ข้อ ๑. ตามคำฟ้องข้อ ๒. เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ จำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงิน สินเชื่อ ทีเอ็มบี แคชทูโก กับโจทก์ โจทก์ได้อนุมัติเงินกู้จำนวน ๔๒๗,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลย คิดดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ย CPR + ๒ เท่ากับร้อยละ ๒๐ ต่อปี (ในขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำสำหรับสินเชี่อ
บุคคล (CPR) อยู่ที่ร้อยละ ๑๘ ต่อปี) โดยจำเลยตกลงจะผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เป็นงวดรายเดือนจำนวน ๖๐ งวด งวดละ ๑๑,๓๒๐ บาท งวดแรกเริ่มชำระวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ และต้องชำระงวดต่อ ๆ ไปในทุก ๆ วันที่สิ้นเดือน ของเดือนถัดไป หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินจำนวนใด ๆ ที่ถึงกำหนดชำระ โจทก์มีสิทธิจะแจ้งให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดตามสัญญาได้โดยพลัน และจำเลยจะต้องชำระหนี้ต้นเงิน ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ตามสัญญาแก่โจทก์โดยทันที รายละเอียดปรากฏตามสำเนาคำขอใช้บริการสินเชื่อ ทีเอ็มบี แคชทูโก พร้อมสัญญาให้สินเชื่อ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๕ ตามคำฟ้องข้อ ๓. หลังจากจำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องข้อ ๒. แล้ว จำเลยได้ประพฤติผิดสัญญา กล่าวคือ จำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เพียงบางส่วน ซึ่งปรากฏยอดหนี้ทางบัญชี ณ วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ จำเลยค้างชำระหนี้แก่โจทก์ แยกเป็นต้นเงิน ๓๘๖,๙๓๒.๓๖ บาท ดอกเบี้ยจำนวน ๑๓๕,๔๑๓.๖๗ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๒๒,๓๔๖.๐๓ บาท รายละเอียดปรากฏตามตารางคำนวณดอกเบี้ย ซึ่งเป็นรายการเคลื่อนไหวทางบัญชีสินเชื่อ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๖ ข้อ ๒. ตามรายการเคลื่อนไหวทางบัญชี สำเนาเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๖ จำเลยได้จัดทำตารางสรุป รายการเคลื่อนไหวทางบัญชี สำเนาเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข ๑ ปรากฎว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ จำนวนเงิน ๔๒๗,๐๐๐ บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒๐ ต่อปี ผ่อนชำระเดือนละ ๑๑,๓๒๐ บาท จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญาครั้งสุดท้ายวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ จำนวนเงิน ๑๑,๓๒๐ บาท โจทก์นำไปหักชำระเงินต้นจำนวน ๔,๖๖๘.๑๖ บาท นำไปหักชำระดอกเบี้ย ๖,๖๕๑๘๔ บาท หักแล้ว เงินต้นคงค้าง ๓๘๖,๙๓๒.๓๖ บาท ดอกเบี้ยคงค้าง ๔๖๗.๙๑ บาท หลังจากนั้น จำเลยผิดนัดชำระหนี้ติดต่อกันมา ในวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โจทก์ปรับดอกเบี้ยเป็นอัตราผิดนัดร้อยละ ๒๘ ต่อปี และคิดดอกเบี้ยดังนี้ ๑) วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ นับจากชำระครั้งก่อนวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ จำนวน ๔๕๘ วัน เงินต้นคงค้าง ๓๘๖,๙๓๒.๓๖ บาท เป็นดอกเบี้ยจำนวน ๑๓๕,๙๔๕.๗๗ บาท (๓๘๖,๙๓๒.๓๖ ตูณ ๒๘ คูณ ๔๕๘ หาร ๓๖๕๐๐ เท่ากับ ๑๓๕,๙๔๕.๗๗) ๒) วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๐ นับจากครั้งก่อนวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ จำนวน ๓๑๘ วัน เงินต้นคงค้าง ๓๘๖,๙๓๒.๓๖ บาท เป็นดอกเบี้ยจำนวน ๙๔,๓๙๐.๒๙ บาท (๓๘๖,๙๓๒.๓๖ ตูณ ๒๘ คูณ ๓๑๘ หาร ๓๖๕๐๐ เท่ากับ ๙๔,๓๙๐.๒๙)
เงินต้นคงค้าง ๓๘๖,๙๓๒.๓๖ บาท (๑๐๐%) ดอกเบี้ย ๒๘% ๒๙ ก.พ. ๒๕๕๙ ๑๓๕,๙๔๕.๗๗ บาท (๓๕.๑๓% ของเงินต้น) ดอกเบี้ย ๒๘% ๑๒ ม.ค. ๒๕๖๐ ๙๔,๓๙๐.๒๙ บาท (๒๔.๓๙% ของเงินต้น) รวมเงินต้นและดอกเบี้ย ๒๘% ๖๑๗,๒๖๘.๔๒ บาท (๑๕๙.๕๓% ของเงินต้น) ระยะเวลา ๗๗๖ วัน หรือ ๒ ปี ๑ เดือน ๑๕ วัน ดอกเบี้ย ๒๘% เพิ่มมากถึง ๕๙.๕๓% จำเลยจะมีปัญญาจ่ายหนี้ให้โจทก์ได้อย่างไร ดอกเบี้ย ๒๘% ระยะเวลา ๔ ปี เป็นดอกเบี้ย ๑๑๒% ท่วมต้นแล้วครับ
ข้อ ๓. ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๓/๒๕๔๗ สำเนาเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข ๒ พิพากษาโดยท่านไพโรจน์ วายุภาพ ท่านปัญญา ถนอมรอด ท่านวรนาถ ภูมิถาวร วางหลักกฎหมายในเรื่องเบี้ยปรับไว้ว่า ส่วนการคิดดอกเบี้ยหลังจากที่จำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินนั้น ตามสัญญากู้เงิน เอกสารหมาย จ.๓ ข้อ ๔ ระบุถึงอัตราดอกเบี้ยในกรณีที่จำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้ ให้คิดในอัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามที่ระบุในสัญญาข้อ ๒ ซึ่งหมายถึงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสำหรับลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามประกาศธนาคารโจทก์ และในกรณีที่มีการผิดนัดแล้วเช่นนี้ โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองซึ่งปฏิบัติผิดเงื่อนไขแล้ว ในอัตราผิดนัดสูงสุดสำหรับลูกค้าปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามประกาศธนาคารโจทก์ได้ โดยไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เอกสารหมาย จ.๑๕ ข้อ ๓ (๔) ดังกล่าวมาแต่อย่างใด สัญญาข้อ ๔ นี้จึงไม่ตกเป็นโมฆะ อย่างไรก็ตาม ความตามสัญญาข้อ ๔ นี้เป็นการกำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยสูงอันเนื่องมาจากการที่จำเลยผิดนัดชำระหนี้ อันเป็นการผิดสัญญา เท่ากับเป็นข้อสัญญาที่กำหนดค่าเสียหายในลักษณะเป็นดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้า อันถือเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๙ ซึ่งหากศาลเห็นว่าสูงเกินส่วน ก็มีอำนาจพิพากษาลดเบี้ยปรับลงเหลือเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๓ และเมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินรายนี้แล้ว เห็นว่าฯ อัตราดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดตามที่ระบุในสัญญากู้เงินข้อ ๔ ที่กำหนดไว้เป็นอัตราผิดนัดสูงสุดตามประกาศธนาคารโจทก์ ซึ่งนับว่าเป็นอัตราสูงมาก เช่น บางช่วงอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี และบางช่วงสูงถึงร้อยละ ๒๔ ต่อปี นับว่าเป็นเบี้ยปรับในลักษณะดอกเบี้ยที่สูงเกินส่วนไปมาก เห็นสมควรลดลงเหลือเพียงอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี เท่านั้น ฯ จำเลยขอให้การตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๓/๒๕๔๗ จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวนเงิน ๔๒๗,๐๐๐ บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒๐ ต่อปี ผ่อนชำระเดือนละ ๑๑,๓๒๐ บาท จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์รวม ๙ เดือน ชำระตามสัญญาครั้งสุดท้ายวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ จำนวนเงิน ๑๑,๓๒๐ บาท โจทก์นำไปหักชำระเงินต้น ๔,๖๖๘.๑๖ บาท นำไปหักชำระดอกเบี้ย ๖,๖๕๑.๘๔ บาท หักแล้ว เงินต้นคงค้าง ๓๘๖,๙๓๒.๓๖ บาท ดอกเบี้ยคงค้าง ๔๖๗.๙๑ บาท หลังจากนั้น จำเลยผิดนัดชำระหนี้ตลอดมา ในวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โจทก์ปรับดอกเบี้ยเป็นอัตราผิดนัดร้อยละ ๒๘ ต่อปี ต้นเงินจำนวน ๓๘๖,๙๓๒.๓๖ บาท ระยะเวลา ๔๕๘ วัน คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน ๑๓๕,๙๔๕.๗๗ บาท และในวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๐ คิดดอกเบี้ยผิดนัดร้อยละ ๒๘ ต่อปี ต้นเงินจำนวน ๓๘๖,๙๓๒.๓๖ บาท ระยะเวลา ๓๑๘ วัน คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน ๙๔,๓๙๐.๒๙ บาท รวมระยะเวลา ๗๗๖ วัน โจทก์คิดดอกเบี้ยผิดนัดร้อยละ ๒๘ ต่อปี มาโดยตลอด และขอคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๒๘ ต่อปี จนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ เป็นการกำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ ๒๘ ต่อปี อันเนื่องมาจากการที่จำเลยผิดนัดชำระหนี้ อันเป็นการผิดสัญญา เท่ากับเป็นข้อสัญญาที่กำหนดค่าเสียหายในลักษณะเป็นดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้า อันถือเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๙ ซึ่งหากศาลเห็นว่าสูงเกินส่วน ก็มีอำนาจพิพากษาลดเบี้ยปรับลงเหลือเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๓ จำเลยกราบขอประทานศาลท่านได้โปรดเมตตา พิพากษาลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควร เพื่อให้โอกาสจำเลยสามารถชำระหนี้โจทก์ได้ ข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ สำเนาเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข ๓ ยอดสินเชื่อคงค้าง ๓๓๗,๗๗๗ ล้านบาท ถ้าคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๘ ต่อปี เป็นเงินค่าดอกเบี้ยปีละ ๙๔,๕๗๗.๕๖ ล้านบาท คิดไปอีก ๔ ปี เป็นค่าดอกเบี้ยสะสม ๓๗๘,๓๑๐.๒๔ ล้านบาท คิดเป็น ๑๑๒% ของเงินต้น ๓๓๗,๗๗๗ ล้านบาท ถึงวันนั้น ทุกอย่างคงจบ ข้อ ๔. จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวนเงิน ๔๒๗,๐๐๐ บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒๐ ต่อปี ผ่อนชำระเดือนละ ๑๑,๓๒๐ บาท จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์รวม ๙ เดือน ชำระตามสัญญาครั้งสุดท้ายวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ จำนวนเงิน ๑๑,๓๒๐ บาท โจทก์นำไปหักชำระเงินต้น ๔,๖๖๘.๑๖ บาท นำไปหักชำระดอกเบี้ย ๖,๖๕๑.๘๔ บาท หักแล้ว เงินต้นคงค้าง ๓๘๖,๙๓๒.๓๖ บาท ดอกเบี้ยคงค้าง ๔๖๗.๙๑ บาท หลังจากนั้น จำเลยผิดนัดชำระหนี้ตลอดมา พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์จำเลย เลิกต่อกันแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ โจทก์และจำเลยจึงต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม วรรคสี่ การใช้สิทธิเลิกสัญญานั้น หากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๒ การเรียกเอาค่าเสียหายนั้น ได้แก่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น การคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒๘ ต่อปี จึงไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ แต่เป็นการเรียกกำไรเป็นจำนวนที่สูงมาก ตามข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับบุคคลธรรมดาของธนาคารพาณิชย์ ประจำวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๐ สำเนาเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข ๔ ธนาคารทหารไทย กำหนดให้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๑๒ เดือน แก่ผู้ฝากเงิน อัตราร้อยละ ๐.๗๕ - ๑.๐๐ ต่อปี เฉลี่ยเท่ากับอัตราร้อยละ ๐.๘๗๕ ต่อปี (๐.๗๕ บวก ๑ เท่ากับ ๑.๗๕ หาร ๒ เท่ากับ ๐.๘๗๕) ถ้าคิดดอกเบี้ยหลังเลิกสัญญา ในอัตราร้อยละ ๒๘ ต่อปี หักด้วยต้นทุนเงินฝากประจำ ๑๒ เดือน เฉลี่ยร้อยละ ๐.๘๗๕ ต่อปี โจทก์มีกำไรขั้นต้นอัตราร้อยละ ๒๗.๑๒๕ ต่อปี (๒๘ ลบ ๐.๘๘ เท่ากับ ๒๗.๑๒๕) เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนเงินฝากประจำเฉลี่ยร้อยละ ๐.๘๗๕ ต่อปี โจทก์มีกำไรขั้นต้นอัตราร้อยละ ๓,๑๐๐ ของต้นทุนเงินฝากประจำ (๒๗.๑๒๕ หาร ๐.๘๗๕ คูณ ๑๐๐ เท่ากับ ๓,๑๐๐) จึงเป็นกำไรขั้นต้นที่สูงมาก จึงไม่ใช่ค่าเสียหาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๒ ถ้าคิดดอกเบี้ยหลังเลิกสัญญา ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี หักด้วยต้นทุนเงินฝากประจำ ๑๒ เดือน เฉลี่ยร้อยละ ๐.๘๗๕ ต่อปี โจทก์มีกำไรขั้นต้นอัตราร้อยละ ๑๔.๑๒๕ ต่อปี (๑๕ ลบ ๐.๘๗๕ เท่ากับ ๑๔.๑๒๕) เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนเงินฝากประจำเฉลี่ยร้อยละ ๐.๘๗๕ ต่อปี โจทก์มีกำไรขั้นต้นอัตราร้อยละ ๑,๖๑๔.๒๙ ของต้นทุนเงินฝากประจำ (๑๔.๑๒๕ หาร ๐.๘๗๕ คูณ ๑๐๐ เท่ากับ ๑,๖๑๔.๒๙) จึงเป็นกำไรขั้นต้นที่สูงมาก จึงไม่ใช่ค่าเสียหาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๒ จำเลยจึงกราบขอความเมตตาเพื่อให้จำเลยสามารถชำระหนี้ให้โจทก์ได้