easy buy โทรมาทวงขึ้นเบอร์เป็นมือถือ

easy buy โทรมาทวง ขึ้นเบอร์เป็นมือถือ ถือว่าเป็นเรื่องปกติมะครับ หรือว่าต้องทราบเบอร์ติดต่อเป็น 02-xxxx-xxx เท่านั้นไม่ว่าเป็นเจ้าหนี้ไหนก็ตาม

เรื่องปกติครับ มีทั้งเบอร์มือถือและเบอร์ 02 โทรมาทวงได้ทั้งนั้น
แต่ที่สำคัญ ให้ถามชื่อ นามสกุล บริษัทที่คนโทรทำงานให้

เอ.. คุณเพิ่งไปอบรมมานี่ครับ

ใช่เเล้วครับผมเพิ่งไปอบรมมาครับ คุณ anakin
พอดีเข้าใจผิดว่า ถ้าไม่โทรมาในกรณี ขึ้นต้น 02-xxx ถือว่าไม่ระบุตัวตนในการโทร เรามีสิทธิที่จะไม่รับก็ได้

ตอนนี้เข้าใจเเล้วครับว่ามีค่าเท่ากัน

ขอบคุณครับ

โดยความเห็นส่วนตัวของผม ผมแนะนำให้พยายามรับสายทุกสายที่โทรมาทวงครับ (ถ้ารับได้ หรือถ้าติดประชุม ก็บอกไปว่าให้โทรมาใหม่อีกทีตอนเย็นหรือวันพรุ่งนี้) เนื่องจาก ผมพบว่า การที่เรารับสายบ้าง ไม่รับบ้าง จะทำให้โดนฟ้องได้เร็วหรือง่ายกว่า โดยเฉพาะ เครือ Citibank ครับ

บัตรที่เป็นหนี้
Uob credit -30,000(เริ่มหยุด)
Uob cash card -28000(เริ่มหยุด)
Uob สินเชือเงินสด -56000(เริ่มหยุด)
Umay 36200(เริ่มหยุด)
Citibank credit 40000(เริ่มหยุด)
Citibank Ready 84700(เริ่มหยุด)
Citibank advance 11500(เริ่มหยุด)

กสิกรบัตรเครดิตเป็นหนี้ -30000 (กำลังเริ่มหยุด)
กสิการบัตรกดเงินสดเป็นหนี้ -25000 (กำลังเริ่มหยุด)
สินเชือส่วนบุคคล smile cash (บัตรกดเงินสดพ่วงกับ ATM) -20000(กำลังเริ่มหยุด)
นครหลวงไทย บัตรกดเงินสด -31000(กำลังเริ่มหยุด)

---

392400
[/color]
บัตรที่มีวงเงินคงเหลือ
Aeon 20000
Standart charther 55000
นครหลวงไทย บัตรเครดิต 30000
ธนชาติบัตรเครดิต 40000

ขอคำแนะนำหน่อยคับ ในส่วนที่กำลังจะหยุดอะคับ ว่าจะเลือกหยุดสถาบันการเงินไหนดี
หรืออันไหนก็ได้ มีค่าเท่ากัน

ที่ส่วนตัวอยากเลือกเก็บไว้ ก็มี กสิกร
กับระหว่าง นครหลวไทย หรือ standart charter ไม่แน่ใจว่าสองอันนี้เลือกเก็บไว้ตัวไหนดีเพราะจะได้ถอนจากพวกบัตรที่ยังมีเงินคงเหลือไปปิด หรือว่าโอนหนี้ เพราะมองว่าเลือกเก็บบัตรไว้ฉพาะของสถาบันการเงิน
ส่วนบัตรอิออนกะว่าจะถอนมาปิด smile cash

spiderwooter เขียน: ที่ส่วนตัวอยากเลือกเก็บไว้ ก็มี กสิกร
กับระหว่าง นครหลวไทย หรือ standart charter ไม่แน่ใจว่าสองอันนี้เลือกเก็บไว้ตัวไหนดีเพราะจะได้ถอนจากพวกบัตรที่ยังมีเงินคงเหลือไปปิด หรือว่าโอนหนี้ เพราะมองว่าเลือกเก็บบัตรไว้ฉพาะของสถาบันการเงิน
ส่วนบัตรอิออนกะว่าจะถอนมาปิด smile cash

สรุปว่าคุณจะเลือกใช้วิธี Fourthway out (ทางเลือกที่ 4.)...ว่างั้นเถอะ

กลับไปอ่าน ที่นี่ก่อนค่ะ

www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=5&id=179&Itemid=29

ขออนุญาติ ออกความเห็นนะครับ

ความคิดส่วนตัวของผม ผมว่าไม่ต่างกันเลยจากที่เป็นอยู่ตอนนี้นะครับ
ทางที่ดีหักบัตรที่มีวงเงืนไปเลย ถ้าคิดว่าจะเก็บไว้ใช้ในอนาคตเมื่อยามจำเป็น
แต่ตอนนี้ไม่จำเป็น เอาไปให้ห่าง หรือ จะยกเลิกไปเลยก็ดี ไม่งั้นหนี้ พอกพูนกว่าเดิมแน่คัรบ

เอาเงินสดมาใช้หนี้ดีกว่าครับ

เอาใจช่วยครับ

ขอคิดด้วยคน ถ้าเป็นผมตัดบัตรทิ่งทั่งหมด แล้วหาวิธีที่ทำให้ตัวเองอยู่ด้วยเงินตัวเองเท่านั้น

ประเด็นคือว่า ผมกันเผื่อไว้ในอนาคตอะครับถ้าหลังเคลียหนี้เป็นศูนย์เเล้ว เเละหลังจากล้างบูโรเเล้ว ไม่เเน่ใจว่าธนาคารเเต่ละธนาคารนั้น จะมีประวัติเก็บไว้ของเเต่ละธนาคารหรือเปล่า จึงต้องเลือกที่ดีไว้บ้าง เเล้วทิ้งอันที่เสีย ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมคิดกันเผื่อไว้นี้มีผลอะไรเหรอเปล่า

ขอบคุณมากครับนะครับสำหรับทุกความคิดเห็น

ผมว่าไม่อยากให้คิดว่า "เผือใช้บัตรในอนาคต"

ตอนแรกผมก็คิดเหมือนคุณเลย ตอนที่สมัครบัตร สมัคร เพราะเผื่อได้ใช้นิแระครับ
สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น

ต้องเปลี่ยนวิธีคิดอะครับ ตอนนี้ผม ขยาดการใช้บัตรมากๆ ยังไงเงินสดก็ดีกว่ามีบัตร

ยังไงก็ไม่แนะนำให้ หมุนเงิน เข็มแข็งไว้ครับ

ถ้าใจไม่เข้มแข็งพอ ... แนะนำว่าอย่าเก็บบัตรไว้กับตัว ...

ส่วนตัวคิดว่าทิ้งหรือตัดบัตรให้หมดดีกว่า ... ปิดหนี้ได้ครบทุกตัว แล้วค่อยเปิดใหม่ (ถ้าคุณคิดว่าผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ไปแล้ว คุณสามารถควบคุมการใช้เงินคุณได้ ก็ทำไว้สักตัว)

สำหรับ BlackShepp ตัดทุกบัตรทิ้ง ใช้แต่เงินสด ณ ปัจจุบัน ก็ยังโอเคนะ เวลาเกิดกิเลสอยากได้อะไร ถ้ามีบัตรคงรูดปรึ๊ดๆ ไปแล้วค่ะ แต่พอมีแต่เงินสด ก็ตัดใจซื้อไม่ลงซะทุกครั้งไป

สู้ๆ นะคะ เก็บเงินจ่ายหนี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่

ไม่แน่ใจว่าเจ้าของกระทู้ อ่านวิธีแก้ไขปัญหาหนี้สินหรือยัง
คุณประเมินตัวคุณเองหรือยังว่าจะเลือกวิธีแก้ไขปัญหาหนี้สินแบบไหน
เท่าที่ดูจากยอดหนี้ก็ถือว่าเยอะเหมือนกัน ประเด็นคุณอยากเก็บบัตรไว้ใช้ แล้วที่เหลือคุณจะกดเงินออกมาใช้หนี้ เจตนาของคุณคืออะไร

การที่เราจะกดเงินออกมาปิดหนี้ตัวอื่น แล้วตัวที่เราเลือกกดออกมา เราไม่คิดจะชำระเงินเขาเท่ากับเป็นการโกงเขา มีเจตนาที่จะไม่ชำระ อย่างนี้ถ้ามีปัญหาในภายหลังเจ้าหนี้อาจจะดูเจตนาของเราก็อาจเป็นไปได้
ทางที่ดีขอให้หยุดทุกตัว จะดีกว่าและอยู่ให้ได้ด้วยเงินตัวเอง หยุดสร้างหนี้ใหม่ หรือว่าจะหาหนี้ใหม่มาโป๊ะหนี้เก่า
ถ้าอยากจะเก็บบัตรสักตัวไว้ที่เป็นสถาบันการเงิน คุณอาจจะเลือกวิธีจ่ายขึ้นตำของบัตรนั้น หรือว่าจ่ายเกินกว่าขั้นต่ำเพื่อให้เป็นบัญชีปกติ ส่วนบัตรที่เหลือที่ยังไม่ใช้ ขอให้ปิดบัญชียกเลิกไปดีกว่า เผื่อป้องกันเราไม่ไปก่อหนี้เพิ่มเติม

spiderwooter เขียน: ประเด็นคือว่า ผมกันเผื่อไว้ในอนาคตอะครับถ้าหลังเคลียหนี้เป็นศูนย์เเล้ว เเละหลังจากล้างบูโรเเล้ว ไม่เเน่ใจว่าธนาคารเเต่ละธนาคารนั้น จะมีประวัติเก็บไว้ของเเต่ละธนาคารหรือเปล่า จึงต้องเลือกที่ดีไว้บ้าง เเล้วทิ้งอันที่เสีย ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมคิดกันเผื่อไว้นี้มีผลอะไรเหรอเปล่า

ขอบคุณมากครับนะครับสำหรับทุกความคิดเห็น

จริงๆ แล้ว ตอนนี้ผมก็เสียดายโอกาสของตัวผมเอง ที่ไม่ได้เก็บบัตรเครดิตไว้ใช้สักใบ (เพราะตอนนั้น ทั้งรูด ทั้งกดเงินสดออกมาหมุนจนเต็มวงเงินทุกใบ) ซึ่งอาจมีบัตรเครดิต ไว้เผื่อฉุกเฉินจริงๆ เช่นใครเจ็บไข้ต้องนอนโรงพยาบาล เป็นต้น
บางครั้ง ผมก็มีความจำเป็นต้องใช้บัตรเครดิต เช่น การเช่ารถ โดยเฉพาะ การเช่ารถในต่างประเทศ ที่จำเป็นต้องรูดบัตรเพื่อเป็นการมัดจำ ถ้าไม่มี บัตรเคดิต ก็ต้องใช้เงินสด (จำนวนไม่น้อย) ใช้บัตรเดบิตก็ไม่ได้ ให้ญาติไปรูด ก็ต้องพาญาติไปเซ็นต์สัญญาอะไรต่ออะไร วุ่นวาย

แต่การที่เราเก็บบัตรเครดิตไว้ ก็ต้องมั่นใจว่า เราใจแข็งพอต่อกิเลส จะไม่กลับไปใช้บัตรซื้อสินค้า (ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น เพราะ การซื้อสินค้าด้วยเงินสด ย่อมดีที่สุด บางครั้งซื้อด้วยเงินสดจะได้ส่วนลดเพิ่มด้วย ผมซื้อ LCD TV 32" จากร้าน ได้ราคาถูกกว่าห้าง แถมมาส่งฟรีถึงบ้านด้วย) หรือกดเงินสดออกมาใช้อีก

ไม่ใช่เอาบัตรไปกดเอาเงินสดมาปิดบัตรที่ค้าง เพราะมันทำให้คุณ มีประวัติเสียเพิ่มอีกราย หนี้ก็ไม่ได้ลดน้อยลง แถมเพิ่มขึ้นจากค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย อะไรต่ออะไรเยอะแยะ

ถ้าทำได้อย่างที่ผมแนะนำไว้ข้างบน ผมว่าเก็บ Standard Chartered หรือ ธนชาติไว้ก็ได้ครับ เอาที่ค่าธรรมเนียมฟรีตลอดชีพ แบบไม่ต้องโทรไปขอ waive นะครับ

ขอคิดด้วยคนค่ะ
รุปว่าคุณจะเลือกใช้วิธี Fourthway out (ทางเลือกที่ 4.)...ว่างั้นเถอะ

ก็สงสัยแบบเดียวกับคุณนกกระจอกเทศค่ะ เข้าอบรมมาแล้วคงได้
รับรู้ วิธีปลดหนี้ที่ 4 ถอน/ปิดเมื่อลด

บอกหน้าเวปบอร์ดมีความเสี่ยงสูง เอาเป็นว่า การหยุดโดยวิธีที่ 2 คุณ
สามารถแจมวิธีที่ 1 ได้ค่ะ ด้วยการเก็บ 1บัตร ไว้ใช้ยามจำเป็นเท่านั้นค่ะ
และต้องจ่ายเต็ม หรือหากจ่ายขั้นต่ำ ต้องมากกว่าขั้นต่ำเพื่อวินัยการเงิน
ที่ดีค่ะ แก้วจ๋าก็เก็บไว้ 1บัตร ค่ะ

ผมก็เก็บไว้ใบนึง ครับ เอาเผื่อจองตั๋วเครื่องบิน

เจตนาเเท้ๆๆจริง เเล้วอยากให้ประวัติทางธนาคาร clean เป็นรายๆๆไป ถ้าหลังจากคลีน บลูโรเเล้ว ก็ไม่เเน่ใจว่าบางธนาคารจะเก็บประวัติไว้หรือเปล่าเพราะคิดว่า อาจจะต้องกู้ซื้อบ้าน หรือรถ หรือ กู้เพื่อทำธูรกิจ



จำนวนบัตรผมไม่ได้ สนใจสะเท่าไหร่เพราะเข็ดเเล้วมีเเค่ใบเดียวก็พอ เเต่ที่เเครคือประวัติของทางธนาคาร

ขอบคุณมากครับสำหรับทุกความเห็น
คุณ anakin เเละคุณ kaewja ที่ตอบตรงประเด็นผมอย่างเข้าใจครับ

ส่วนใหญ่แบงค์จะเก็บประวัติของเราไว้อีกนานเลยครับ อาจเป็นสิบปี มากว่าเครดิตบูโรแน่ๆ ครับ

มาเสริมว่า เครดิตบูโรเก็บประวัติไว้ 3 ปี หลังชำระหนี้ตัวสุดท้ายหมด จึงจะล้างไพ่ให้ใหม่
แต่ ประวัติของเราในธนาคารที่เคยเป็นหนี้
และเคยหยุดจ่าย ขอแฮร์คัท สถาบันนั้นๆ
มันจะ "จด" และ "จำ" ชื่อของคุณ ตราบชั่วฟ้าดินสลายเลยครับ...เอิ๊กๆ
อย่าได้คิดจะเหยียบเข้าไปทำธุรกรรมกับเขาอีกเด็ดขาด

เก็บไว้ใช้ได้ แต่ต้องยามจำเป็นจริงๆ เหมือนน้องอนาคิน และคุณ Narasingh บอก
แต่ถ้าอยู่เมืองไทย นั่งรถอีแต๋น รถตุ๊ก ตุ๊ก คงไม่ต้องรูดบัตรเป็นค่าเช่าหรอกเน๊อะ...

ประวัติของเราในธนาคารที่เคยเป็นหนี้
และเคยหยุดจ่าย ขอแฮร์คัท สถาบันนั้นๆ
มันจะ "จด" และ "จำ" ชื่อของคุณ ตราบชั่วฟ้าดินสลายเลยครับ...เอิ๊กๆ

ประเด็นคำตอบของคุณกอบัวนี้เเหละครับ ที่ผมต้องคิดเผือไว้ในอนาคต ที่ทำให้ต้องเลือกสถาบันการเงืนว่า
อันไหนควรใสสะอาด อันไหนมีด่างพ้อยก็ช่างมัน

ขอบคุณครับ
spiderwooter