหนี้ก้อนหนึ่ง แล้วหลังจากนั้น ลูกหนี้จะเอาเงินก้อนนี้ ไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือซื้ออะไรก็ได้ ตามความต้องการของทางลูกหนี้...เชิญตามสบาย”
ดังนั้น หากทางลูกหนี้เกิด “
ผิดนัดชำระหนี้” ขึ้นมาเมื่อใด ทางฝ่ายเจ้าหนี้มันก็มีสิทธิ์ทวงได้เฉพาะเงินก้อน ที่มันโยนมาให้ลูกหนี้ไว้ใช้ซื้อของตามที่ลูกหนี้ต้องการเท่านั้น จะมาอ้างทวงเอาของที่ลูกหนี้ซื้อมาแล้วไม่ได้ เพราะลูกหนี้ เป็นผู้ “
ติดหนี้เงิน” ไม่ใช่ “
ติดหนี้ของ”
และนี่คือที่มาว่า...ทำไม?...ส่วนมาก ไอ้พวกบรรดาเจ้าหนี้สินค้าเงินผ่อนเจ้าเล่ห์ต่างๆ มันมักจะใช้ชื่อของสัญญา ในการผ่อนสินค้าเป็นคำอื่นๆ โดยที่ไม่กล้าใช้คำว่า “สัญญาเช่าซื้อ” (ก็เพราะว่าตัวมันเองไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้านั้นๆมาตั้งแต่เริ่มแรก มันจึงกลัวว่าสัญญาจะเป็นโมฆะหากขึ้นสู่ชั้นพิจาณา ยังไงล่ะ)
แต่ทีเวลาพวกมันทวงหนี้...มันกลับชอบอ้างกับลูกหนี้ว่าเป็นสัญญาประเภท “
เช่าซื้อ” ไปซะทุกที และก็ชอบที่จะข่มขู่ว่านี่เป็นคดีอาญานะ หากไม่ส่งมอบคืนสินค้าให้กับมัน...ทั้งที่ความจริงนั้น...มันไม่ใช่เลย
ฉะนั้นพวกที่เป็นลูกหนี้สินค้าประเภทเงินผ่อน จึงจำเป็นที่จะต้องรอบรู้ให้มากๆ เพื่อให้ทันกับเล่ห์เหลี่ยมของพวกมันด้วย
บางคนอาจจะยัง “งง” อยู่กับคำว่า “
สินค้านั้นๆจะต้องเป็นทรัพย์สินของเจ้าหนี้มาก่อน ตั้งแต่เริ่มแรกๆเลย” มันหมายความว่าอะไร?
เอาล่ะ...จะอธิบายให้ฟังตามนี้นะ
ตัวอย่างที่ 1
พวกคุณรู้จัก บริษัทที่ชื่อว่า Singer (ซิงเกอร์) ไหมครับ?...บริษัทนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับ เครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อนต่างๆ เช่น จักรเย็บผ้าไฟฟ้า , ตู้เย็น , เครื่องซักผ้า , โทรทัศน์ , วิทยุ , เตารีด , ฯลฯ...โดยที่บริษัท Singer นี้ มีโรงงานผลิตและซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้เป็นของตนเอง
เครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อ Singer เหล่านี้ ถูกผลิตออกมาจากโรงงานของ Singer แล้วก็ถูกนำออกมาขายตามร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีชื่อว่า “
ร้าน Singer” ผ่านตัวแทนฝ่ายขายของ Singer โดยส่วนใหญ่จะเน้นขายเป็นสินค้าประเภท “
เงินผ่อน”
นี่แหละครับ...ตัวอย่างของคำว่า “
สินค้านั้นๆ จะต้องเป็นทรัพย์สินของเจ้าหนี้มาก่อน ตั้งแต่เริ่มแรก”
บริษัท Singer เป็นผู้สั่งผลิตสินค้าเอง , มี LOGO สินค้าเป็นของตัวเอง , ทำการตลาดขายของเอง , ขายแบบเงินผ่อนเอง , เก็บเงินค่าผ่อนเอง...สรุปก็คือ “Singer เป็นเจ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อนเหล่านี้ มาตั้งแต่เริ่มแรก” และนำสินค้าของตนเอง มาขายเป็นเงินผ่อนให้กับลูกค้า...ลักษณะเช่นนี้ จึงจัดว่าเป็นนิติกรรม “
เช่าซื้อ” โดยถูกต้องตามกฏหมาย
ตัวอย่างที่ 2
นายพอเพียง อยากได้มอเตอร์ไซด์สักคันเพื่อไว้ขี่ไปทำงาน แต่ไม่มีเงินก้อนไปซื้อ นายพอเพียงจึงลองไปถามร้านขายมอเตอร์ไซด์ที่อยู่ใกล้บ้าน ว่าหากต้องการจะซื้อมอเตอร์ไซด์ รุ่น Wave 100 สีแดงคันนี้ จากทางร้าน แบบเงินผ่อน จะต้องทำยังไงบ้าง ***ราคาขายมอเตอร์ไซด์(เงินสด)อยู่ที่ 40,000.-บาท***
ทางร้านก็เลยแนะนำกับนายพอเพียงว่า ให้นายพอเพียงไปทำ “สัญญาเช่าซื้อ” มอเตอร์ไซด์กับ บริษัท ไอ้อ้อน(Teen) จำกัด ซึ่งทำธุรกิจแบบ ไฟแนนซ์และลิสซิ่งด้วย ก็จะสามารถเอามอเตอร์ไซด์คันนี้ออกไปขับได้เลย ส่วนเรื่องการผ่อนเงินก็ให้นายพอเพียงไปตกลงและผ่อนกับทาง บริษัท ไอ้อ้อน(Teen) เอาเอง…นายพอเพียงจึงตกลงไปทำ “สัญญาเช่าซื้อ” ตามที่ทางร้านแนะนำ
สำหรับ บริษัท ไอ้อ้อน(Teen) พอมันรู้ว่านายพอเพียงต้องการซื้อมอเตอร์ไซค์คันนี้แน่ๆ มันก็ให้นายพอเพียงทำ “สัญญาเช่าซื้อ” มอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวกับมัน แล้วมันก็โอนเงินจำนวน 40,000.-บาท ให้กับทางร้านขายภายในวันเดียวกันนั้นเลย โดยให้ทางร้านขายออกใบเสร็จรับเงินว่า บริษัท ไอ้อ้อน(Teen) เป็นผู้ซื้อมอเตอร์ไซด์คันนี้...นายพอเพียงจึงขับมอเตอร์ไซด์คันนี้กลับไปบ้านได้เลย
หลังจากนั้นทาง บริษัท ไอ้อ้อน(Teen) ก็เอาใบเสร็จการซื้อมอเตอร์ไซด์คันนี้ ไปแจ้งทำสมุดทะเบียนรถจักรยานยนต์ ที่กรมขนส่งทางบก โดยอ้างต่อกรมขนส่งว่ามันเป็นเจ้าของรถ เนื่องจากมันเป็นผู้ออกเงินซื้อมาเอง โดยมีใบเสร็จการชำระเงินของบริษัท ไอ้อ้อน(Teen)เป็นหลักฐานยืนยัน
ดังนั้น ชื่อผู้ที่เป็นเจ้าของรถมอเตอร์ไซด์คันนี้ ซึ่งระบุอยู่ในสมุดทะเบียนรถจักรยานยนต์ จึงเป็นชื่อของ บริษัท ไอ้อ้อน(Teen) จำกัด มิใช่เป็นชื่อของนายพอเพียง
สถานะของนายพอเพียง จึงเป็นเพียงแค่ “
ผู้ครอบครอง” เท่านั้นตามกฏหมาย จนกว่านายพอเพียงจะผ่อนชำระหนี้ตาม“สัญญาเช่าซื้อ”จนครบ ทาง บริษัท ไอ้อ้อน(Teen) จึงจะทำการโอนรถและสมุดทะเบียน ให้เป็นชื่อของนายพอเพียงเป็นเจ้าของต่อไป
(ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า เจ้าของรถที่แท้จริงก็คือ บริษัท ไอ้อ้อน(Teen)...แต่มันได้อนุญาตให้นายพอเพียง นำรถของมันออกไปยืมขับได้ตามใจชอบ ตราบใดที่นายพอเพียงยังผ่อนเงินค่ารถให้กับมัน)
ลักษณะตาม
ตัวอย่างที่ 2
เช่นนี้ ก็ถูกจัดว่าเป็นนิติกรรม “เช่าซื้อ” ที่ถูกต้องตามกฏหมาย เช่นเดียวกัน
หากว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อ (ที่ใช้บังคับคดีได้ตามกฏหมาย)
จะต้องมีรายละเอียดประมาณดังนี้
1. สินค้าที่จะทำเป็น “สัญญาเช่าซื้อ” ได้นั้น จะต้องเป็นทรัพย์สินของผู้ขายสินค้ามาตั้งแต่เริ่มแรก...ก่อนที่จะเซ็นต์ทำสัญญาเช่าซื้อระหว่างกัน
2. ด้านบนหัวกระดาษของหนังสือสัญญา จะต้องถูกเขียนระบุไว้ว่าเป็น "
สัญญาเช่าซื้อ" เท่านั้น...
จะเขียนเป็นอย่างอื่นมิได้โดยเด็ดขาด
3. ในหนังสือสัญญา จะต้องมีการระบุรายละเอียดของตัวสินค้าที่จะผ่อนเช่าซื้อ ให้ชัดเจน , ครบถ้วนทุกประการ อาทิเช่น
ชื่อ เจ้าของสินค้า/ผู้ให้เช่าซื้อ = บริษัท ไอ้อ้อน(Teen) จำกัด
ชื่อ ผู้ใช้บริการ/ผู้เช่าซื้อสินค้า = นาย นกกระจอกเทศ กระทืบเจ้าหนี้
หมายเลขบัตรประชาชน = x-xxxx-xxxxx-xx-x
ที่อยู่ของ ผู้ใช้บริการ/ผู้เช่าซื้อสินค้า = บ้านเลขที่ 4/2 ซอยวัฒนโยธิน แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กทม. 10400
เบอร์โทรศัพท์ = 02-424อ42ม (ศูนย์สอง สี่โทรสี่ อยากสี่โทรมา)
ประเภทสินค้า = เครื่องรับโทรทัศน์ (TV)
ขนาด = 21 นิ้ว
สีของสินค้า = สีดำ
ยี่ห้อ = Sony
รุ่น = Vega 21
หมายเลขประจำเครื่อง (Serial No.) = 000261007TH
ราคาสินค้า = 9,000.-บาท
ระยะเวลาในการผ่อนชำระเงินคืน = 12 งวด
อัตราดอกเบี้ย = 2% ต่อเดือน
ตกลงเป็นจำนวนเงินในการผ่อนชำระงวดละ 930.-บาท เป็นระยะเวลาทั้งหมด 12 เดือน
รายละเอียดของ “สัญญาเช่าซื้อ” จะต้องมีองค์ประกอบประมาณนี้...เป็นต้น
แล้วทำไมผมจึงกล้าบอกว่า สินค้าส่วนใหญ่ ที่บรรดาลูกหนี้ผ่อนอยู่กับสถาบัน Non-Bank ต่างๆทุกวันนี้ ส่วนมากไม่ได้ถูกจัดว่าเป็น “
สัญญาเช่าซื้อ” ล่ะ?
คำตอบก็คือ...
ก็เพราะว่าพวกมันไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้ามาตั้งแต่เริ่มแรกยังไงล่ะครับ!
ยกตัวอย่างเช่น นายพอเพียงไปผ่อนซื้อโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Nokia รุ่น N70 มาจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง (ราคาขายเงินสดอยู่ที่ 7,000.-บาท) โดยนายพอเพียงได้ไปทำ “
สัญญาสินค้าเงินผ่อน” ไว้กับ บริษัท ไอ้อ้อน(Teen) ที่มีการเปิดบริการไว้อยู่ในห้างฯนี้ด้วยเช่นกัน แล้วนายพอเพียงก็ได้โทรศัพท์มือถือมาใช้สมใจอยากภายในวันนั้นเลยจากทางห้างฯ พร้อมกับได้รับใบเสร็จชำระเงินค่าโทรศัพท์(ว่าได้จ่ายเงินค่าเครื่องโทรศัพท์มือแล้ว) พร้อมกับใบรับประกันสินค้าของ Nokia ด้วย
หลังจากนั้น นายพอเพียงก็ผ่อนชำระค่าเครื่องโทรศัพท์มาได้ 3 งวด แล้วก็หยุดจ่าย...ทางบริษัท ไอ้อ้อน(Teen) ก็โทรมาทวงหนี้และทวงสินค้า (เครื่องโทรศัพท์มือถือ) คืนจากนายพอเพียง โดยอ้างว่าหนี้ในครั้งนี้ เป็นหนี้ประเภท “
เช่าซื้อ” นะ ถ้าหากนายพอเพียงไม่ยอมคืนโทรศัพท์ Nokia มา จะถูกฟ้องเป็นให้คดีอาญา และจะถูกตำรวจจับด้วย
5555...
(ขออนุญาต “ขำ” กับมุขควายๆที่พวกมันชอบใช้หลอกข่มขู่กับลูกหนี้แบบนี้ สักหน่อยนะครับ...แม่_งใช้มาตั้งหลายปีแล้ว แต่ก็ยังคงความเป็น น้ำเน่า และควายๆ อยู่เหมือนเดิม)...เอิ๊ก...เอิ๊ก...
เฮ้อ...เฮ่อ...มาเล่าต่อ...ทำไมผมถึง “ขำ” เหรอครับ...
ก็เพราะว่ามันไม่ได้เข้าข่ายเลยสักนิด
ด้วยเหตุผลดังนี้ไง
1. บริษัท ไอ้อ้อน(Teen) มันเป็นเจ้าของโทรศัพท์ Nokia ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหว่า?...ผมไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินมาก่อนเลยว่า บริษัท ไอ้อ้อน(Teen) มันมีโรงงานผลิตโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Nokia เป็นของตัวมันเองเลย...แล้วโรงงานมันตั้งอยู่ที่ไหนกัน(วะ)
2. สัญญาที่มันเขียนลงบนหัวกระดาษ มันก็ใช้คำว่า “
สัญญาสินค้าเงินผ่อน”...ไม่เห็นมีคำว่า “
สัญญาเช่าซื้อ” เขียนไว้อยู่ตรงไหนเลย?
3. ใบเสร็จรับเงินค่าเครื่องโทรศัพท์มือถือ ที่นายพอเพียงได้รับมาจากห้างฯ ก็อยู่ที่นายพอเพียงเป็นผู้เก็บไว้ แถมยังมี “
ใบรับประกันสินค้า” ที่ระบุว่าซ่อมฟรี 1 ปี หากเครื่องโทรศัพท์มีปัญหา ซึ่งในใบรับประกันสินค้านั้น ก็ยังเขียนไว้ด้วยว่า “ชื่อผู้ซื้อ...ชื่อ
นายพอเพียง นามสกุล
อยู่ไปวันวัน” โดยชัดเจน...ไม่ได้เขียนเอาไว้ว่า "ชื่อผู้ซื้อ...ชื่อ
บริษัท ไอ้อ้อน(Teen) ซะเมื่อไหร่
แล้วมันจะเป็น คดีอาญา ไปได้ยังไง(วะ)เนี่ย…เหอ...เหอ...เหอ...เอิ๊ก...
ถ้ามันยังขืนกล้ามายึดเอาเครื่องโทรศัพท์มือถือตามที่มันขู่แล้วล่ะก็ นายพอเพียงสามารถเอาหลักฐาน “
ใบรับประกันสินค้า” ตัวนี้ ไปแจ้งความกับตำรวจเพื่อดำเนินคดีกับมัน ในข้อหา "
ข่มขู่กรรโชกทรัพย์" , “
ชิงทรัพย์” หรือ “
ปล้นทรัพย์” ยังได้เลยด้วยซ้ำ
บางคนอาจจะบอกว่า "
ไม่รู้ว่ามันเป็นสัญญาเช่าซื้อจริงๆหรือเปล่าสิคะ เพราะไม่มีหนังสือหนังสือสัญญาค่ะ เนื่องจากตอนที่ไปทำสัญญาเอาไว้ ทางเจ้าหนี้เขาก็ไม่ได้ให้ Copy สัญญากลับมาด้วย" หรือว่า "
หนังสือสัญญาหายค่ะ ทิ้งไปแล้วเพราะนึกว่ามันไม่สำคัญ เลยไม่รู้ว่ามันเป็นสัญญาเช่าซื้อหรือเปล่า"
ไม่เป็นไรครับ...ผมบอกแล้วไงว่า เอกสาร"
ใบเสร็จรับเงิน" หรือ "
ใบรับประกันสินค้า"นั่นแหละ ที่จะเป็นหลักฐานชี้ชัดได้ว่า "
ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของโดยแท้จริง" และถ้ายังไม่เคยกรอกชื่อหรือรายละเอียดใดๆไว้ใน"
ใบรับประกันสินค้า"นี้เลย ก็ให้รีบเขียนซะนะ...แล้วเก็บเอาไว้ให้ดี
แต่ถ้ายังมีหน้ามาบอกอีกว่า "
ใบเสร็จรับเงินและใบรับประกันสินค้า ก็หายเหมือนกันค่ะ ไม่เคยเก็บเอาไว้เลย"
เออ...เจริญล่ะ...ไม่รู้จักเก็บอะไรไว้ซักอย่างเลย ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วโว้ยอย่างนี้...ก็จงโดนทวงของต่อไปก็แล้วกัน
แล้วถ้ายังถามต่ออีกว่า...เอ!...แล้วเราจะมีวิธีสังเกตุอื่นๆอีกบ้างไหม? ที่พอจะคาดเดาได้ว่า...สินค้าเงินผ่อนอันไหน?...หรือเจ้าหนี้รายใด?...ที่ตัวเจ้าหนี้มันเป็นเจ้าของทรัพย์มาตั้งเริ่มแรก
โถ...สังเกตุได้ง่ายนิดเดียวครับ...ถ้าเจ้าหนี้มันลงทุนซื้อของเข้ามาขายในร้านหรือในห้างฯของตัวเอง มันก็เป็นเจ้าของยังไงล่ะครับ...ส่วนเจ้าหนี้รายไหนที่มันไม่ลงทุนซื้อของเข้ามาในร้านของตัวเองเลย (หรือเรียกได้ว่า ไม่มีร้านขายของเป็นของตนเอง) แต่แค่อาศัยเอาสติกเกอร์หรือแผ่นป้ายโฆษณา ไปฝากแปะไว้ตามร้านค้าหรือห้างต่างๆ (แบบกาฝาก) ก็แสดงว่าไม่ใช่สินค้าของมันยังไงล่ะครับ
เช่น
ร้านเพาว์เวอร์ควาย , ห้างโลตุ๊ด , ห้างบิ๊กซี๊ , โรบินสำ(ส่อน) เป็นต้น...พวกนี้มันมีห้างหรือร้านค้าเป็นของตัวเอง และลงทุนซื้อสินค้าต่างๆเข้ามาใน ห้าง/ร้าน ของตัวเอง ดังนั้นมันจึงเป็นเจ้าของสินค้าตั้งแต่เริ่มแรก
ส่วน ไอ้พวกยี่ห้อ
ไอ้อ้อน(Teen) , อี-ซี่-ควาย , เฟริสท์ถ่อย , เคทีซวย , ซิตี้บ๊อง เหล่านี้ มันก็แค่เอาป้ายโฆษณาเงินผ่อนไปฝากแปะไว้ตามห้างฯเท่านั้น แต่สินค้าต่างๆที่อยู่ในห้าง มันไม่ได้เป็นผู้ลงทุนซื้อมาสักชิ้น
เข้าใจหรือยังครับ?
ทีนี้...เรามาลองสมมุติกันอีกสักกรณีหนึ่งนะ (โดยสมมุติว่า...ต่อให้มันเป็น “
สัญญาเช่าซื้อ” จริงๆก็ตามที)
แต่ถ้าการทำ “
สัญญาเช่าซื้อ” นั้น...มันไม่ได้มีการระบุรายละเอียดของสินค้าไว้โดยละเอียด
(ตามตัวอย่างในข้อความตัวอักษรสีแดง ที่ผมยกตัวอย่างให้ดูในด้านบน)...แต่ถูกระบุไว้เพียงแค่ว่า
ประเภทสินค้า = เครื่องรับโทรทัศน์
(เพียงแค่นี้!...เท่านั้น!...แต่รายละเอียดอย่างอื่นไม่ได้มีเขียนบอกอะไรไว้อีกเลย)
หากทางเจ้าหนี้มันอ้างว่าจะมา "
ยึดของ"...แล้วมันจะมายึดอะไรล่ะครับ...เข้าใจไหม?
ผมกำลังหมายความว่า...หากลูกหนี้"หยุดจ่าย" แล้วฝ่ายเจ้าหนี้ มันโมเมว่าจะเข้ามายึดเอาของคืน ก็ให้ถามมันไปว่า..."
มรึงจะมายึดเอาอะไรจากกรู(วะ)"
ถ้ามันตอบว่า "
ก็จะมายึดเอาโทรทัศน์กลับคืนไปน่ะสิ"
ผมก็ขอแนะนำว่า ให้คุณไปเตรียมซื้อโทรทัศน์เครื่อง เก่าๆ พังๆ ยี่ห้ออะไรก็ได้ รุ่นอะไรก็ได้ จากร้านรับซื้อของเก่า (หรือจะถามจากพวก "ซาเล๊งเก็บขยะ" ก็ได้) โดยเลือกซื้อเอาเครื่องโทรทัศน์ที่ราคาถูกที่สุด ถึงแม้มันจะเหลือเป็นเพียงแค่ โครง ซาก พังๆ เน่าๆ ของเครื่องโทรทัศน์ก็ได้ (ราคาไม่น่าจะเกินร้อยกว่าบาท) แล้วก็เอาไปวางกองไว้ที่หน้าบ้านของคุณเอง
ต่อจากนั้นก็ให้โทรไปบอกกับเจ้าหนี้มันว่า "
กรูได้เตรียมโทรทัศน์ไว้คืนให้มรึงเรียบร้อยแล้วนะ ให้มรึงรีบใสหัวมรึงมาเอาไปได้เลย...ให้ไวด้วย”
แล้วถ้าหากมันมายึดจริงๆ...ก็ชี้ให้มันดูว่า “
นั่นยังไงล่ะ โทรทัศน์ของมรึง เชิญมรึงขนเอาไปได้เลย แล้วช่วยเซ็นต์ชื่อมรึงลงในเอกสารรับของคืนแผ่นนี้ซะด้วยนะ ว่ามรึงได้ขนเอาของคืนกลับไปแล้ว...อ้อ...แล้วพอได้ของกลับไปแล้ว...ต่อไปก็อย่า เสือ_โทรมาทวงอีกล่ะ”
พอมันเห็นซากโทรทัศน์ พังๆ เน่าๆ เท่านั้นแหละ...มันก็จะรีบร้องบอกทันทีว่า “
เฮ้ย !!!...ไม่ใช่โทรทัศน์เครื่องนี้นี่หว่า มันต้องเป็นเครื่องอื่นสิ”
ให้คุณบอกมันไปว่า “
ถ้ามันไม่ใช่เครื่องนี้ แล้วมันจะเป็นเครื่องไหนล่ะวะ ก็มรึงให้กรูมาแค่เครื่องนี้แหละ...ในสัญญามรึงก็เขียนเอาไว้ว่า ประเภทสินค้าคือ “
เครื่องรับโทรทัศน์
”
มันก็เขียนไว้แค่นี้...ก็นี่ยังไงล่ะเครื่องรับโทรทัศน์...หรือมรึงมองเห็นมันเป็นตู้เย็น
รึไงฟะ?...ว่าไง...มรึงจะเอารึไม่เอา? ถ้าไม่เอาคืน แล้วเสือ_ขู่ว่าจะมายึดทำไมวะ?"
*** เล่นกับมันอย่างนี้ไปเลยคร๊าบ พี่น้อง...จะไปกลัวอะไรกับมันล่ะ ***
อ่ะแฮ่ม...จะแถมให้อีกสักกรณีละกัน (เป็นกรณีสุดท้าย...แบบทิ้งทวน)
ในครั้งอดีต เคยมีคนตั้งกระทู้ถามในทำนองว่า เอาบัตรเครดิตไปรูดซื้อ TV กับ แอร์ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้ผ่อนจ่ายหนี้บัตรเครดิต...ทางเจ้าหนี้มันจะมายึดของคืนไปได้ไหม?
และนี่ก็คือคำถามที่ว่า
การซื้อสินค้าผ่านบัตรเคริตแล้วค้างจ่าย
สวัสดีพี่ๆทุกท่านครับ ที่เข้ามาอ่านข้อสงสัยของกระผม ผมอยากทราบว่าผมได้ซื้อทีวีกับแอร์ โดยชำระผ่านบัตรเครดิต แต่แล้วผมมีปัญหาเรื่องเงินเลยไม่ได้ชำระขั้นต่ำจนปัจจุบันก็หยุดจ่ายแล้ว
ผมอยากทราบว่าทางเจ้าหนี้ธนาคารซึ่งเป็นเจ้าของบัตรเครดิตจะมีสิทธิ์มายึดสินค้าคืนจากเราได้ไหมครับ
ส่วนนี่ก็คือคำตอบจากผม
การนำบัตรเครดิตไปรูดซื้อสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเพื่อการ อุปโภค . บริโภค หรือแม้กระทั่งการนำเอาบัตรเครดิตไปรูดกดเป็นเงินสดออกมาก็ตาม...ก็คือการขอยืมเงินของทางเจ้าหนี้ ให้สำรองจ่ายแทนเราไปก่อนสำหรับการซื้อสินค้าใดๆ ซึ่งเงินที่เราได้ยืมมาจากเจ้าหนี้ โดยการใช้บัตรเครดิตไปรูดเช่นนี้ เราจะเอาไปซื้ออะไร มันก็เป็นเรื่องของเรา เป็นสิทธิ์ของเรา เจ้าหนี้มันจะมาอ้างทวงสินค้าที่ถูกซื้อไปไม่ได้ เพราะสินค้านั้นๆ ได้จัดเป็นกรรมสิทธิ์ของเราแล้ว...เพียงแต่เราต้องไปชดใช้หนี้ตามจำนวน "เงิน" ที่เราไปยืมเขามาก็เท่านั้น
ผมขอยกตัวอย่าง "สมมุติ" ให้ดูสักกรณีหนึ่งก็แล้วกัน
สมมุติว่า...คุณไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง โดยในครั้งนั้น คุณได้สั่งอาหารราคาแพงๆมาทานหลายอย่าง อาทิเช่น หูฉลาม , เป็ดปักกิ่ง , ขาแพะอบน้ำแดง , กุ้งลอบสเตอร์อบชีส , สเต็กปลาแซลมอน ราดด้วยไข่ปลาคาร์เวีย...ฯลฯ...เป็นต้น
หลังจากทานจนอิ่มเสร็จแล้ว คุณก็ได้จ่ายชำระ "เงิน" ค่าอาหารทั้งหมด ด้วยการรูดบัตรเครดิตที่ภัตตาคารดังกล่าว
ต่อมา...คุณประสบปัญหาเรื่องสภาพการเงินแบบกระทันหัน และไม่สามารถหาเงินไปจ่ายชำระค่าบัตรเครดิดได้ แม้กระทั่งการจ่ายผ่อนขั้นต่ำก็ตาม
คุณคิดว่า...ทางเจ้าหนี้มันจะมาทวง "เงินค่าอาหาร" หรือทวง "อาหารที่คุณกินเข้าไป" ล่ะครับ?
เพราะถ้ามันจะมาทวงเอา"สินค้า"ที่คุณกินเข้าไป...ซึ่งมันก็ได้ถูกย่อยสลายจนกลายเป็น "ขี้
" ไปหมดแล้ว
แล้วคุณคิดว่า ทางเจ้าหนี้...มันจะมายึดเอา "ขี้
" ของคุณไปไหมล่ะครับ?