วันนี้ขึ้นศาลครั้งแรกในชีวิตค่ะ

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #23221 โดย phung
หลังจากที่หยุดจ่ายตั้งแต่ ก.พ.2554 ถึงปัจจุบัน ก็ปีกว่าๆ แล้ว ก็ได้รับหมายศาลเมื่อกลางเดือน ก.ย.55 และนัดขึ้นศาลวันนี้ 1 ต.ค. 55

ตามคำแนะนำของพี่ๆ น้องๆ ที่ได้เคยในกระทู้ตั้งแต่ปีที่แล้วอ่านเก็ประสบการณ์มาเรื่อยๆ ในการรับมือหลังหยุดจ่ายจะต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรบ้าง วิธีการจดบันทึกทำบัญชีรายรับรายจ่าย และวิธีการชำระหนี้ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมามีหนี้บัตรประมาณ 12 ใบ ยอดทั้งหมดประมาณ 3 แสน สถานะปัจจุบันเลือกวิธีชำระหนี้โดยวิธีการตัดบัญชีทุกอย่างตามคำแนะนำ และรูปแบบการต่อรองของแต่ละท่านมีประโยชน์มากค่ะ และใช้ได้จริงๆ ได้ผลด้วย ณ ปัจจุบันเวลาผ่านไป 1 ปีกว่าๆ สามารถปิดบัญชีไปได้ทั้งหมด 3 ใบ ยอดหยุดจ่ายรวมประมาณ 1 แสน แต่ละใบขอส่วนลดได้ประมาณ 50% (เจ้าหนี้น่ารักจริงๆ) ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจและการต่อรองนะค่ะ

วันนี้ก็เป็นการขึ้นศาลมีบัตร 2 ใบ ธนาคารเดียวกันยอดรวม 76,000 บาท รายได้ต่อเดือนคงเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพตนเองและไม่มีภาระผ่อนอะไรทั้งนั้น (หยุดทุกอย่างไม่สร้างหนี้ต่อ) คงเหลือเก็บเพื่อจ่ายหนี้ได้ต่อเดือน 5,000 บาท หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ความขยันในการสร้างรายได้ และสำหรับการไกล่เกลี่ยนประนีประนอมสรุปในวันนี้ คือ ยินยอมผ่อนค่ะ เพราะเห็นว่ายอดเยอะถ้าอยากจะปิดให้หมดในเร็ววันคงลำบากเหมือนกัน เพราะยังคงเหลือบัตรอื่นๆ อีก 8 ใบ ที่รอการเก็บเงินเพื่อชำระอีก เลยตัดสินใจยอมผ่อนตามเงื่อนไขยอดเงินที่สามารถทำได้จริงๆ คือ 1 ปีแรกชำระคงที่เดือนละ 1,500 ปีที่ 2 ชำระเดือนละ 2,500 และปีที่ 3 ปีสุดท้ายเดือนละ 3,500 บาท ต้องยินยอมจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารไปบ้าง 10% ยอดเงินที่ค้างค่ะ เพราะในปีแรกจะได้มีเวลาเก็บเงินไปปิดบัตรอื่นๆ ได้บ้าง มากน้อยก็ยังดีเพราะบัตรอื่นๆ ที่มียอดหนี้ก็ไม่มากนัก ประมาณ 2-5 หมื่นบาท ส่วนใหญ่ก็จะขอส่วนลดได้ที่ 50% เก็บเงินสัก 2 เดือนก็ปิดได้ 1 บัตร ใช้เวลาแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถทะยอยปิดภาระหนี้ไปได้เรื่อยๆ

ไปศาลวันแรก ครั้งแรก วันนี้ก็ตื่นเต้นมากนะค่ะ แต่ไม่น่ากลัวอย่างที่เคยอ่านประสบการณ์พี่ๆ น้องๆ ในชมรมนี้เล่าให้ฟัง ทำให้ไม่ประหม่าเลยค่ะ แต่กลับมั่นใจ เพราะเรามีเจตนาชำระแน่นอนออยู่แล้ว เพียงแต่ว่าขอเวลาให้การชำระคืนบ้าง เท่านั้นเอง การเลือกชำระหนี้ในรูปแบบต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราเป็นที่ตั้งค่ะ ขึ้นอยู่กับความพอใจ แต่ละคนอาจมีวิธีการไม่เหมาะกัน

ขอบคุณชมรมนี้มากค่ะ ที่ทำให้ชีวิตไม่กดดัน และสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข ซึ่งทุกคนก็จะกลับไปเป็นคนเดิมที่สดใสได้ในไม่ช้า ขอบคุณทุกคนแนะนำ ทุกประสบการณ์ ทุกท่านมากค่ะ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #23256 โดย june
อันที่จริงแล้วชมรมของเรา ท่านประธานจะบอกไว้ว่า "การทำสัญญาประนอมหนี้"

คือการทำ "สัญญานรก" ดีๆนี่เอง แต่ถ้าน้อง phung เลือกใช้วิธีนี้ไปแล้ว... :pray:

ก็ลองอ่านวิธีของท่านประธานคุณนกกระจอกเทศ ท่านว่าไว้ดูละกันค่ะ... :upset:

สัญญา นรก” คืออะไร?

“สัญญา นรก” ก็คือสัญญาที่ทางฝ่ายเจ้าหนี้หยิบยื่นเงือนไขให้กับลูกหนี้ หลังจากที่ลูกหนี้หยุดชำระหนี้บัตรเครดิต หรือหยุดชำระหนี้สินเชื่อ มานานสักระยะหนึ่งแล้ว(หยุดจ่ายประมาณ 2 เดือนขึ้นไป) โดยทางเจ้าหนี้จะเสนอให้ทางฝ่ายลูกหนี้กู้เงินก้อนใหม่จากทางเจ้าหนี้ เพื่อไปปิดหนี้ตัวเดิมที่ได้หยุดจ่ายไป แล้วมาผ่อนต่อในสัญญาเงินกู้ตัวใหม่นี้แทน โดยเสนอว่าจะลดดอกเบี้ยให้ ยอดผ่อนจ่ายต่อเดือนน้อยลง แต่ระยะเวลาในการผ่อนจ่ายนานขึ้น(เช่น 4 - 5 ปี)เป็นต้น

เงินกู้ก้อนใหม่ที่ได้มานี้ จะเอาไปใช้ปิดหนี้ที่ค้างชำระของเดิมเลยโดยตรง เงินก้อนนี้จะไม่ผ่านมือของลูกหนี้เลย

ยกตัวอย่างเช่น นายพอเพียงมียอดหนี้บัตรเครดิตอยู่ 50,000 บาท แล้วนายพอเพียงก็หยุดจ่ายหนี้มานานประมาณ 3 เดือนแล้ว จนยอดหนี้กลายเป็น 56,200 บาท (ยอดหนี้เมื่อสามเดือนก่อน + ดอกเบี้ย + ค่าปรับล่าช้า) แล้วทางเจ้าหนี้ก็เสนอให้นายพอเพียงทำสัญญานรก เพื่อกู้เอาเงิน 56,200 บาท ไปจ่ายปิดหนี้ของบัตรเครดิต แล้วมาผ่อนหนี้กับสัญญานรกตัวนี้แทน ซึ่งคิดดอกเบี้ย 13% ต่อปี สามารถผ่อนได้ยาวนานถึง 5ปี(60งวด) โดยผ่อนงวดละ 1,546 บาท เป็นต้น

สัญญานรกประเภทนี้ จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป(ขึ้นอยู่กับเจ้าหนี้แต่ละราย ว่าจะตั้งชื่อเรียกว่าอะไร) เช่น

- สัญญาประนอมหนี้

- สัญญาปรับโครงสร้างหนี้

- สินเชื่อศุภฤกษ์

- สินเชื่อรีไรท์

- สินเชื่อผ่อนสบาย (แต่ไปตายในภายภาคหน้า)...เป็นต้น

ไม่ว่าจะมีชื่อเรียกเป็นอย่างไรก็ตาม ต่างก็เป็น“สัญญานรก”ทั้งนั้น เพียงแต่เรียกชื่อให้มันฟังดูไพเราะเสนาะหู ก็เท่านั้นเอง

ข้อดี-ข้อเสีย ของการทำ"สัญญา นรก"

ข้อดีก็คือ

- ได้ยืดระยะเวลาในการชำระหนี้ออกไป ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญาเดิม และอาจมีการเสนอรวมหนี้ให้ด้วย เช่น มีข้อเสนอว่าจะรวมหนี้ให้ทั้ง บัตรเครดิต+สินเชื่อบุคคล ให้มารวมเป็นยอดหนี้อยู่ในสัญญานรกเดียวกัน(สำหรับเจ้าหนี้รายเดียวกัน) พร้อมกับคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่าเดิม โดยไม่เกิน 15% ต่อปี เป็นต้น

- เจ้าหนี้ไม่โทรมาทวงหนี้ให้รำคาญ

- เหมาะสำหรับพวกลูกหนี้“หน้าบาง” ที่กลัวคนอื่นจะรู้ว่าตัวเองเป็นหนี้ เพราะกลัวจะอับอายขายขี้หน้า ทั้งๆที่เรื่องหนี้เป็นแค่เรื่องธรรมดา เป็นได้แค่เพียง“คดีแพ่ง” ไม่ได้ติดคุกติดตะราง เหมือนกับคดีของพวกที่ฆ่าคนตายหรือค้ายาบ้า

- เหมาะสำหรับลูกหนี้ที่ปิดบังความจริงเรื่องการเป็นหนี้ กับคนในครอบครัวของตนเอง โดยยอมที่จะซื้อเวลาออกไปอีกสักระยะ แต่ยอมที่จะพบกับสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คิดแต่เพียงแค่ให้ปัญหาหนี้ มันผ่านพ้นเพียงแค่วันนี้ไปก่อน โดยไม่ยอมแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่เลือกที่จะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไปวันๆ
เปรียบเสมือนกับคนที่ป่วยเป็น“ไส้ติ่งอักเสบ” ซึ่งทางรักษาให้หายก็คือ ต้องไปหาหมอเพื่อผ่าเอาไส้ติ่งที่อักเสบออก จึงเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ
แต่ถ้าดันไปกลัวหมอ กลัวเข็มฉีดยา กลัวการผ่าตัด ก็เลยเลือกที่จะไปซื้อ“ยาแก้ปวด”มากินแก้ปวดไปวันๆ ซึ่งเป็นการบรรเทาอาการป่วยที่ปลายเหตุเฉพาะหน้า ยอมอดทนรอคอยวันที่ไส้ติ่งแตก และเมื่อวันนั้นมาถึงก็อาจสายเกินแก้แล้ว

- วิธีนี้อาจเหมาะสำหรับลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้“เพียงรายเดียว”เท่านั้น และต้องเป็นยอดหนี้ที่ไม่สูงมากนัก
โดยเมื่อคำนวนออกมาแล้ว ตัวลูกหนี้เองต้องมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถผ่อนจ่ายในระยะยาวได้จริงๆ เพราะถ้าหากในอนาคต ลูกหนี้เกิดตกงานหรือขาดรายได้ประจำขึ้นมา ทำให้ไม่สามารถจ่ายตาม“สัญญานรก”ได้ดังเดิม วันนั้นแหละครับ ที่จะได้รู้ว่า“ไส้ติ่งแตก”มันเป็นอย่างไร


ข้อเสียก็คือ

- เป็นการฉีกสัญญาตามในใบสมัครเดิมทิ้ง แล้วให้มาใช้เงื่อนไขตามใน"สัญญานรก"ฉบับใหม่ทันที

- เป็นการแก้ไข“สัญญาที่ผิดกฏหมาย” เปลี่ยนให้มาเป็น“สัญญาที่ถูกต้องตามกฏหมาย”
เหตุผลเพราะสัญญาฉบับเดิม เป็นสัญญาที่มีการคิด“ดอกเบี้ย”เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด (ตาม ปพพ.ของรัฐธรรมนูญ ให้คิดอัตราดอกเบี้ยได้สูงสุดไม่เกิน 15% ต่อปี) แต่สัญญาในใบสมัครบัตรเครดิต มีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 20% ต่อปี , สัญญาสินเชื่อ/เงินกู้ มีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 28% ต่อปี , สัญญาบัตรกดเงินสด มีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 28% ต่อปี
แต่“สัญญานรก”ฉบับใหม่นี้ จะมีการแก้ไขอัตราดอกเบี้ยให้ลงลด ไม่เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด (เป็นการเปลี่ยน“ดำ”ให้เป็น“ขาว” / เปลี่ยน“ชั่ว”ให้เป็น“ดี” / เปลี่ยน“ผิด”ให้เป็น“ถูก”)...เพื่อที่เวลาสู้คดีกันที่ชั้นศาล เจ้าหนี้จะได้ชนะคดี โดยสามารถอ้างต่อศาลได้ว่า ในสัญญาคิดดอกเบี้ยไม่เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด ลูกหนี้ก็จะแพ้คดีไปโดยปริยาย

- เป็นการทำสัญญาประเภท“คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย”ที่ไม่เป็นธรรม(คิดดอกเบี้ยทบต้น)
ถ้าดูกันเผินๆอาจมองได้ว่า...เออก็ดีนะ กับสัญญานรกตัวใหม่นี้ เพราะดอกเบี้ยถูกลงไปตั้งเยอะเลย เหลือแค่ 13% ต่อปีเท่านั้นเอง...แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
เหตุผลจากกรณีตัวอย่างของนายพอเพียง ที่ถูกหลอกให้ทำสัญญานรก โดยเอายอดเงิน 56,200 บาท มาเป็นเงินต้นในสัญญานรก แทนที่จะเอาเงินต้นที่ 50,000 บาทมาเป็นเงินต้นในสัญญา ซึ่งเป็นการโกงโดยใช้วิธี“คิดดอกเบี้ยทบต้น” เพราะเงินจำนวน 56,200 บาทนี้ เกิดจากการเอาเงินต้นเดิมที่ 50,000 บาท + ดอกเบี้ย + ค่าปรับล่าช้า เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงออกมาเป็นจำนวนเงิน 56,200 บาท
ดังนั้นถ้าหากเอาจำนวนเงิน 56,200 บาทนี้ เป็นตัวตั้งของเงินต้นใหม่ในสัญญานรก ก็ถือเป็นการเอาดอกเบี้ยจากบัตรเครดิตของเดิม(20% ต่อปี) มาทำเป็นเงินต้นด้วย เพราะเงินก้อนนี้มันได้ถูกบวกดอกเบี้ยมาเรียบร้อยแล้ว แล้วยังเอามาทำเป็นเงินต้นก้อนใหม่เพื่อคิดดอกเบี้ยใหม่ซ้ำเข้าไปอีก ในอัตรา 13% ต่อปีตามสัญญานรก

ถ้าหากจะทำให้มันถูกต้องจริงๆ ก็ต้องเอาจำนวนเงิน 50,000 บาท มาทำเป็นเงินต้นสิครับ แล้วค่อยมาคิดดอกเบี้ย 13% ต่อปี จากเงินต้นที่ 50,000 บาท...จึงจะเรียกได้ว่า ไม่เอาดอกเบี้ยเดิมมาทบต้น...จริงไหม?

คุณเคยคิดไหมว่า ตอนที่เรายังเป็น"ลูกหนี้ชั้นดี"อยู่(ยังไม่ได้หยุดจ่าย) ทำไมทางฝ่ายเจ้าหนี้มันถึงไม่คิดดอกเบี้ยกับเราที่ 13% ต่อปี (เสือกคิดดอกเบี้ยกับเราตั้ง 20-28% ต่อปีมาโดยตลอด)
แต่พอเราเป็น"ลูกหนี้ชั้นเลว"(หยุดจ่ายแม่งหลายๆเดือน) กลับมาทำใจดี ลดดอกเบี้ยให้เหลือแค่ 13% ต่อปี แถมยังให้ผ่อนได้อีกตั้ง 5ปี

แล้วทำไมมันถึงไม่คิดดอกเบี้ยกับเราที่ 13% ต่อปี เสียตั้งแต่ทีแรกเลยวะ?

- หากมีหนี้หลายราย แล้วลูกหนี้ดันไปทำสัญญานรกไว้ทุกราย สุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิม ก็คือการจ่ายไม่ไหวเพราะมีหนี้มากราย แล้วก็ต้องหยุดจ่ายอยู่ดี

- หากทำสัญญานรกไปแล้ว แต่จ่ายไม่ไหวหรือหยุดจ่าย จะถูกฟ้องเร็วมาก
เหตุผลเพราะทางฝ่ายเจ้าหนี้ ได้ทำการแก้ไขสัญญาให้ถูกต้องตามกฏหมาย โดยจะมัดลูกหนี้ให้“ดิ้นไม่หลุด”และไม่มีประเด็นต่อสู้คดีในทางกฏหมายด้วย แล้วเมื่อฟ้องคดี ทางฝ่ายเจ้าหนี้จะใช้สัญญานรกฉบับใหม่นี้ นำฟ้องต่อศาลโดยไม่อ้างถึงสัญญาฉบับเดิมเลยแม้แต่น้อย จึงไม่มีความจำเป็นต้องรอระยะเวลาให้เนิ่นนานออกไปอีก เพราะถึงอย่างไรทางฝ่ายเจ้าหนี้ก็ชนะคดีอยู่แล้ว

- การขอส่วนลดหนี้ (Hair cut) หลังจากที่ไปทำสัญญานรกไว้แล้ว จะได้ราคา Hair cut ที่ไม่งาม
เหตุผลคล้ายกับที่อธิบายไว้ข้างบน ก็ในเมื่อลูกหนี้ดันพลาดไปทำสัญญานรกเอาไว้แล้ว ทางฝ่ายเจ้าหนี้ก็ได้เปรียบเต็มๆในทางกฏหมาย กล่าวคือหากลูกหนี้หยุดจ่ายเมื่อไหร่ ก็ไปฟ้องศาลเพื่อบีบบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้เต็มตามจำนวนได้สบายเลย เพราะทางฝ่ายเจ้าหนี้มีโอกาสชนะคดีแบบใสๆ แล้วจะไปยอมขาดทุนโดยให้ส่วนลดหนี้(Hair cut)ให้กับลูกหนี้เยอะๆไปทำไม?

- เป็นการตัดอายุความของหนี้ตัวเดิมทิ้ง แล้วให้เริ่มนับอายุความกันใหม่ หากหยุดจ่ายหนี้ของสัญญานรก
ขอเตือนเพิ่มเติมว่า อายุความของ“สัญญานรก”นั้น...ส่วนใหญ่จะถูกจัดให้เป็นหนี้ประเภทสินเชื่อ(ซึ่งมีอายุความ 5 ปี) แต่ก็มี“สัญญานรก”บางแห่ง แอบเขียนระบุในสัญญาไว้ว่าเป็นหนี้ประเภท“เงินกู้” สัญญานรกพวกนี้ก็จะมีอายุความเทียบเท่ากับ“สัญญาเงินกู้”ทันที(ซึ่งมีอายุความ 10 ปี)

*** สามารถไปอ่านเพิ่มเติมเรื่อง“อายุความ” ได้จากในกระทู้นี้ ***
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=813&Itemid=29

เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ

ที่บอกว่า"ผ่อนสบาย"แล้วไปตายในภายหน้า มันเป็นอย่างไร“สัญญา นรก” คืออะไร?

“สัญญา นรก” ก็คือสัญญาที่ทางฝ่ายเจ้าหนี้หยิบยื่นเงือนไขให้กับลูกหนี้ หลังจากที่ลูกหนี้หยุดชำระหนี้บัตรเครดิต หรือหยุดชำระหนี้สินเชื่อ มานานสักระยะหนึ่งแล้ว(หยุดจ่ายประมาณ 2 เดือนขึ้นไป) โดยทางเจ้าหนี้จะเสนอให้ทางฝ่ายลูกหนี้กู้เงินก้อนใหม่จากทางเจ้าหนี้ เพื่อไปปิดหนี้ตัวเดิมที่ได้หยุดจ่ายไป แล้วมาผ่อนต่อในสัญญาเงินกู้ตัวใหม่นี้แทน โดยเสนอว่าจะลดดอกเบี้ยให้ ยอดผ่อนจ่ายต่อเดือนน้อยลง แต่ระยะเวลาในการผ่อนจ่ายนานขึ้น(เช่น 4 - 5 ปี)เป็นต้น

เงินกู้ก้อนใหม่ที่ได้มานี้ จะเอาไปใช้ปิดหนี้ที่ค้างชำระของเดิมเลยโดยตรง เงินก้อนนี้จะไม่ผ่านมือของลูกหนี้เลย

มีสมาชิกอยู่หลายๆท่านที่ตั้งคำถาม ถามมาอยู่บ่อยๆว่า

- เพิ่งได้รู้จักเวปบอร์ดแห่งนี้

- เพิ่งได้เข้ามาอ่านความรู้ต่างๆ

- เพิ่งได้รู้ความจริงว่า การทำ“สัญญา นรก” นั้น...มันเลวร้ายเพียงใด

แต่...กว่าจะมารู้ก็พลาดท่าไปเสียแล้ว เพราะเพิ่งไปเซ็นต์ทำ“สัญญา นรก”ไปแล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

แต่...ก็ยังไม่ได้ไปจ่ายเงินค่าผ่อนสำหรับ“งวดแรก”ของสัญญานรกเลยนะ เพราะเพิ่งเซ็นต์สัญญากันไปเมื่อไม่นาน ยังไม่ถึงวันที่ต้องผ่อนจ่าย“งวดแรก”เลย

แล้วอย่างนี้จะทำยังไงดี เพิ่งพลาดท่าไปหยกๆ พอมีทางออกช่วยเหลือบ้างได้ไหม?

ฮะแอ่ม...ขอตอบว่า ยังพอมี“ทางออก”อยู่ครับ

กล่าวคือ “สัญญานรก”หรือสัญญาใดๆ ที่เกิดขึ้นจากความผูกพันมาจากสัญญาในตัวเดิม แล้วนำมาเชื่อมโยงเพื่อเปลี่ยนให้เป็นสัญญาตัวใหม่นั้น จะยังไม่มีผลสมบูรณ์ในทางกฏหมาย
ความสมบูรณ์ของ“สัญญาตัวใหม่”ในทางกฏหมาย จะสมบูรณ์จนสามารถเอาไปฟ้องร้องให้เป็นคดีความได้...ก็ต่อเมื่อ

- ต้องมีการทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีลายเซ็นต์ของ ผู้กู้(ลูกหนี้) , ผู้ให้กู้(เจ้าหนี้) , เอกสารประกอบในการขอกู้(สำเนาบัตร ปชช. , สำเนาทะเบียนบ้าน)...เป็นต้น
- ในสัญญาตัวใหม่ จะต้องมีการกำหนดจำนวนเงินที่ขอกู้เอาไว้ชัดเจน , อัตราดอกเบี้ย(เท่าไหร่)? , ผ่อนกี่งวด? , ผ่อนงวดละกี่บาท?
- หลังจากที่เซ็นต์ลงนามลายมือชื่อในสัญญาตัวใหม่ ครบทุกลายเซ็นต์เรียบร้อยแล้ว จะต้องมีการจ่ายเงินผ่อนเข้าไปด้วย“อย่างน้อยหนึ่งงวด” สำหรับสัญญาตัวใหม่นี้

หากองค์ประกอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ในสามข้อข้างบนนี้“ไม่ครบ”(ขาดไปข้อใดข้อหนึ่ง)...ก็จะถือว่า สัญญาตัวใหม่ฉบับนี้ “ไม่สมบูรณ์”ในทางกฏหมาย และไม่สามารถนำมาใช้บังคับในทางกฏหมายได้

ดังนั้น หากสมาชิกท่านใดที่พลาดท่าเสียที หลวมตัวไปเซ็นต์“สัญญานรก”ไปซะแล้ว แต่ยังไม่ได้จ่ายเงินก้อนแรกเป็นค่าผ่อน...ก็ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ถ้าหากไม่ประสงค์จะทำสัญญานรกฉบับนี้ต่อไป

ก็ไม่ต้องไปจ่ายเงินค่า“งวดแรก”สิครับ (นี่แหละครับ วิธีการปฎิเสธสัญญากันแบบง่ายๆ)

แล้วสัญญามันก็จะไม่สมบูรณ์(เป็นโมฆะไปเอง) และถ้าหากฝ่ายเจ้าหนี้มันอยากจะฟ้อง มันก็จะต้องไปขุดเอาสัญญาตัวเก่า(ตัวเดิม)มาฟ้องตามขั้นตอนที่มันควรจะเป็น กระบวนต่างๆ มันก็จะกลับเข้าสู่ขั้นตอนตามปกติต่อไป

ส่วนสำหรับสมาชิกท่านใด ที่พลาดท่าไปเซ็นต์สัญญาแล้ว แถมยังผ่อนจ่ายไปแล้วด้วย...ผมก็คงต้องกล่าวคำว่า
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ...ไม่มีทางไปยกเลิกสัญญาได้อีกแล้วครับ (การที่ไปเซ็นต์ชื่อในสัญญา และไปจ่ายเงินให้ด้วย ในทางกฏหมายจะถือว่า เป็นการยอมรับสัญญาโดยความเต็มใจไม่ปฎิเสธ)
แต่ไม่เป็นไรครับ...ขอให้สู้ต่อไป...ขอเป็นกำลังใจให้
ถึงจะพลาดทำสัญญานรก“สมบูรณ์”ไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าจ่ายไม่ไหวจริงๆ...ก็หยุดจ่ายซะเถอะครับ ทางออกอื่นๆยังมีอีก
ถึงแม้มันจะไม่ง่ายเหมือนกับสมาชิกคนอื่นๆ ที่เขาไม่ได้ทำ“สัญญานรก”ก็ตามที แต่ถ้าคุณยังไม่ยอม“หยุดจ่าย”...หนี้ของคุณก็จะไม่หยุดเช่นเดียวกัน

รักษาเกียรติของคุณไว้
เมื่อได้รับการปฏิบัติอย่างไม่สุภาพ...

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #24242 โดย phung
เรื่อง ขอยืนยันเงื่อนไขการผ่อนชำระหนี้
อ้างถึง ... สมาชิกบัตร... สัญญาเลขที่... ซึ่ง ณ วันที่ 9 ต.ค. พ.ศ.2555 ท่านมียอดหนี้ค้างทั้งสิ้นจำนวน
38,... บาท โดยรวมค่าใช้จ่ายในการเรียกเก็บหนี้แล้วคิดเป็นเงินจำนวน 850 บาท ค้าง
ชำระมากกว่า 190 วัน (ยอดหนี้ดังกล่าวข้างต้น หากมียอดฟ้องคดี ต้องคำนวณดอกเบี้ยนับตั้งแต่
วันที่ 25/09/2554 จนถึงวันฟ้องเพิ่มเติมอีก)

ตามที่ท่านได้ตกลงเจรจาเข้าร่วมโปรแกรมส่วนลดของ บจก.... บัดนี้บริษัทได้ยอมรับผลการเจรจาประนอมหนี้โดยไม่ผิดนัดเด็ดขาด และยินยอมลดหนี้เหลือจำนวน 1X,XXX บาท โดยมีเงื่อนไขซึ่งท่านต้องชำระให้เสร็จสิ้น ภายในวันที่ 31 ต.ค. 2555

โดยหนังสือฉบับนี้ ข้าพเจ้า บจก... ในฐานะตัวแทนเรียกเก็บหนี้ของบริษัท... จึงเรียนมาเพื่อยืนยันว่าหากท่านชำระหนี้จำนวน 1X,XXX บาท ภายในเวลาที่ตกลงกันข้างต้นแล้วจะถือว่าท่านชำระหนี้เสร็จสิ้นไม่มีหนี้คงค้างอยู่กับบริษัทอีกต่อไป แต่หากท่านผิดนัดไม่ชำระหนี้ภายในเวลาที่ตกลงกันไว้ถือว่าข้อตกลงลดยอดหนี้ดังกล่าวข้างต้น เป็นอันถูกยกเลิกไปโดยทันที

***** รบกวนผู้รู้แนะนำด้วยค่ำ ชัดเจนมั้ยค่ะ รู้สึกว่าช่วงบนมันจะแปลกๆ เล็กน้อย แต่ท้ายๆ ก็ชัดเจนค่ะกลัวจะถูกหลอกค่ะ *****

ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้าด้วยค่ะ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #24246 โดย Champcyber99

phung เขียน: เรื่อง ขอยืนยันเงื่อนไขการผ่อนชำระหนี้
อ้างถึง ... สมาชิกบัตร... สัญญาเลขที่... ซึ่ง ณ วันที่ 9 ต.ค. พ.ศ.2555 ท่านมียอดหนี้ค้างทั้งสิ้นจำนวน
38,... บาท โดยรวมค่าใช้จ่ายในการเรียกเก็บหนี้แล้วคิดเป็นเงินจำนวน 850 บาท ค้าง
ชำระมากกว่า 190 วัน (ยอดหนี้ดังกล่าวข้างต้น หากมียอดฟ้องคดี ต้องคำนวณดอกเบี้ยนับตั้งแต่
วันที่ 25/09/2554 จนถึงวันฟ้องเพิ่มเติมอีก)

ตามที่ท่านได้ตกลงเจรจาเข้าร่วมโปรแกรมส่วนลดของ บจก.... บัดนี้บริษัทได้ยอมรับผลการเจรจาประนอมหนี้โดยไม่ผิดนัดเด็ดขาด และยินยอมลดหนี้เหลือจำนวน 1X,XXX บาท โดยมีเงื่อนไขซึ่งท่านต้องชำระให้เสร็จสิ้น ภายในวันที่ 31 ต.ค. 2555

โดยหนังสือฉบับนี้ ข้าพเจ้า บจก... ในฐานะตัวแทนเรียกเก็บหนี้ของบริษัท... จึงเรียนมาเพื่อยืนยันว่าหากท่านชำระหนี้จำนวน 1X,XXX บาท ภายในเวลาที่ตกลงกันข้างต้นแล้วจะถือว่าท่านชำระหนี้เสร็จสิ้นไม่มีหนี้คงค้างอยู่กับบริษัทอีกต่อไป แต่หากท่านผิดนัดไม่ชำระหนี้ภายในเวลาที่ตกลงกันไว้ถือว่าข้อตกลงลดยอดหนี้ดังกล่าวข้างต้น เป็นอันถูกยกเลิกไปโดยทันที

***** รบกวนผู้รู้แนะนำด้วยค่ำ ชัดเจนมั้ยค่ะ รู้สึกว่าช่วงบนมันจะแปลกๆ เล็กน้อย แต่ท้ายๆ ก็ชัดเจนค่ะกลัวจะถูกหลอกค่ะ *****

ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้าด้วยค่ะ[/quo
ถูกต้องแล้วครับ ยินดีด้วยครับ

ไม่แน่ใจดูตรงนี้ก็ได้ครับ

www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=8&id=829&Itemid=29 ตัวอย่างเอกสารใบ Haircut

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา - 11 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #24248 โดย Ploylyly
รายละเอียดใบHaircut ที่ต้องมีประกอบไปด้วย

1. วันที่ออกเอกสาร
2. ชื่อ นามสกุล ที่ถูกต้องของเรา
3. เลขที่บัตร หรือเลขที่สัญญา (ให้ลงให้ครบทุกตัวเลข ไม่เอา XXXX )
4. เงื่อนไข
- ยอดหนีปัจจุบัน
- ส่วนลดในการปิดบัญชี
- จำนวนงวด (ถ้ามีการต่อรองมากกว่า 1 งวด)
- กำหนดวันที่ต้องชำระ
5. ผู้มีอำนาจในการลงนาม
และมีข้อความสำคัญที่คุณต้องอ่านเป็นข้อความเล็กๆ บรรทัดล่างหน้ากระดาษ จะเป็นการบอกว่าถ้าเลยกำหนดหรือผิดเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้ ให้ถือว่าข้อตกลงนี้เป็นโมฆะ

อันนี้หล่ะครับถ้าคุณพลาดจ่ายขาด จ่ายไม่ครบ จ่ายเลยกำหนด ก็ชิบหายเลย เป็นอันว่าข้อตกลงเป็นโมฆะหรือว่างเปล่านั้นเอง ไอ้ที่ส่งมาแล้วก็เท่ากับว่านำไปลดยอดปัจจุบันเท่านั้น แล้วต้องเริมกระบวนการเจรจาใหม่ทันที

แล้วไปดูตัวอย่างห้องนิทรรศการเอกสารหนี้ด้วยครับ

โชคดีครับ
:สู้ๆ:

ไฟล์ที่แนบมาด้วย:

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 4 เดือน ที่ผ่านมา #27014 โดย phung
หลังจากหยุดจ่ายไปเมื่อ ก.พ.2554 รวมระยะเวลา 1 ปี 11 เดือน กับหนี้บัตรจำนวน 13 ใบ รวมยอดหนี้ 4 แสนบาท รายได้ปัจจุบันไม่ได้ทำงานประจำแต่พอมีรายได้ค้าขาย 7,000-10,000 บาท สถานะปัจจุบัน

1. ปิดบัตรได้ จำนวน 4 ใบ ยอดหนี้ 141,000 บาท ปิดจบยอดหนี้ 74,700 บาท
2. ไปขึ้นศาลเมื่อเดือน ต.ค.55 ที่่ผ่านมา ยังไม่มีเงินจริงๆ แต่ยอดเยอะ 80,000 บาท ปิดไม่ได้แน่นอนเก็บเงินไม่ไหว ไม่มีเงินแล้ว (แต่ก็ไม่อยากชักดาบ) ยินยอมประนีประนอมหนี้ผ่อนเดือนละ 1,500 บาท ตกลงที่ศาลไปเพราะถือว่าไหวอยู่ ส่วนหนี้ที่เหลือ 7 ใบ หนี้ไม่ค่อยเยอะ 10,000-30,000 ตั้งแต่จะรอปิดให้ได้และเจรจาขอปิดกันทุกเดือน ส่วนลดอย่างน้อยขอที่ 40-50% ทุกที่ ยอดน้อยปิดได้เลยไม่เกินหมื่น แต่ยอดใหญ่จะขอ 2-3 งวด

แต่เดือนนี้มีหมายศาลมาอีก 1 ใบ ยอดฟ้อง 85,000 บาท ทางเลือก
1. ปิดไม่ได้แน่นอนเพราะต้องใ้ช้เวลาเก็บเงินนานอยู่
2. ผ่อนก็ไม่ไหว เพราะต้องผ่อนตัวที่ไปประนีประนอมที่ศาลเดือนละ 1,500 บาท รายได้ที่เหลือต้องใช้อย่างประหยัดและเก็บเงินไว้รอปิดบัตรที่มีจำนวนหนี้น้อยๆ
3. ไปขึ้นศาลคงไม่มีอะไรจะสู้ คงต้องรอศาลพิจารณาเลยให้ชดใช้หนี้ แต่สุดท้ายยังชำระไม่ได้อยู่ดีในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ คงต้องปล่อยแล้วให้ไปฟ้องบังคับคดีต่อไป (เดินทางนี้เหมาะสมรึเปล่าค่ะ)

เงินปิดยังไม่มี ผ่อนก็ยังไม่ได้ในขณะนี้ ขอคำแนะนำด้วยค่ะทุกท่าน

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 4 เดือน ที่ผ่านมา #27016 โดย Nok2865
บัวรวมกระทู้ให้คุณสามครั้งแล้วนะคะ อย่าตั้งกระทู้ใหม่ไปเรื่อยๆทุกครั้งที่มีปัญหา เพราะเพื่อนๆและกรรมการอาจไม่รู้ที่ไปที่มาของปัญหา จะแก้ให้ไม่ตรงจุด และกระทู้มันจะเกลื่อนบอร์ด หากระทู้ลำบาก
ให้มาต่อกระทู้เดิมของตัวเองนะคะ หนึ่งคน หนึ่งกระทู้



เรื่องหนี้ คุณประเมินตัวเองก่อน ถูกต้องแล้วค่ะ
ดูรายรีบ รายจ่าย ประเมินเงินในกระเป๋าตัวเองเป็นสำคัญ
คุณมีรายรับเดือนละ 10,000 บาท อายัดไม่ได้ แล้วมีทรัพย์สินที่ตัวเองมีชื่อเป็นเจ้าของบ้างไหม ถ้ามีเจ้าหนี้ตามอายัดได้ค่ะ
คุณแก้ปัญหาค่อนข้างดี ลองไปอ่านเรื่อง "หักคอจ่าย" เพิ่มเติม
แล้วไปอ่านลูกหนี้ที่ไม่มีทรัพย์สิน ที่พี่นกอธิบายเอาไว้ ให้เข้าใจ
เป็นกำลังใจให้นะคะ

เทคนิคการจ่ายหลังมีคำพิพากษาออกมาแล้ว และหักคอจ่าย

www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=8746&Itemid=29 หากหนี้(จำเลย)ไม่มีเงินเดือ​นและทรัพย์สิน...จะเป็นอย่างไร?​

www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=5&id=11682&Itemid=29#11682 ข้อควรระวังของการใช้วิธีหักคอจ่าย ของคุณเก่ง FamilyMan

www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=10&func=view&catid=2&id=13737เทคนิคการเตะถ่วงผ่อนจ่ายหลังขึ้นศาลของคุณใกล้เป็นไท

www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=10&func=view&catid=2&id=18655 เทคนิคการจ่ายหยอดหลังพิพากษา

www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=10&func=view&catid=2&id=15909 จ่ายหยอดหลังพิพากษา

มีแม่เหล็กอยู่ในหัวใจคุณ ซึ่งจะดึงดูดมิตรแท้
คือความไม่เห็นแก่ตัวและคิดถึงคนอื่นก่อน
เมื่อคุณเรียนรู้เพื่อจะอยู่เพื่อคนอื่น พวกเขาก็จะอยู่เพื่อคุณ
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 4 เดือน ที่ผ่านมา #27025 โดย phung
พี่กอบัวขอบคุณมากค่ะ แล้วขอโทษด้วยค่ะ (ตั้งกระทู้ใหม่)

พี่กอบัวค่ะหนูอาจเส้นทางพี่ค่ะก็เลยเก็บพี่ไว้เป็นตัวอย่างในการเจรจาหนี้แต่ละครั้งจริงๆ ค่ะ คิดเอาไว้ว่าพี่ทำได้หนูก็ต้องทำให้ได้ อันที่จริงก็ทำได้เกือบทุกบัตรเลยค่ะ ตั้งใจเอาไว้ว่าทุกบัตรเราต้องเสนอเงื่อนไข 50% ไปก่อน ส่วนลดจะมากหรือน้อยค่อยต่อรองกันอีกทีแล้วแต่ละทีก็โชคดีมากที่เจอแต่สถาบันดีๆ คุยง่าย เข้าใจปัญหาเรา เขาอาจคิดว่าน้อยดีกว่าไม่ได้มั้งค่ะ

ส่วนทรัพย์สินที่ตัวเองมีชื่อเป็นเจ้าของ ไม่มีเลยค่ะ เป็นกังวลแต่บ้านที่อยู่เป็นชื่อสามีแต่เราก็จดทะเบียนสมรสกันค่ะ ก็ยังหวั่นๆ เหมือนกัน อันที่จริงตอนมีปัญหาตั้งแต่ทีแรกเมื่อปีที่แล้วก็คุยกับสามีเหมือนกันค่ะ แต่สามีว่าไม่จำเป็นต้องหย่าหลอก (เขาคงไม่อยากจะหย่ามั้งค่ะ) มันคงมีทางอื่นที่แ้ก้ปัญหาได้ อันที่จริงเคยอ่านเรื่องนี้ของคุณ Family man เหมือนกันว่าไม่จำเป็นต้องหย่า อันที่จริงถ้าตกลงเรื่องเวลาในการ่ชำระหนี้ได้ก็คงจะโอเค เดี๋ยวต้องลองกับไปนั่งหาอ่านกระทู้ของคุณ Family man อีกครั้ง เคยพูดประเด็นนี้ไว้

ขอบคุณมากค่ะที่แนะนำ และเป็นกำลังใจค่ะ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

4 ปี 5 เดือน ที่ผ่านมา #112177 โดย Piratrong0
สอบถามหน่อยครับ ผมรบกวนขอเบอร์โทรศัพท์หรือช่องทางติดต่อหน่อยครับ อยากปรึกษา

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

ผู้ดูแล: MommyangelBadmankonsiam
เวลาที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บ: 0.763 วินาที
ขับเคลื่อนโดย ระบบฟอรัม Kunena