พักหนี้รายย่อยทางออกแก้หนี้ครัวเรือน
แม้ตัวเลขเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศในปีนี้จะยังพอดูได้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้ไว้ที่ระดับ 5.7%
ธปท.ให้เหตุผลคงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไว้ระดับนี้ ด้วยเหตุผลว่า การบริโภคและการลงทุนในประเทศซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการของรัฐ อาทิ โครงการรถยนต์คันแรก โครงการรับจำนำข้าว เป็นต้น ยังเป็นนโยบายสำคัญที่ทำให้การบริโภคในประเทศยังขยายตัวต่อไปได้
แต่การบริโภคของประชาชนไม่ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง คือ มาจากรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากงานที่มั่นคง แต่การเติบโตของการบริโภคครัวเรือนส่วนใหญ่มาจากการเป็นหนี้ เห็นได้จากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ธปท. ระบุว่า สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ของภาคครัวเรือนเริ่มสูงขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 40-50% ของรายได้รวม เทียบกับในอดีตอยู่ที่ 30% จะเห็นว่ามีอัตราการเพิ่มมากขึ้น ขณะที่สัดส่วนที่เหมาะสมของหนี้ครัวเรือนคือ 28%
ก่อนหน้านี้ เกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ยอดคงค้างสินเชื่อส่วนบุคคลเติบโตแบบก้าวกระโดด ถือเป็นจุดต้องเข้าไปดูแล โดยเฉพาะการขอสินเชื่อส่วนบุคคลไปใช้จ่าย เพื่อซื้อสินค้าประเภทผ่อน 0%
การขยายตัวของสินเชื่อเงินผ่อนเป็นการเติบโตจากการโหมโฆษณาและการแข่งขันของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นันแบงก์) ร่วมกับผู้ผลิตสินค้า ออกโปรโมชันซื้อสินค้าเงินผ่อนดอกเบี้ย 0% บางสินค้าให้ผ่อนได้ถึง 24 เดือน
ทำให้คนที่ไม่คิดจะเป็นหนี้ ก็ยอมกระโจนเข้าไปเป็นหนี้ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคิดมาก
ดังนั้น การโหมใช้สินเชื่อบุคคลของประชาชน ส่วนหนึ่งมาจากการฟื้นฟูบ้านหลังจากถูกน้ำท่วม และเงินที่ได้รับการเยียวยาจากรัฐบาลไม่เพียงพอ ต้องหันไปกู้จากนันแบงก์และหนี้นอกระบบ
แถมตามมาด้วยการกระตุ้นชุดใหญ่จากภาครัฐ ด้วยโครงการรถยนต์คันแรก โครงการบ้านหลังแรก ที่ทำให้คนที่เพิ่งเริ่มทำงานยอมเป็นหนี้ทั้งที่ยังไม่พร้อมเพรียง แค่ต้องการเงินแสนหนึ่งจากการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์ของรัฐบาล แต่จะต้องเป็นหนี้ผ่อนรถยนต์ทุกเดือนเป็นเวลานานถึง 5 ปี
และที่น่าเป็นห่วงคือ คนที่เป็นหนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 2.5 หมื่นบาท
สายนโยบายสถาบันการเงินของ ธปท. ได้เคยรายงานตัวเลขสำคัญของสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับล่าสุดของเดือน ส.ค. ปี 2555 พบว่า ยอดคงค้างสินเชื่อส่วนบุคคลมีจำนวนทั้งสิ้น 236,173 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน 31,396 ล้านบาท คิดเป็น 15.33%
เป็นการเพิ่มขึ้นทั้งธนาคารพาณิชย์ไทย 25,276 ล้านบาท และผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นันแบงก์) 9,121 ล้านบาท แต่ในส่วนของสาขาธนาคารต่างชาติลดลง 3,000 ล้านบาท
จำนวนบัญชีสินเชื่อส่วนบุคคลมีทั้งสิ้น 9,419,298 บัญชี เพิ่มขึ้น 677,759 บัญชี เพิ่มขึ้น 7.75% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของนันแบงก์มากที่สุด 383,090 บัญชี ตามมาด้วยธนาคารพาณิชย์ 321,905 บัญชี แต่กลับลดลง 27,236 บัญชี ในส่วนของสาขาธนาคารต่างชาติ
หากสินเชื่อขยายตัวดีและมีคุณภาพ คือ มีหนี้เสียเกิดขึ้น จะถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีของภาคเศรษฐกิจ แต่ผลกลับออกมาเป็นตรงกันข้ามคือเริ่มเห็นสัญญาณความเสี่ยงต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนกลุ่มมีรายได้ต่ำถึงปานกลาง ที่กู้ยืมเงินจากนันแบงก์
โดยล่าสุด ในไตรมาส 2 ของปีนี้ พบว่า ครัวเรือนมีสัดส่วนหนี้ค้างชำระเกิน 1 เดือน เป็น 4.7% แม้จะลดลงจากไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ 4.9% ของยอดการปล่อยสินเชื่อทั้งหมดก็ตาม
ขณะที่สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ มีสัดส่วนการค้างชำระเกิน 1 เดือน เพิ่มขึ้นเป็น 3.7% และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ มีสัดส่วนการค้างชำระเกิน 1 เดือน เพิ่มเป็น 7.2% ของสินเชื่อทั้งหมด
ที่น่าเป็นห่วง คือ การที่นันแบงก์ได้ปล่อยกู้ในอัตราสูงถึง 60% ให้กับประชาชนตามต่างจังหวัดในลักษณะการเช่าซื้อสินค้า แต่นำสินค้ากลับคืนมาในวันเดียว และมีการติดตามหนี้โหดกับลูกหนี้ที่ค้างหนี้
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ในช่วงนี้ เริ่มจะได้ยินข่าวการทวงหนี้โหด ทั้งข่มขู่ ใช้กำลังประทุษร้ายตามพื้นที่ต่างๆ ในหลายจังหวัด
อาจจะมีข้อถกเถียงจากทางฝั่งรัฐบาล ว่าถึงหนี้เสียจะเพิ่มขึ้นแต่เสถียรภาพด้านรายได้และการมีงานทำของครัวเรือนยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากการจ้างงานเดือน ก.ค. ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราการว่างงานปรับลดลงจากครึ่งปีแรกที่ 0.79% มาอยู่ที่ 0.56% ของกำลังแรงงานทั้งหมด และรายได้เฉลี่ยครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง
แต่เรื่องนี้ยังวางใจอะไรไม่ได้ เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงจากผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐและสหภาพยุโรป การส่งออกชะลอตัว มีผลต่อการจ้างงาน อาจบั่นทอนความสามารถในการชำระหนี้ของภาคเอกชน และส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อของสถาบันการเงินในที่สุด
พูดง่ายๆ ก็คือ จำนวนหนี้เสียของสถาบันการเงินจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อาจจะต้องตั้งสำรองหนี้เสียเพิ่ม มีผลทำให้กำไรในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไม่สวยงาม ธนาคารที่มีเงินกองทุนต่ำอาจจะต้องเพิ่มทุน นี่อาจจะรวมไปถึงบริษัทเช่าซื้อและนันแบงก์ด้วย
นอกจากนั้น การก่อหนี้ของรากหญ้าในขณะนี้อาจจะใกล้ถึงจุดสูงสุด จนบุคคลไม่สามารถเพิ่มยอดหนี้ขึ้นไปได้อีกแล้ว เพราะโดยปกติสถาบันการเงินจะให้กู้เงินได้ไม่เกิน 60 เท่าของเงินเดือน หากสูงกว่านั้นแล้วจะเกินความสามารถในการชำระหนี้และจะกลายเป็นหนี้เสีย หากยังฝืนให้กู้ต่อไป
ฉะนั้น ปัญหาหนี้ครัวเรือนจะทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ด้วยการเพิ่มการบริโภคในประเทศจะทำได้ยากขึ้น นอกจากจะพักหนี้เสียให้กับรากหญ้าอีกรอบหนึ่ง ซึ่งคนรับภาระก็คือธนาคารของรัฐ ที่จะถูกร้องขอจากรัฐบาลให้ดำเนินการ หลังจากที่ในปีนี้ได้มีการพักหนี้ของลูกหนี้ธนาคารของรัฐไปแล้ว ทั้งลดเงินต้น ลดดอกเบี้ย
การที่หนี้ครัวเรือนหรือหนี้ส่วนบุคคลขยายตัวมากไม่ใช่เรื่องดี เพราะสะท้อนปัญหาให้เห็นว่าภาคเศรษฐกิจไม่ดีจริง
เศรษฐกิจระดับจุลภาคหรือฐานรากในระดับครัวเรือนเปราะบาง พร้อมที่จะพังลงได้ทุกขณะ ดังนั้นนี่จึงเป็นจุดที่ ธปท. แสดงความเป็นห่วงและจับตาอย่างใกล้ชิด ว่าหนี้ครัวเรือนอาจจะสูงจนเกินไป
วิธีการแก้ไขหนี้ครัวเรือนไม่ให้เพิ่ม แต่ต้องการกระตุ้นการบริโภคให้ขยายตัว มีทางเดียวเท่านั้นคือการเพิ่มรายได้ให้ประชาชน
รัฐบาลยืนยันว่า ในวันที่ 1 ม.ค. ค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศจะขึ้นเป็นวันละ 300 บาท หลังจากที่ขึ้นเงินเดือนแรกเข้าของผู้ที่จบปริญญาตรีเดือนละ 1.5 หมื่นบาท
หากเศรษฐกิจชะลอตัว การเพิ่มการจ้างงานก็มีน้อยมาก อีกทั้งการขึ้นค่าแรงจะไปซ้ำเติมให้นายจ้างลดการจ้างงานใหม่ลง แถมจะลดคนงานเพื่อลดค่าใช้จ่าย
ขณะนี้นอกจากในระดับประเทศจะมีหนี้เพิ่มสูงขึ้นแล้ว หนี้ส่วนบุคคลก็สูงขึ้นอีก หากยังปล่อยให้สูงอยู่เช่นนี้ โอกาสที่จะเกิดหนี้เสียลุกลามในอนาคตเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
เรื่องนี้รัฐบาลมีทางเลือกไม่มาก เชื่อว่าในปีหน้าจะมีโอกาสเห็นแคมเปญพักหนี้ของรายย่อยออกมาอีกอย่างแน่นอน
ที่มาโดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง