สารพันสรรสาระ และข่าวสารเพื่อเพื่อนชาวหนี้ ปี 55-56

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา - 11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27180 โดย ntps
วันเพ็ญเดือน 12 มาแล้วคร้า จะไปลอยกันที่ไหนค่ะ ไม่มีที่ลอย เรามาลอยกัน

แบบมนุษย์ออนไลน์ วันๆ เฝ้าเฟส ^^


bit.ly/WUNzFT ทาง Sanook.com




ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: june, Lyncns31

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27185 โดย ntps
อีกประมาณ 1 อาทิตย์ จะเป็นวันสำคัญของประเทศไทย ทางสนง ก.พ ฝาก

ข่าวมาบอกค่ะ

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555 สำนักงาน ก.พ

ได้จัดพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ เพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน

ปลูกฝังอุดมการณ์เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อถวายเป็นราชสักการะแด่

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมเชิญชวนให้ร่วมลงชื่อถวายสัตย์

ปฏิญาณทางเว็บไซต์สำนักงาน ก.พ ที่ www.ocsc.go.th หัวข้อ

“ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ออนไลน์” ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2555

เพื่อสำนักงาน ก.พ จะได้รวบรวมนำขึ้นทูลเกล้า ต่อไป

ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Pych, june, Lyncns31

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27190 โดย Mommyangel
มาเอาแมวบ้านพี่ลีเลย...พี่ลีขาย...มีเยอะ...

ขายแมว...ปลดหนี้..เร้ว.....

ขอเป็นเก้าอี้พักใจ....
ให้เธอได้พักพิง...
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: ntps, june

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27220 โดย ntps
4แบงก์นอกจีบซื้อหุ้นธ.กรุงศรีฯ ′ซีไอเอ็มบี-โอซีบีซี′ร่วมวง ตั้งเงื่อนไข′ห้ามเปลี่ยนชื่อ′


บิ๊กแบงก์กรุงศรีฯยื่นใบลาออก โบรกฯชี้ไม่เกี่ยวปมจีอีเตรียมขายหุ้นทิ้ง คาดตั้งคนในรักษาการแทน จับตา 4 แบงก์นอกรุมจีบ "ซีไอเอ็มบี-โอซีบีซี" ขับเคี่ยวแบงก์ญี่ปุ่น แต่ต้องใช้เวลาอีกระยะ ชี้เงื่อนไขโหด ผู้ถือหุ้นคนไทยต้องเห็นชอบ แถมห้ามเปลี่ยนชื่อแบงก์เด็ดขาด

นายวีระพันธุ์ ทีปสุวรรณ ประธานกรรมการธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า นายมาร์ค จอห์น อาร์โนลด์ ได้แจ้งความประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการธนาคาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคาร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556

รายงานข่าวจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า นายมาร์ค จอห์น อาร์โนลด์ ได้ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคาร และยังได้ลาออกจากตำแหน่งในจีอีอีกด้วย โดยระบุว่าจะกลับไปทำงานที่ยุโรป

น.ส.ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้รับผลกระทบจากการลาออกของนายมาร์ค จอห์น อาร์โนลด์ โดยราคาปิดที่ 30 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือคิดเป็น 1.64%

ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องจับตาดู คือการสรรหาผู้บริหารคนใหม่ และนโยบายของธนาคารจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ รวมถึงติดตามความชัดเจนเรื่องการขายหุ้นของธนาคารในส่วนที่กลุ่มจีอีถืออยู่ เพราะที่ผ่านมานั้นราคาหุ้นกรุงศรีฯขยับขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากมีการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานใหญ่ที่ราคาต่ำกว่าตลาด

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลาออกของนายอาร์โนลด์ แม้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการขายหุ้นของกลุ่มจีอีที่ถืออยู่ 25% โดยคาดว่าคณะกรรมการธนาคารจะแต่งตั้งคนในขึ้นรักษาการภายใน 1-2 วันนี้ อย่างไรก็ตาม การลาออกอาจจะส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนในระยะสั้น

แหล่งข่าวจากวงการธนาคารพาณิชย์เปิดเผยว่า เท่าที่ได้ยินข่าว ขณะนี้ทางจีอีได้มีการเจรจาขายหุ้นธนาคารกรุงศรีฯกับ 4 สถาบันการเงินต่างประเทศ ได้แก่ แบงก์โอซีบีซี ของสิงคโปร์ แบงก์ซีไอเอ็มบี ของมาเลเซีย ส่วนอีก 2 แห่ง เป็นธนาคารญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าการเจรจาจะใช้เวลาระยะหนึ่ง เนื่องจากผู้สนใจซื้อจะต้องมีการทำแผนธุรกิจร่วมกับธนาคารกรุงศรีอยุธยามา เสนอให้พิจารณา พร้อมกับมีเงื่อนไขสำคัญ คือการซื้อขายหุ้นครั้งนี้จะต้องได้รับฉันทานุมัติจากกลุ่มผู้ถือหุ้นคนไทย ของแบงก์กรุงศรีอยุธยาอีกด้วย และที่สำคัญ คือจะต้องไม่มีการเปลี่ยนชื่อธนาคารโดยเด็ดขาด

"ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า มีแบงก์ไทยสนใจซื้อหุ้นธนาคารกรุงศรีฯด้วยนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่หากมีการเจรจากันจริง น่าจะเป็นการเจรจาขายพอร์ตสินเชื่อให้มากกว่า" แหล่งข่าวกล่าว


(ที่มา:มติชนรายวัน 28 พ.ย.2555)

ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly, june, Lyncns31

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27233 โดย Nok2865
คุณอาไพโรจน์ ผู้ก่อตั้งชมรมหนี้ฯ ฝากกอบัวมาแปะข่าวให้สมาชิกทราบข่าวค่ะ




หนี้เน่ากระฉูด 5.6 หมื่นล้าน


ประชานิยมพ่นพิษ “รถ-บ้าน” หลังแรก


เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน นางสุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะสังคมไทยในไตรมาสที่สาม ของปี 2555 ว่า สถานการณ์ครัวเรือนไทยมีหนี้สินเพิ่มขึ้น แต่มีความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ลดลง โดยจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่ายอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีมูลค่า 2.74 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20.4% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสสองและไตรมาสแรกของปี 2555
นางสุวรรณี กล่าวว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้สิทธิ์ตามโครงการรถยนต์คันแรกและบ้านหลังแรก โดยสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 33.6% สินเชื่อเพื่อการบริโภคอื่นๆ 30.3% และสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย 10.3%
ขณะเดียวกัน ความสามารถในการชำระหนี้คืนกลับลดลง เห็นได้จากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จากสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลนั้นเพิ่มขึ้น 25.1% คิดเป็นมูลค่า 56,527 ล้านบาท หรือ 21.4% ของเอ็นพีแอลรวมทั้งหมด
ขณะที่มูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่ผิดนัดชำระเกิน 3 เดือนขึ้นไปเพิ่มขึ้น 37.8% หรือ 7,382 ล้านบาท
และสินเชื่อบัตรเครดิตที่ผิดนัดชำระหนี้เกิน 3 เดือนเพิ่มขึ้น 11%


ชี้ให้เห็นว่าครัวเรือนมีพฤติกรรมการใช้จ่ายเกินตัวมากขึ้นและเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวังและติดตามโดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อย ที่มีแนวโน้มใช้จ่ายตามค่านิยมของสังคมหรือแรงจูงใจจากการโฆษณาขายสินค้า
รองเลขาธิการ สศช.กล่าวต่อไปว่า แม้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากนโยบายค่าแรง 300 บาท แต่ผู้ใช้แรงงานกลับมีการออมเงินที่น้อยมากโดยสัดส่วนการออมเงินของแรงงานล่าสุดมีเพียง 7.8% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศหรือจีดีพีเท่านั้น ทั้งที่แรงงานไทยกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะแรงงานผู้สูงอายุมากขึ้น หากเทียบกับประเทศญี่ปุ่นแล้วถือว่าเรามีการออมที่น้อยมาก โดยปัจจุบันญี่ปุ่นมีสัดส่วนการออมเงินมากกว่า 50%

“เท่ากับว่าคนไทยแก่แล้วยังจนเหมือนเดิมขณะที่คนญี่ปุ่นแก่แล้วรวยเพราะมีการออมเงินมาตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต้องส่งสัญญาณให้มีระบบเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อย่างจริงจังพร้อมกับการส่งเสริมให้มีการออมเงินตั้งแต่วัยเด็ก โดยกระทรวงการคลังต้องทบทวนเรื่องของเงินออมแห่งชาติใหม่เพราะไม่สามารถรอช้าได้อีกต่อไป” รองเลขาธิการ สศช.

นางสุวรรณี กล่าวว่า ภาพรวมของสังคมไทยในไตรมาสที่ 3 ยังมีดัชนีความสุขลดลง โดยผลสำรวจของเอแบคโพลล์พบว่า ความสุขมวลรวมของคนไทยลดลงจาก 6.18 ในเดือนมีนาคมมาอยู่ที่ 5.79 ในเดือนกันยายน หลังจากพบว่ามีปัญหาเรื่องของเศรษฐกิจในครัวเรือนเนื่องจากมีค่าครองชีพสูงขึ้น ขณะที่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและภัยพิบัติทางธรรมชาติก็เป็นข้อกังวลของคนไทยอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ที่มา : www.naewna.com/business/31726
หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันอังคาร ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มีแม่เหล็กอยู่ในหัวใจคุณ ซึ่งจะดึงดูดมิตรแท้
คือความไม่เห็นแก่ตัวและคิดถึงคนอื่นก่อน
เมื่อคุณเรียนรู้เพื่อจะอยู่เพื่อคนอื่น พวกเขาก็จะอยู่เพื่อคุณ
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Mommyangel, Ploylyly, june, Lyncns31

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27234 โดย Nok2865
อ๊ะ ๆ ...

แต่ก่อนที่จะเลือกซื้อรถยนต์ เพื่อรับสิทธิ์คืนภาษีได้นั้น ผู้ซื้อต้องตรวจสอบคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ของนโยบายรถคันแรกให้แน่ชัดเสียก่อน เราจึงได้นำหลักเกณฑ์การคืนภาษีรถคันแรก มาย้ำเตือนกันอีกครั้ง ดังนี้...

1. ต้องเป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อ

2. ต้องทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2554-31 ธันวาคม พ.ศ.2555

3. เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน

4. เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab)

5.เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ)

6. คืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน

7. ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป

8. ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี หากผู้ซื้อรถไม่สามารถผ่อนต่อได้ หรือมีเหตุอย่างอื่น จะต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับให้กรมสรรพสามิต หากไม่ดำเนินการ ทางกรมสรรพสามิตจะใช้วิธีการทางศาล เพื่อให้สั่งให้คืนทะเบียนรถยนต์

9. การคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปีไปแล้ว โดยจะเริ่มจ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป ซึ่งกรมสรรพสามิตจะจ่ายผ่านทางเช็คเงินสดครั้งเดียวเต็มจำนวน

10. สามารถซื้อรถแบบเงินผ่อนผ่านไฟแนนซ์ หรือเงินสดก็ได้

11. รถมือสองไม่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ เนื่องจากรถมือสองไม่มีภาษีสรรพสามิตในการซื้อ-ขาย

ที่มา : men.kapook.com/view38977.html




คิดให้ดีก่อนถอยรถป้ายแดง หนี้ก้อนแรกนะคะ

.

มีแม่เหล็กอยู่ในหัวใจคุณ ซึ่งจะดึงดูดมิตรแท้
คือความไม่เห็นแก่ตัวและคิดถึงคนอื่นก่อน
เมื่อคุณเรียนรู้เพื่อจะอยู่เพื่อคนอื่น พวกเขาก็จะอยู่เพื่อคุณ
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Mommyangel, Ploylyly, june, Lyncns31

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27235 โดย Nok2865


สำหรับผู้ที่มีอยากจะซื้อบ้านหลังแรกเป็นของตนเอง แต่ยังกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย โครงการคืนภาษีบ้านหลังแรกของรัฐบาล น่าจะเป็นตัวช่วย ในการแบ่งเบาภาระเรื่องค่าใช้จ่ายได้บ้าง ซึ่งโครงการนี้จะเป็นการนำค่าใช้จ่ายในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ พร้อมที่ดิน หรืออาคารห้องชุดที่เป็นที่อยู่อาศัย มาหักลดหย่อนภาษีตามจำนวนที่จ่ายจริง ในอัตราไม่เกิน 10% ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยให้ทยอยหักภาษี ในจำนวนปีละเท่า ๆ กัน เป็นเวลา 5 ปี

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะเป็นประโยน์สำหรับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่มี 20,000 บาทขึ้นไป ส่วนผู้ที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี ก็สามารถขอใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้ในปีถัดไปได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายเพื่อคำนวณภาษีในปี 2555 และในการซื้อบ้าน ต้องเป็นบ้านใหม่ หรือคอนโดมิเนียมใหม่ ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ไม่นับรวมที่อยู่อาศัยสร้างเอง หรือบ้านมือสองซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุดที่มีมูลค่าไม่เกิน 5,000,000 บาท เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตน

นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังประกาศเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษี โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้

1. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้ยกเว้นเท่ากับภาษีเงินได้ที่คำนวณจากเงินได้สุทธิ หรือที่ต้องชำระก่อนการคำนวณเครดิตภาษี แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ฯ

2. การลดหย่อนภาษีนี้ สำหรับผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น

3. การลดหย่อนภาษีจะเกิดขึ้นเมื่อเป็นการจ่ายค่าซื้อบ้านหลังแรก และการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ระหว่างวันที่ 21 กันยายน 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555

4. การใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และวิธีคำนวณสิทธิยกเว้นภาษีฯ จะเป็นการยกเว้นภาษีครั้งแรก ภายใน 5 ปีภาษี นับแต่ปีภาษีที่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ฯ และต้องใช้สิทธิดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปีภาษี ต่อเนื่องกันโดยให้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเป็นจำนวนเท่าๆ กันในแต่ละปีภาษี

อ่านเพิ่มเติมต่อได้ในนี้
home.kapook.com/view43776.html

มีแม่เหล็กอยู่ในหัวใจคุณ ซึ่งจะดึงดูดมิตรแท้
คือความไม่เห็นแก่ตัวและคิดถึงคนอื่นก่อน
เมื่อคุณเรียนรู้เพื่อจะอยู่เพื่อคนอื่น พวกเขาก็จะอยู่เพื่อคุณ
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly, ntps, june

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27265 โดย ntps
:เฮ้อ:

คนจะซื้อ ทำยังไงก็หยุดไม่อยู่ ฉุดไม่ไหว ค่ะ แม้เขายังมีหนี้ค้าง

เขายังดิ้นรนหาหนี้ใหม่กันเลยค่ะ เพราะคำว่า ตัณหา ค่ะ

ถ้าเขารู้ว่า ทางข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบดั่งโฆษณา เขา

อาจชั่งใจคิดบ้างค่ะ ถ้าเป็นไปได้ เราควรนำเสนอตารางดอกเบี้ย

ของบ้านและรถให้เห็น ดีไหมค่ะ ว่าหลังแรก คันแรกนะ หนักแค่ไหน


:sweat:

ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly, june, Lyncns31

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27267 โดย ntps
... สรุปแนวคิดการออมเงินในหนังสือ “สุข สวย และรวยโครต” ของคุณกาละแมร์ ค่ะ


1. “ออมก่อนใช้” พอได้เงินมาแล้วก็หักไว้ออมเลย ไม่ใช่เอาเงินที่ได้มาไปใช้ก่อนเหลือเท่าไหร่ค่อยเก็บ มันก็จะไม่มีเหลือเก็บเอาน่ะสิ

2. “อย่าซื้อของเงินผ่อน” ไม่มีก็ไม่ซื้อ

3. “เก็บเงินที่ต้องเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน” เป็นก้อนที่เราจะไม่แตะมันเลย ถ้าไม่คอขาดบาดตายจริงๆ

4. “สร้างวินัยการออม” ด้วยวิธี การง่ายๆ เช่น หยอดเหรียญในกระปุกออมสิน หรือ เปิดบัญชีเงินฝากประจำแบบพิเศษ 24 เดือน ฝากเดือนละ 1,000 บาทเท่าๆ กัน ได้ดอกเบี้ยสูงกว่าปกติและไม่ต้องเสียภาษีด้วย

5. “สะกดคำว่า ‘พอ’ ให้เป็น” มีแค่ไหนก็ใช้แค่นั้น อย่าไปฟุ้งเฟ้อ เว่อร์ตามคนอื่นจนเกิดทุกข์ จนเดือดร้อนและลำบากตัวเอง



ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Mommyangel, Ploylyly, june, Lyncns31

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27292 โดย น้ำมนต์

kaewja เขียน: อีกประมาณ 1 อาทิตย์ จะเป็นวันสำคัญของประเทศไทย ทางสนง ก.พ ฝาก

ข่าวมาบอกค่ะ

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555 สำนักงาน ก.พ

ได้จัดพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ เพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน

ปลูกฝังอุดมการณ์เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อถวายเป็นราชสักการะแด่

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมเชิญชวนให้ร่วมลงชื่อถวายสัตย์

ปฏิญาณทางเว็บไซต์สำนักงาน ก.พ ที่ www.ocsc.go.th หัวข้อ

“ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ออนไลน์” ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2555

เพื่อสำนักงาน ก.พ จะได้รวบรวมนำขึ้นทูลเกล้า ต่อไป


เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๕ ไปร่วมงานบุญทอดกฐินที่วัดตาลเอน...มีเพื่อนธรรมบอกว่า

ในวันที่ ๑ ธันวาคม ก็จะมีการสวดมนต์เพื่อถวายในหลวงที่ วัดพระแก้ว ในตอนบ่าย

โดยให้ไปถึงวัด ในเวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น. ถ้าใครมีเวลา ก็เรียนเชิญ ค่ะ.... :pray:

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27326 โดย ntps
ขอบคุณข้อมูลจาก SSO ค่ะ

เก็บตกเรื่องที่คุยกันในงานสัมมนาของ บลจ. ไทยพาณิชย์ เมื่อวานนี้มาเล่าให้ฟัง
... บรรยากาศออกแนวเฮฮา แต่ก็ได้ความรู้เรื่องการออมของแต่ละท่าน ดังนี้ครับ

1. คุณตั๊ก มยุรา – คิดเรื่องจัดการเงินตั้งแต่ยังเด็ก อายุ 12 เริ่มด้วยการปล่อยเงินกู้ให้เพื่อน (^_^) พอเล่นหนังเรื่องแรกเมื่อ 30 ปีก่อน ได้ค่าตัว 25,000 บาท ก็เก็บ 80% ใช้ 20% และทำอย่างนั้นเรื่อยมา ... เวลาอยากได้กระเป๋าราคาแพง ก็ต้องมีเงินก่อน จะไม่ซื้อของที่มีราคาเกินกว่าเงินที่ตัวเองมี

2. คุณบ๊อบ ณัฐธีร์ – ตรงข้ามกับคุณตั๊ก คือเมื่อได้เงินมาจะเก็บ 30% ใช้ 70% ... เงินที่เก็บจะนำไปลงทุนใน LTF และ RMF เพื่อได้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยใช้วิธีรอซื้อเมื่อหุ้นตก ถ้าหุ้นตกลงไปต่ำกว่านั้นอีก ก็จะยิ่งซื้อเพิ่ม

3. คุณดวงมน (ผู้ช่วยเลขาธิการ กลต.) – ด้วยความที่ต้องหาเงินเรียนหนังสือ (วิธีหนึ่งคือ เล่นแชร์กับเพื่อนที่มหาวิทยาลัย ... 555) ทำให้เห็นค่าของเงินมาก หลังจากผ่อนบ้านหมดอย่างรวดเร็ว ก็ไม่ซื้อของเงินผ่อนอีกเลย .. ส่วนวิธีการจัดการเงินของครอบครัว คุณดวงมนบอกว่า “เงินของพี่ก็เป็นของพี่ เงินของสามีก็เป็นของพี่ (^_^)”

4. วิน (ผมเอง) – ยึดหลัก “ออมก่อนใช้” เมื่อเงินเดือนออกจะถูกหักไปออมหลายรายการ เช่น สมทบ กบข., ผ่อนบ้าน, สหกรณ์ออมทรัพย์, โอนให้คุณแม่, ซื้อ LTF/RMF แบบประจำ ฯลฯ... เหลือจากทั้งหมดนี้จึงค่อยเอาไปใช้ครับ

หลายท่านอาจจะมองว่า สูตรที่คุณตั๊กใช้ คือ ออม 80 ใช้ 20 น่าจะทำได้เฉพาะกับคนที่มีรายได้สูง .. ผมขออนุญาตแนะนำว่า สำหรับคนทำงานกินเงินเดือนอย่างพวกเรา ขอแค่ ออม 20 ใช้ 80 ได้ ก็สุดยอดแล้วครับ

ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Mommyangel, Ploylyly, june

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27348 โดย ntps
"ผู้ว่าการ ธปท." แจง หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น แถมเริ่มเห็นการผิดนัดชำระ เตรียมหารือนายแบงก์ เพื่อวางแนวทางป้องกัน ยันไม่ได้กีดกันรายย่อยเข้าถึงแหล่งเงิน ด้าน สศค.รื้อปัญหาหนี้ "ครัวเรือน-นอกระบบ" เป็นวาระเร่งด่วน เตรียมเสนอ รมว.คลัง 1-2 สัปดาหนี้

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือนว่า ธปท.ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเริ่มเห็นสัญญาณว่า ผู้มีรายได้น้อยมีระดับหนี้สูงและผิดชำระหนี้เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่จำเป็นต้องออกมาตรการใดๆ ออกมาดูแลเป็นพิเศษ แต่ถ้าจะออกมาตรการใดๆ ก็เป็นไปได้ที่จะใช้มาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (แมโคร พรูเด็นเชียล) เพื่อแก้ไขปัญหาตรงจุด ซึ่ง ธปท.ยังต้องการให้ผู้ประกอบการรายเล็กและประชาชนรายย่อยเข้าถึงบริการการเงินได้มากขึ้น พร้อมกับการได้รับความรู้ทางการเงินควบคู่กันไป โดยจะมีการนำเรื่องนี้ หารือกับผู้บริหารธนาคารพาณิชย์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ในวันที่ 3 ธันวาคมนี้



"สินเชื่อภาคธุรกิจโตประมาณ 12% จากการลงทุนต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ สินเชื่ออุปโภคบริโภค ด้านที่อยู่อาศัยก็สามารถอธิบายการขยายตัวได้ ด้านตลาดเครดิต บางส่วนไม่ได้มีปัญหา อยู่ในระดับที่ค่อนข้างพอดี แต่สินเชื่ออุปโภคบริโภคอื่น ธปท.ก็ตามดูอยู่ และขณะนี้ก็ยังไม่มีอะไรในใจที่จะมากำกับดูแล" นายประสารกล่าว



นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า สศค.จะใช้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นวาระเร่งด่วน เพื่อจัดทำแนวทางการกำกับดูแลอย่างเป็นระบบและจริงจัง รวมถึงหนี้นอกระบบที่จะส่งเสริมพัฒนาให้เข้ามาเป็นหนี้ในระบบ โดยจะเสนอนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณา 1-2 สัปดาห์นี้ หลังจากที่เคยช่วยเหลือด้วยการขึ้นทะเบียนมาแล้ว แต่ที่ผ่านมา อาจจะเบาไปบ้าง และต้องยอมรับว่า ไม่สามารถกำจัดออกไปจากสังคมไทยได้ จึงต้องหาแนวทางกำกับดูแลให้ดี โดยอาจจะมีการออกพระราชบัญญัติ เพื่อดูแลและอนุญาตเจ้าหนี้นอกระบบให้คิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์ได้ เพื่อจูงใจให้เข้ามาอยู่ในระบบ



นายสมชัยกล่าวต่อว่า ยอมรับว่านโยบายของรัฐบาลมีส่วนทำให้หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น จากนโยบายรถคันแรก หรือบ้านหลังแรก แต่หนี้ที่เพิ่มขึ้นก็เป็นสินทรัพย์ด้วย และไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องตื่นตระหนก เพราะภาพรวมของสถาบันการเงินแล้ว ขณะนี้มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพียง 2.4% และถ้าหักกันสำรองออกก็จะเหลือเพียง 1.2% โดยที่หนี้ครัวเรือนก็จะอยู่ในส่วนนี้ด้วย เทียบกับช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เอ็นพีแอลสูงถึง 50% ขณะที่กำไรของระบบสถาบันการเงินมีเป็นแสนล้านบาท และเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส) ของระบบก็อยู่ที่ 15.9 เท่า เทียบกับเกณฑ์ขั้นต่ำของ ธปท.ที่ 8.5 เท่า



"หากดูจากธนาคารรัฐที่มีการปล่อยกู้ให้กับผู้มีรายได้น้อย อย่างธนาคาร ออมสิน ระดับเอ็นพีแอลก็ 1% กว่าๆ ขณะที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เองก็ไม่ถึง 3% แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท ที่มีการก่อหนี้เกินตัว ส่วนหนึ่งเพราะขาดความรู้ ซึ่ง สศค.กำลังดูเรื่องนี้อย่างจริงจัง" นายสมชัยกล่าว



(ที่มา:มติชนรายวัน30พ.ย.2555)

ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly, june

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27396 โดย อยากหลุดพ้น
ใช่ค่ะ ขนาดยังใช้หนี้ไม่หมด มีเงินที่เบิกได้แล้วโทรเช้าโทรเย็น เีรียกได้ว่าจะต้องใช้ให้เต็มตลอดบวกดอกเบี้ยมหาโหด โทรมาจนรำคาญบางทีเราก็บอกว่าไม่เอาของเก่ายังใช้ไม่หมดเลย....

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา - 11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27476 โดย ntps
เป็นไปตามคาดค่ะ


ถอดรหัสหนี้ครัวเรือนพุ่ง เผยสินเชื่ออุปโภคบริโภคคงค้าง 2.7 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปี 15.73% จับตาแบงก์ถล่มแคมเปญชิงตลาดรายย่อยดัน "สินเชื่อบุคคล-เช่าซื้อรถยนต์" กระฉูด เผยผลพวง "รถคันแรก" ดันเช่าซื้อรถร้อนแรง "ธนชาต" ยักษ์ลีสซิ่งยอมรับ "ดีมานด์เทียม" เริ่มพ่นพิษลูกค้าหยุดผ่อน ธปท.ชี้มุ่งคุมเข้มการก่อหนี้ของผู้มีรายได้น้อย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาคครัวเรือน โดยเฉพาะกังวลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนรายได้ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท/เดือน จนเป็นที่มาของการจะขอหารือกับผู้บริหารธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินภายใต้การกำกับ (น็อนแบงก์) ในวันที่ 3 ธ.ค. 2555

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า การเติบโตของสินเชื่อที่สูง 12% นั้น ธปท.ไม่ได้กังวลกับการเติบโตของทุกกลุ่ม มีเพียงสินเชื่อเพื่อการบริโภคบางประเภท โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่เห็นการเติบโตของหนี้สูง ธปท.ต้องการหารือกับธนาคารพาณิชย์ว่าอย่าเร่งให้มีการก่อหนี้และต้องให้ความสำคัญกับการออม เพราะหากกระตุ้นให้ใช้สินเชื่อด้านเดียว ผลเสียไม่ได้เกิดเฉพาะกับผู้กู้ แต่เกิดปัญหาหนี้เสียก็กระทบสถาบันการเงินด้วย

"ธปท.คงไม่เข้าไปดูถึงเรื่องควบคุมการออกโปรดักต์ เพราะเป็นการเข้าไปยุ่งการทำธุรกิจของสถาบันการเงิน ที่ต้องการทำเป็นเรื่องนโยบายและแนวคิดการทำธุรกิจมากกว่า เน้นการให้ข้อมูลให้ลูกค้าเข้าใจในผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ออกมา มีความโปร่งใส อย่าเอาเรื่องชิงรางวัลเข้ามา หลักสำคัญคือลูกค้ามีสิทธิ์เลือกได้ข้อมูล หรือถ้าได้รับความไม่เป็นธรรมก็ร้องเรียนได้"

ทั้งนี้ จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีมูลค่า 2.7 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 21.4% และจากต้นปีจนถึงไตรมาส 3/55 ซึ่งการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอัตรา 15.73% โดยสินเชื่อเพื่อการบริโภคมีอัตราการเติบโตจากต้นปี 23.67% โดยมียอดสินเชื่อคงค้าง ณ ไตรมาส 3/55 จำนวน 643,889 ล้านบาท สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์/จักรยานยนต์คงค้าง 749,844 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปี 22.39% ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้าง 1.27 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปี 9.29%

TMB ชี้สินเชื่อแข่งดุ NPL พุ่ง

รายงานข่าวจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย เปิดเผยว่า การปล่อยสินเชื่ออุปโภคบริโภคของพอร์ตสินเชื่อธนาคารพาณิชย์มีการแข่งขันสูง โดยในระยะเวลา 5-6 ปี เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% ต่อปี มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 33% ของพอร์ตสินเชื่อรวม จากเดิมที่ 23% ในสัดส่วนนี้เป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเกือบ 50%, สินเชื่อเช่าซื้อ 25% สินเชื่อบริโภคส่วนบุคคลอื่น ๆ (บัตรเครดิต สินเชื่อเงินสด) อีก 25%

การแข่งขันดังกล่าวส่งผลให้ตัวเลขเอ็นพีแอลของ ธปท.ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1.0 และ 1.2 หมื่นล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตซับไพรมปี 2551 ขณะที่หนี้เสียที่ผ่านการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้น 3.0 และ 3.2 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 2.3 พันล้านบาท สะท้อนว่า หนี้เสียรายใหม่และรายเก่าปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

รายงานข่าวระบุว่า การเพิ่มขึ้นของหนี้เสียปีนี้ อยู่บนพื้นฐานเศรษฐกิจที่ขยายตัว 2.6% ของ 9 เดือนแรกปีཱི จึงต้องระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังพบสัญญาณการลดลงของคุณภาพสินเชื่อ โดยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์มีคุณภาพลดลงมากที่สุด ต่ำกว่าระดับ 2 เท่า จากเดิม 4 เท่า ขณะที่สินเชื่อบ้านลดลงเหลือ 1.5 เท่า และสินเชื่อส่วนบุคคลอื่น ๆ ลดลงอยู่ที่ 1 เท่า

ขณะที่ ธปท เผยถึงผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีกำไรสุทธิ 1.35 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากที่ธนาคารพาณิชย์เร่งระดมเงินฝาก โดยให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ส่งผลให้สภาพคล่องผ่อนคลายมากขึ้น ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล มียอดคงค้าง 2.65 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,800 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน

แบงก์แจงเรื่องอัดแคมเปญ

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจุบันยอดคงค้างของสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคของธนาคารมีการเติบโตในตัวเลขที่สูง แต่ขนาดพอร์ตไม่ใหญ่มาก เมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อรวม ปัจจุบันยอดคงค้างสินเชื่อส่วนบุคคลของธนาคารไม่เกิน 50,000 ล้านบาท

ขณะที่การทำโฆษณาผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลของกสิกรฯมีการระบุวัตถุประสงค์ชัดเจน คือ บัตรกดเงินสด มีไว้เพื่อกรณีฉุกเฉิน, จำเป็น หรือสำรองไว้ ไม่ใช่เพื่อจับจ่ายซื้อของ ดังนั้น ลูกค้าที่จะสมัครรับรู้อยู่แล้ว รวมทั้งโปรโมชั่นผ่อน 0% นาน 6 เดือน ก็ระบุชัดว่าต้องพาเพื่อนมาสมัคร 6 คนถึงจะได้สิทธิ์ดังกล่าว ไม่ได้กระตุ้นให้ลูกค้าเป็นหนี้โดยไม่จำเป็น รวมทั้งลูกค้าบัตรกดเงินสดส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่า ซึ่งเป็นลูกค้ามีรายได้ปานกลางมากกว่า 15,000 บาท

นางสาวณญาณี เผือกขำ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อผ่อนชำระ กรุงศรี เฟิร์สช้อยส์ กล่าวว่า พอร์ตสินเชื่อกรุงศรี เฟิร์สช้อยส์ที่มีทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10-11% โดยมีสินเชื่อคงค้างรวม 26,000 ล้านบาท ซึ่งยังสามารถสัดส่วนเอ็นพีแอลได้ 2-3% ประเด็นเรื่องการเติบโตของสินเชื่ออุปโภคและบริโภคจึงไม่น่ากังวล สำหรับการทำโฆษณาสินเชื่อบุคคลเป็นส่วนหนึ่งของการทำการตลาดเท่านั้น เพราะการเข้าสู่ระบบสินเชื่อก็ต้องขึ้นอยู่กับการอนุมัติของธนาคารหรือสถาบันการเงินเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันกรุงศรี เฟิร์สช้อยส์ยังรักษาเกณฑ์การอนุมัติไว้ที่ 40% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำมาก ซึ่งสถาบันการเงินต้องระวังอยู่แล้ว

นโยบายรถคันแรกพ่นพิษ

ขณะที่นายอนุชาติ ดีประเสริฐ ผู้อำนวยการอาวุโสธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ธนาคารธนชาต เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณในตลาดแล้วว่ามีผู้บริโภคจำนวนหนึ่งที่ขอสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เพื่อใช้สิทธิ์คืนภาษีรถคันแรกประสบปัญหา โดยบางรายที่เริ่มเห็นว่าตนเองไม่สามารถชำระหนี้ได้ก็จะขอนำรถมาคืน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้เป็นจำนวนที่มากจนน่าวิตกกังวล แต่ก็ต้องจับตาดูสถานการณ์ใกล้ชิด

สำหรับลูกค้าที่เริ่มมีปัญหาและนำรถมาคืนนั้น นายอนุชาติวิเคราะห์ว่าส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการใช้จริง แต่ยังไม่มีความสามารถซื้อในขณะนี้ แต่ต้องรีบตัดสินใจเพราะได้สิทธิ์คืนภาษีถึง 1 แสนบาท ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับคนซื้อรถตอนนี้ อีกกลุ่มหนึ่งคือ การยืมสิทธิ์

ผู้อื่นมาใช้ ความระมัดระวังด้านวินัยทางการเงินก็จะไม่ได้ตระหนักมากนัก นอกจากนี้นโยบายรถคันแรกยังเป็นการดึงความต้องการของลูกค้าบางรายที่อาจจะมีความสามารถเพียงซื้อรถจักรยานยนต์ให้ขยับขึ้นมาซื้อรถยนต์แทน เช่น อีโคคาร์ ซึ่งราคารถและค่างวดจะไม่สูงมาก

"ปกติการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินก็จะคัดกรองความเสี่ยงลูกค้าได้ระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะลูกค้าบางรายมีรายได้สูง แต่ภาระสินเชื่อก็สูงเช่นกัน อาจจะไม่สามารถผ่อนได้ ตอนนี้ก็ต้องติดตามดูลูกค้าอย่างใกล้ชิด ซึ่งที่ผ่านมาทางธนาคารก็มิได้หย่อนเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อลงแต่อย่างใด นอกจากนี้ ปัจจัยเศรษฐกิจไทยก็ไม่ได้เลวร้าย จึงไม่น่ามีผลกระทบรุนแรง ขณะที่ผู้บริโภคเองก็ต้องประเมินความสามารถตนเองด้วย อย่ามองแค่สิทธิประโยชน์จนใช้จ่ายและสร้างหนี้เกินตัว" นายอนุชาติกล่าว

ด้านนายชลิต ศิลป์ศรีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า ยอมรับว่าอานิสงส์รถคันแรก ทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศปีนี้เพิ่มขึ้นสูงถึง 75% หรือประมาณ 1.4 ล้านคัน ดังนั้นตัวเลขสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในระบบจึงคาดว่าจะโตไม่ต่ำกว่า 20% ประกอบกับการทำโปรโมชั่น เช่น ดาวน์ 0% ผ่อน 0% นาน 3 เดือน เพื่อรองรับการแข่งขันในตลาด ซึ่งในส่วนของธนาคารทิสโก้ก็ขยายตัวอยู่ที่ระดับ 30% อย่างไรก็ตาม แม้สินเชื่อจะโตสูงมาก แต่กำไรดอกเบี้ยก็น้อยลง ดังนั้นสินเชื่อโต เพราะตลาดโต ซึ่งอาจมีผลจากดีมานด์แฝงจากนโยบายรถคันแรก แต่ธนาคารยังดูแลความเสี่ยงได้ โดยเอ็นพีแอลของธนาคารอยู่ที่ 1.3% โดยเป็นในส่วนของรถใหม่ไม่ถึง 1% ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

แหล่งข่าวจากธุรกิจผู้ให้บริการเช่าซื้อรถยนต์รายหนึ่งให้ความเห็นว่า หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดปัญหาคืนรถในตอนนี้ก็คือ ธุรกิจเช่าซื้อแข่งปล่อยสินเชื่อที่อนุญาตให้ดาวน์ต่ำตั้งแต่ 20% ลงมา เป็นการกวาดกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงเข้ามาในพอร์ต ยิ่งดาวน์ต่ำ ภาระสินเชื่อที่ต้องจ่ายคืนก็จะสูง ดอกเบี้ยจะแพงกว่า ก็จะทำให้เกิดปัญหาว่าไม่สามารถผ่อนชำระได้ไหว โดยเชื่อว่ากลุ่มนี้น่าจะอยู่ในตลาดอีโคคาร์ค่อนข้างมาก เพราะรถราคาไม่สูงมากมีโอกาสที่ลูกค้ากลุ่มที่ความสามารถทางการเงินยังไม่พร้อมจะเข้ามาได้ง่ายกว่า โดยในกลุ่มผู้ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรายใหญ่ขณะนี้ ต่างเริ่มเห็นสัญญาณปัญหาที่ลูกค้าหยุดผ่อนชำระบ้างแล้ว

ทั้งนี้ข้อมูลผู้ใช้สิทธิ์คืนภาษีรถคันแรกณ 30 พ.ย. 2555 จำนวน 632,153 คัน คิดเป็นมูลค่า 46,700 ล้านบาท

ยอมรับอสังหาฯเก็งกำไรเยอะ

ด้านการขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น นายวิชิต พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า มีแนวโน้มที่จะมีการเข้ามาเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่มีการขยายตัวตามแนวรถไฟฟ้า แต่เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่ซื้อลงทุนกับคนที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัย ยังถือว่ามีจำนวนน้อยมาก เพราะจำนวนคนที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยมีจำนวนเพิ่มขึ้นในแต่ละปี จากจำนวนคนที่จบใหม่และเข้าสู่ระบบแรงงานแต่ละปี

ขณะที่แต่ละธนาคารจะมีมาตรการตรวจสอบข้อมูลทางการเงินของผู้ขอกู้สินเชื่อ ซึ่งจะสามารถตรวจสอบภาระหนี้สินเดิมได้ จึงไม่มีความน่ากังวลถึงประเด็นภาวะฟองสบู่

"คอนโดฯขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งตลาดชี้เป็นทิศทางนั้น ในแง่การลงทุนหรือเก็งกำไรก็ต้องมีเหมือนกัน แต่เทียบเปอร์เซ็นต์กับคนที่ต้องการซื้อจริง ๆ หรือคนจบใหม่ ๆ มีรายได้ 15,000 บาทขึ้นไป ถือว่ายังน้อยมาก เหมือนคนมีรายได้ 200,000 บาทต่อเดือนที่จะซื้อคอนโดฯเพื่อลงทุน มีน้อยจริง ๆ"

ด้านนายสมชัยกล่าวด้วยว่า ขณะนี้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนในภาพใหญ่ ไม่ได้รุนแรงถึงกับเป็นปัญหาต่อเสถียรภาพด้านการเงินของประเทศ จึงไม่ต้องการให้ตื่นตระหนก เนื่องจากเมื่อดูจากตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่เป็น gross ยังอยู่แค่ 2.4% และถ้าหักกันสำรองออกจะเหลือสุทธิแค่ 1.2% เท่านั้น เทียบกับตอนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งที่สูงถึงกว่า 50% ซึ่งยืนยันได้ว่าไม่มีทางกระทบเสถียรภาพในภาพรวมแน่นอน ตราบใดที่เอ็นพีแอลของประเทศไม่ใช่ 15%

อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นตามตัวเลขที่ ธปท.รายงาน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายรถยนต์คันแรก และบ้านหลังแรกของรัฐบาล คือเพิ่มในส่วนสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อบ้าน แต่เป็นการเพิ่มในสินทรัพย์ที่ประชาชนมี ไม่ใช่เป็นการนำเงินไปใช้ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือเล่นหวย

ความสุข ไม่ใช่การ... "เพิ่ม"...สิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาในชีวิต
แต่มัน คือ การ "ลด"....สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly, Champcyber99, june

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา - 11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27510 โดย Champcyber99
รถคันแรกทำพิษ! พบคนผ่อนไม่ไหว เริ่มขอคืนรถบ้างแล้ว


ธนาคาร-คนปล่อยสินเชื่อ เผย เริ่มเห็นสัญญาณคนทิ้งรถคันแรกบ้างแล้ว หลังไม่สามารถชำระหนี้ได้ ระบุสถานการณ์ยังไม่น่าห่วง แต่ต้องติดตามใกล้ชิด

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม นายอนุชาติ ดีประเสริฐ ผู้อำนวยการอาวุโสธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ธนาคารธนชาต กล่าวถึงการขอสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่มีผลพวงมาจากนโยบายคืนภาษีรถคันแรกของรัฐบาล ว่า เริ่มเห็นสัญญาณลูกค้าที่มีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้รถยนต์บ้างแล้ว โดยขณะนี้มีลูกค้าจำนวนหนึ่งที่ขอสินเชื่อไป และขอนำรถมาคืน ซึ่งต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป แต่ขณะนี้ยังไม่น่าเป็นห่วง

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงสาเหตุของการคืนรถ นายอนุชาติ วิเคราะห์ว่า อาจเป็นเพราะคนที่อยากใช้รถยังไม่มีความสามารถที่จะซื้อได้ แต่ก็ต้องรีบซื้อภายในปีนี้ เพื่อรับสิทธิคืนภาษี 1 แสนบาท ขณะที่บางคนก็ต้องยืมสิทธิ์คนอื่นมาใช้ ทำให้ขาดความระมัดระวังในเรื่องวินัยทางการเงิน นอกจากนี้ นโยบายดังกล่าวยังดึงดูดให้คนที่มีความต้องการจะซื้อรถจักรยานยนต์หันมาซื้อรถยนต์ขนาดเล็ก เช่น อีโคคาร์ แทนด้วย


ด้านแหล่งข่าวในแวดวงผู้ให้บริการเช่าซื้อรถยนต์รายหนึ่ง เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มผู้ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรายใหญ่เริ่มเห็นสัญญาณลูกค้าหยุดผ่อนชำระบ้างแล้ว ซึ่งการที่มีลูกค้าบางส่วนเริ่มขอคืนรถในตอนนี้ สาเหตุมาจากการปล่อยสินเชื่อที่อนุญาตให้ดาวน์ต่ำตั้งแต่ 20% ลงมา จึงกวาดเอาลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงเข้ามาในพอร์ตด้วย เพราะยิ่งดาวน์ต่ำ เงินที่จ่ายคืนและดอกเบี้ยจะแพงกว่า ทำให้ลูกค้าผ่อนชำระไม่ไหว คาดว่าลูกค้ากลุ่มนี้อยู่ในส่วนของรถอีโคคาร์เป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นรถที่ราคาไม่สูงมาก ทำให้คนที่ไม่พร้อมทางการเงินเข้ามาได้ง่ายกว่า
อันนี้ผมว่า ต้องโทษตัวเองมากกว่ามั้ง ไม่มีใครเขาบังคับให้ไปถอยมา

อยากโก้จนลืมเงินในกระเป๋า สำหรับคนที่เขาถอยรถออกมาใช้ทำมาหากิน

มันก็ดีไป แต่คนถอยมาโก้ นี่ก็คิดให้หนัก รถราคาเท่านี้ มันก็ไม่ได้ผ่อนหนักอะไรมากมาย

แต่สำหรับบางคนมันก็เป็นเรื่องใหญ่ ก็ต้องคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อ

ถึงแม้มันจะลดราคา แต่ก็ใช่ว่าถูกเหมือนซื้อจักรยาน
พวกอยากโก้หรูเหมื่นผมและแม่นางปูเป้เป็นต้น แม่นางป้ายแดง
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly, ntps, june

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #27536 โดย Mommyangel

ขอเป็นเก้าอี้พักใจ....
ให้เธอได้พักพิง...
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: ntps

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 4 เดือน ที่ผ่านมา #27858 โดย Champcyber99
เรื่องเก่าเล่าใหม่


งง!แบงก์หักเงินฝากทวงหนี้รูดปื๊ด



ลูกหนี้แฉเล่ห์แบงก์ โวยลั่น!จงใจไล่หักเงินในบัญชีเงินฝากจนเกลี้ยง อ้างค้างชำระบัตรเครดิต แม้หมดอายุความแล้วยังตามเช็กบิลไม่เลิก ทนายเผยบางรายค้างจ่ายหลักร้อยบาท แต่ถูกตั้งเรื่องตามยึดที่ดินมูลค่าเหยียบล้าน ขณะที่แบงก์-บ.ติดตามหนี้เตือนตั้งใจหนีหนี้เจอดีแน่ แต่หากเจรจาประนอมหนี้อาจได้ส่วนลด ขณะที่ประธานชมรมผู้ติดตามเร่งรัดหนี้สินติงแบงก์ควรแจ้งให้ลูกค้าทราบก่อนหักบัญชี


นายประเวศ ประภานุกูล นักกฎหมายจากสำนักงานงานกฎหมายประเวศ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้เริ่มเห็นปรากฎการณ์ที่ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งพยายามหักเงินจากบัญชีเงินฝากส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นในหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยหรือธนาคารต่างประเทศ ซึ่งในบางกรณีลูกหนี้เป็นหนี้ที่ขาดอายุความแล้ว 5-8 ปี แต่ทางธนาคารพาณิชย์ยังตามหักเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกหนี้เหล่านั้นอยู่ โดยเฉพาะการหักกลบลบหนี้บัตรเครดิตที่ยังเป็นปัญหาในทางปฏิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ลูกค้าจะต้องรับทราบว่ามีกรณีนี้เกิดขึ้น


++งง!ค้างบัตรเครดิตแต่ถูกไล่หักบัญชีเงินฝาก


ยกตัวอย่างในช่วงเดือนสิงหาคม2550 ที่ผ่านมา ทางสำนักงานงานกฎหมายประเวศได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องเรียกเงินคืนและเรียกค่าเสียหายจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในคดีดำ 8388/2550เนื่องจากผู้มอบอำนาจ (เป็นลูกหนี้ของธนาคารกรุงเทพ) ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีที่ธนาคารกรุงเทพได้หักเงินจากบัญชีเงินฝากไปจำนวน 53,000 บาท (เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2549) ซึ่งผู้มอบอำนาจได้สอบถามไปยังสาขาของธนาคารดังกล่าวแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ระบุว่าเป็นการหักเงินเพื่อชำระหนี้บัตรเครดิต ที่ผู้มอบอำนาจค้างชำระมาตั้งแต่ปี 2542 และลูกหนี้ได้ยกเลิกบัตรเครดิตไปเมื่อปี2542 แต่ในเวลาต่อมาได้กลับมาเปิดบัญชีเงินฝากใหม่กับธนาคารกรุงเทพ ในเดือนกันยายน 2549 จนกระทั่งมีเงินที่โอนเข้ามาในบัญชี และถูกธนาคารหักเงินจากบัญชีออกไปจนไม่มีวงเงินเหลือในบัญชีดังกล่าว


นักกฎหมายคนดังกล่าว ระบุอีกว่า นอกจากรายดังกล่าวแล้ว ยังมีลูกหนี้บัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพอีกรายหนึ่ง ที่ถูกหักเงินในบัญชีในกรณีคล้ายๆกัน คือ ลูกหนี้ยกเลิกการใช้บัตรเครดิตในปี 2542 โดยยอมรับว่ายังมีหนี้ค้างชำระกับธนาคารอยู่ หลังจากนั้นลูกหนี้ได้เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารกรุงเทพ แต่เมื่อมีเงินที่โอนเข้ามาในบัญชีธนาคาร ธนาคารก็ได้หักเงินจากบัญชีดังกล่าวกว่า 30,000 บาท ในช่วงเดือนมิถุนายน 2550


++ลูกหนี้โวยถูกหักเงินเกลี้ยงบัญชี


นายประเวศ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากตัวอย่างดังกล่าวแล้ว ยังมีคดียักยอกทรัพย์ที่ดำเนินการฟ้องทางอาญากับธนาคารยูโอบี จำกัด หมายเลขคดีดำ 3785/2550 จากกรณีที่ธนาคาร


ไม่ได้ดำเนินการฟ้องคดีลูกหนี้ที่ค้างชำระ แต่ใช้วิธีหักเงินจากบัญชีเงินเดือนของลูกหนี้รายหนึ่งไปทั้งจำนวนวงเงิน 37,000 บาท ซึ่งเป็นเงินเดือนที่ทางบริษัทจ่ายผ่านบัญชีของธนาคารยูโอบีเมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม 2550 จนบัญชีเงินฝากดังกล่าวมียอดเงินคงเหลือ 0 บาท


ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ในทางกฎหมายหากเป็นกรณีของคดีที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว เจ้าหนี้จะมีสิทธิหักเงินเดือนลูกหนี้ได้เพียง 30% ของรายได้ต่อเดือนเท่านั้น ขณะที่กรณีปัญหาที่เกิดขึ้นทางธนาคารไม่ได้ดำเนินการฟ้องคดีหรือบอกกล่าวลูกหนี้ก่อนที่จะมีการหักเงินจากบัญชีเงินเดือนออกไปทั้งหมด


หรืออีกหนึ่งตัวอย่างที่เกิดขึ้น คือ ทางสำนักงานกฎหมายฯ ได้ดำเนินคดีกับธนาคารซิตี้แบงก์ในข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน โดยให้ผู้รับมอบอำนาจยึดที่ดินของลูกหนี้รายหนึ่งซึ่งมีมูลค่าตามราคาประเมิน 1,070,400 บาท เพราะเหตุที่ลูกหนี้รายดังกล่าวมียอดหนี้คงค้างบัตรเครดิตกับธนาคารซิตี้แบงก์ค้างอยู่จำนวน 794.50 บาท เนื่องจากเมื่อ 14 พฤษภาคม 2546 ศาลแขวงพระนครใต้ได้พิพากษาให้ลูกหนี้รายหนึ่งชำระหนี้ให้ซิตี้แบงก์จำนวน 37,594.90 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15% ต่อปีของเงินต้น 28,701.68บาท แต่ต้องนำเงินที่ลูกหนี้ชำระก่อนฟ้องมาหักออก ซึ่งจะเหลือยอดหนี้ ณ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2544 (วันที่จ่ายหนี้ครั้งสุดท้าย) โดยกรมบังคับคดีคำนวณคิดเป็นมูลหนี้ 7,720.67 บาท (ขณะที่ทางสำนักงานกฎหมายประเวศคำนวณมูลหนี้ไว้ที่ 7,691.05บาท)


และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมศาลและค่าทนายความอีก 300 บาท หลังจากนั้นลูกหนี้ได้วางเงินตามศาลกำหนดรวมเป็น 970 บาท และเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2546 ได้วางเงินชำระหนี้ที่ศาลอีกจำนวน 10,000 บาท จนทำให้ยอดหนี้คงเหลืออยู่ที่ 794.50 บาท


หลังจากนั้น เมื่อ12 มีนาคม 2547 ทนายความของซิตี้แบงก์ยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยแถลงต่อศาลว่าลูกหนี้ไม่ได้มีการชำระหนี้ จากนั้นศาลได้ออกหมายบังคับคดีตามคำพิพากษา โดย ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2547 ผู้รับมอบอำนาจช่วงจากซิตี้แบงก์ได้เงินที่วางชำระหนี้ไว้ที่ศาล 10,000 บาทไปแล้ว แต่เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 ผู้รับมอบอำนาจช่วงของธนาคารซิตี้แบงก์ ซึ่งเป็นคนละคนกับที่ฟ้องคดีและรับเงินไปจากศาล ได้ดำเนินการตั้งเรื่องขอยึดที่ดินของลูกหนี้โดยมีเจ้าของร่วมกับคนอื่น


ขณะที่กรมบังคับคดีได้ออกหนังสือบังคับคดีแทนให้สำนักงานบังคับคดี จังหวัดนนทบุรีทำการยึดที่ดินตามโฉนดมูลค่าที่ดินที่ขอยึด 1,070,400 บาท โดยที่ผู้รับมอบอำนาจช่วงของซิตี้แบงก์แถลงยืนยันว่า ลูกหนี้ไม่เคยชำระหนี้ และได้สืบหาทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้แล้วแต่ไม่ปรากฏทรัพย์สินอื่นที่มีมูลค่าสูงกว่าหมายบังคับคดี ทั้งยังยืนยันต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี จังหวัดนนทบุรีอีกว่าหากเกิดข้อผิดพลาดประการใด ทางธนาคารซิตี้แบงก์จะรับผิดชอบ


ต่อกรณีดังกล่าว "ฐานเศรษฐกิจ" ได้สอบถามไปยังซิตี้แบงก์ และได้รับการชี้แจงจากพนักงานซิตี้แบงก์ว่ามีการดำเนินคดีเกิดขึ้นจริง แต่กรณีของลูกหนี้รายดังกล่าวนั้น อาจเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของลูกหนี้ เพราะที่ผ่านมาธนาคารได้รับชำระหนี้เพียง 10,000 บาทเท่านั้น


++หนี้หมดอายุความก็ยังตามยึดทรัพย์ได้


นายประเวศยังได้กล่าวให้ความเห็นว่า ในหลักการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น เงื่อนไขการหักกลบลบหนี้นั้น หากหนี้ที่ขอหักกลบยังไม่ขาดอายุความ จะมีผลย้อนหลังไปถึงเวลาแรกที่จะหักกลบลบหนี้กันได้ แม้แต่หนี้ที่ขาดอายุความแล้วก็ขอหักกลบลบหนี้กับอีกฝ่ายหนึ่งได้ ถ้ายังอยู่ในเวลาแรกที่หักกลบลบหนี้ยังไม่ขาดอายุความ เช่น บัตรเครดิตที่ยกเลิกเดือนมกราคม 2548 จะขาดอายุความประมาณเดือนมกราคม 2550 แต่หากลูกหนี้มีการเปิดบัญชีเงินฝากใหม่ในเดือนธันวาคม 2549 โดยมีเงินค้างในบัญชี ธนาคารจะขอหักเงินในบัญชีเงินฝาก ณ เดือนมีนาคม 2550 ซึ่งหนี้บัตรเครดิตขาดอายุความแล้ว แต่เวลาแรกที่ขอหักนั้นยังไม่ขาดอายุความ ซึ่งกรณีที่มีเงินโอนเข้าบัญชีภายหลังนั้น ยังเป็นปัญหาข้อกฎหมาย เนื่องจากบัญชีเงินฝากมีการเปิดไว้ก่อนแล้ว แต่เพิ่งจะมีเงินโอนเข้ามาในบัญชีหลังจากหนี้ขาดอายุความแล้ว จึงควรจะขาดเงื่อนไขเช่นกัน


นอกจากนี้ เงื่อนไขการหักกลบลบหนี้โดยหลักของกฎหมายยังระบุชัดเจนให้ต้องไม่มีข้อโต้แย้งและมีจำนวนหนี้ที่แน่นอน แต่กรณีหนี้บัตรเครดิตนั้นจะมีข้อโต้แย้งเรื่องอัตราดอกเบี้ยซึ่งมีผลให้จำนวนยอดหนี้ไม่แน่นอน


++ให้อำนาจแบงก์หักเงินในบัญชีลูกหนี้


นายสงคราม สกุลพราหมณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โดยหลักการของกฎหมายได้ให้อำนาจเจ้าหนี้และลูกหนี้ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้กันสามารถหักเงินจากบัญชีเพื่อหักกลบลบหนี้ได้ ไม่ยกเว้นแม้หนี้ที่ขาดอายุความ ส่วนจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นในกรณีลูกหนี้ของธนาคารกรุงเทพ ลูกหนี้ยอมรับว่าเป็นหนี้บัตรเครดิต และธนาคารกรุงเทพเป็นเจ้าหนี้ ส่วนบัญชีเงินฝากนั้นทางลูกค้าเป็นเจ้าหนี้เงินฝากธนาคารดังกล่าวจึงสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ ดังนั้นลูกหนี้ต้องทำความเข้าใจเรื่องวินัยการเงิน เพราะไม่เช่นนั้นธนาคารก็จะมีแต่หนี้เอ็นพีแอลที่เกิดขึ้น เพราะลูกหนี้ไม่คิดที่จะชำระหนี้


++บ.ติดตามหนี้แนะลูกหนี้เจรจาแบงก์


ขณะที่นายประชา ชัยสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชษฐ์ คอลเล็คชั่น แมเนจเมนท์ จำกัด (บริษัทรับติดตามทวงหนี้) ในฐานะประธานชมรมผู้ติดตามเร่งรัดหนี้สินโดยวิธีที่เป็นธรรม กล่าวให้ความเห็นถึง กรณีการหักบัญชีเงินฝากหรือการตามยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ค้างชำระหนี้ว่า มีความเป็นไปได้ใน 2 กรณีคือ หากเป็นลูกหนี้ที่ผ่านกระบวนการฟ้องคดีไปแล้ว ธนาคารเจ้าหนี้สามารถติดตามยึดสินทรัพย์ได้จนกว่าจะหมดอายุความ 10 ปี นับตั้งแต่มีการตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่หากเป็นกรณีที่ไม่ได้มีการฟ้องร้อง และหนี้ยังคงอยู่ สถาบันการเงินเจ้าหนี้ก็มีสิทธิที่จะทวงถามหรือหักบัญชีจากบัญชีเงินฝากได้


กรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ต้องพิจารณาว่าการที่สถาบันการเงินหักเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกหนี้ไปนั้นหักด้วยอำนาจอะไร เช่น ในสัญญาบัตรเครดิตอาจเปิดช่องให้ธนาคารเจ้าหนี้หักจากบัญชีเงินฝากลูกหนี้ได้ หรือในกรณีที่มีการเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ มีการเปิดทางให้ธนาคารมีอำนาจหักเงินจากบัญชีเงินฝากได้หากลูกหนี้มีหนี้อื่นใดที่เป็นหนี้อยู่กับธนาคาร และยินยอมให้กับธนาคารหักบัญชีได้


ทางด้านนายณรงค์เดช วรสารนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสำนักงานกฎหมายเอ็นแอนด์เอฟ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการติดตามหนี้ด้วยวิธีการหักเงินในบัญชีเงินฝากของลูกค้า มีโอกาสที่จะเพิ่มบ่อยขึ้นตามแนวโน้มของลูกหนี้ที่ค้างชำระหนี้มากขึ้น โดยที่ผ่านมายอมรับว่ากรณีของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่บางแห่งที่มักจะติดตามหักเงินในบัญชีเงินฝากของลูกค้าที่ค้างชำระหนี้บัตรเครดิต เนื่องจากในสัญญาที่ลูกค้าสมัครใช้บริการบัตรเครดิตนั้น ได้ระบุให้ธนาคารสามารถหักเงินในบัญชีอื่นๆของลูกค้าที่มีอยู่ในธนาคารเดียวกันได้ ดังนั้นหากมีเงินเข้ามาในบัญชีและธนาคารตรวจสอบพบก็จะหักเงินดังกล่าวทันที


นอกจากนี้ กรณีที่เกิดขึ้นยังมีความเป็นไปได้ว่า ธนาคารเจ้าหนี้ได้ฟ้องร้องลูกหนี้ที่ค้างชำระหนี้ โดยที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ชำระหนี้คืน ซึ่งหากเป็นลูกหนี้ที่มีเงินเดือนผ่านธนาคารทุกเดือน ธนาคารก็จะหักเดือนละไม่เกิน 30% ของรายได้ หรือกรณีที่มีโบนัสเข้ามาก็จะหักไม่เกิน 30% แต่ในบางกรณีที่ลูกหนี้ไม่ติดต่อเข้ามาเลย แต่บังเอิญธนาคารตรวจพบว่ามีเงินที่โอนเข้ามาในบัญชีเงินฝากก็สามารถหักเงินดังกล่าวไว้ทั้งก้อนได้
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Mommyangel, Ploylyly, june

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 4 เดือน ที่ผ่านมา #27864 โดย Mommyangel
ได้ฤกษ์..ค่าลดหย่อนข้อที่ 10. ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว LTF

ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 169)
เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้
สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว



อาศัยอำนาจตามความในข้อ 2(66) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 266 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวและการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 133) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ลงวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2547

ข้อ 2 เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามกฎหมาย ว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังนี้
(1) ผู้มีเงินได้ต้องซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวมีจำนวนรวมกันไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษีนั้น ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 500,000 บาท
“ในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้มีการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หรือได้ซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 และได้มีการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้เงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามวรรคหนึ่งเท่ากับส่วนที่ไม่เกิน 700,000 บาทแต่ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินสำหรับปีภาษี 2551 ”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 175) ใช้บังคับ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป)
(2) ผู้มีเงินได้จะต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทิน แต่ไม่รวมถึงกรณีผู้มีเงินได้ไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว เพราะทุพพลภาพหรือตาย [/color]
กรณีทุพพลภาพ ต้องเป็นกรณีที่แพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจและแสดงความเห็นว่า ผู้ถือหน่วยลงทุนทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพซึ่งก่อให้เกิดเงินได้ที่จะนำมาซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวได้อีกต่อไป
ข้อ 3 กรณีผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวเกินกว่าหนึ่งกองทุนเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวในแต่ละกองทุนที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามข้อ 2
การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามวรรคหนึ่ง ต้องมีจำนวนรวมกันไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษีนั้น ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 500,000 บาท
“ในปีภาษี 2551 การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามวรรคหนึ่งระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หรือได้ซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 และได้มีการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ต้องมีจำนวนรวมกันไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษี 2551 ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 700,000 บาท”

(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 175) ใช้บังคับ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป)


ข้อ 4 กรณีผู้มีเงินได้ได้โอนการลงทุนในหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวทั้งหมดหรือบางส่วนไปยังกองทุนรวมหุ้นระยะยาวอีกกองทุนหนึ่ง ไม่ว่าจะโอนไปยังกองทุนรวมหุ้นระยะยาวกองทุนเดียวหรือหลายกองทุน ผู้มีเงินได้จะต้องโอนการลงทุนไปยังกองทุนรวมหุ้นระยะยาวนั้นภายใน5 วันทำการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่กองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่โอนได้รับคำสั่งโอนจากผู้มีเงินได้ จึงจะถือว่าระยะเวลาในการถือหน่วยลงทุนในกรณีดังกล่าวมีระยะเวลาต่อเนื่องกัน
การโอนการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามวรรคหนึ่ง กองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่ได้รับคำสั่งโอนจากผู้มีเงินได้ จะต้องจัดทำเอกสารหลักฐานการโอนส่งมอบให้แก่กองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่รับโอนเก็บไว้เป็นหลักฐานพร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้

ข้อ 5 การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนตามข้อ 2 และข้อ 3 ให้ยกเว้นเท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน ทั้งนี้ จะต้องมีจำนวนไม่เกิน 500,000 บาท สำหรับปีภาษีนั้น และผู้มีเงินได้ดังกล่าวต้องเป็นบุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล และกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
“ในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้มีการซื้อหน่วยลงทุนตามวรรคหนึ่งระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หรือได้ซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 และได้มีการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้ยกเว้นเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน ทั้งนี้ จะต้องมีจำนวนไม่เกิน 700,000 บาท สำหรับปีภาษี 2551”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 175) ใช้บังคับ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป)


ข้อ 6 การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหนังสือรับรองการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมที่แสดงได้ว่ามีการจ่ายเงินเข้ากองทุนรวมหุ้นระยะยาวดังกล่าว

ข้อ 7 กรณีผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว และได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 5 แล้ว และต่อมาได้ปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของข้อ 2 หรือข้อ 3 ผู้มีเงินได้หมดสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 5 แต่ไม่รวมถึงกรณีที่ผู้มีเงินได้ไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวเพราะทุพพลภาพหรือตาย ผู้มีเงินได้ต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับปีภาษีที่ได้นำเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนไปหักออกจากเงินได้เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้มาแล้วที่อยู่ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของปีภาษีนั้น ๆ จนถึงวันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมเพื่อเสียภาษีเงินได้เพิ่มเติมของปีภาษีดังกล่าว พร้อมเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร

ในกรณีที่มีการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมหุ้นระยะยาวซึ่งไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 2 หรือข้อ 3 การคำนวณต้นทุนผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหน่วยลงทุน (capital gain) เพื่อเสียภาษีในกรณีดังกล่าวให้คำนวณโดยวิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO)

ข้อ 8 การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นำเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคำนวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้

ข้อ 9 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2551 เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร

ขอเป็นเก้าอี้พักใจ....
ให้เธอได้พักพิง...
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly, june

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 4 เดือน ที่ผ่านมา #27865 โดย Mommyangel
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 175 )
เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับ
เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว


อาศัยอำนาจตามความในข้อ 2(66) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 267 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว และการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของ (1) ของข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 169) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551
“ในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้มีการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หรือได้ซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 และได้มีการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้เงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามวรรคหนึ่งเท่ากับส่วนที่ไม่เกิน 700,000 บาทแต่ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินสำหรับปีภาษี 2551 ”

ข้อ 2 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 169) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551
“ในปีภาษี 2551 การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามวรรคหนึ่งระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หรือได้ซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 และได้มีการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ต้องมีจำนวนรวมกันไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษี 2551 ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 700,000 บาท”

ข้อ 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของข้อ 5 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 169) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551
“ในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้มีการซื้อหน่วยลงทุนตามวรรคหนึ่งระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หรือได้ซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 และได้มีการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้ยกเว้นเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน ทั้งนี้ จะต้องมีจำนวนไม่เกิน 700,000 บาท สำหรับปีภาษี 2551”

ข้อ 4 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร

ขอเป็นเก้าอี้พักใจ....
ให้เธอได้พักพิง...
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ploylyly, june

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 4 เดือน ที่ผ่านมา #27867 โดย Mommyangel
ใกล้จะสิ้นปี....ก็คงจะสนในที่จะลงทุนในกองทุนรวม...ก็ขอให้ศึกษารายละเอียดให้ดีนะคะ..

ขอเป็นเก้าอี้พักใจ....
ให้เธอได้พักพิง...

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

ผู้ดูแล: MommyangelBadmankonsiam
เวลาที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บ: 1.474 วินาที
ขับเคลื่อนโดย ระบบฟอรัม Kunena