ใครที่ยังไม่เข้าใจว่า Hair cut คืออะไร?...กรุณาเข้ามาอ่าน

12 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา - 5 ปี 7 เดือน ที่ผ่านมา #749 โดย jackTs
.
"นิยาม" ของคำว่า Hair cut

Hair cut ก็คือการจ่ายชำระมูลหนี้ ที่มีการค้างชำระกันไว้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ โดยมีข้อตกลงเจรจาเป็นการนำเสนอที่จะทำการลดมูลหนี้ที่คงค้างกันอยู่ ว่าจะมีการลดหนี้ให้เป็นจำนวนเท่าไหร่?

โดยคิดจากมูลหนี้ที่คงค้างทั้งหมด จากยอด ณ.ปัจจุบัน

ซึ่งก็คือยอดหนี้ของ ณ.วันนี้ นั่นเอง


วันที่เรากำลังเจรจาต่อรองเรื่องส่วนลดหนี้กันอยู่ ณ.ขณะนี้

- ไม่ใช่ยอดหนี้ของเงินต้นในอดีต

- ไม่ใช่ยอดหนี้ของวันที่เราเริ่มต้นหยุดจ่าย

- ไม่ใช่ยอดหนี้ที่แสดงอยู่ในเครดิตบูโร



ซึ่งส่วนมากทางเจ้าหนี้มักจะเป็นผู้เสนอว่า จากมูลหนี้ที่คงค้างอยู่ ณ.ปัจจุบันนี้ จะลดหนี้ให้เท่าไหร่? โดยการแจ้งเป็นตัวเลข ว่าจะลดให้กี่บาท หรือกี่เปอร์เซนต์ (ซึ่งส่วนมากจะเสนอตัวเลขเป็นบาท แต่ถ้าเราอยากรู้ว่าเป็นกี่เปอร์เซนต์ ก็สามารถเอามาคำนวนเองได้)

*** วิธีการ Hair cut เช่นนี้ ทางฝ่ายเจ้าหนี้จะยื่นข้อเสนอมาให้กับลูกหนี้เอง

หลังจากที่"หนี้เน่ามากๆ"แล้ว ***


ที่สำคัญคือ : ลูกหนี้ไม่ควรเป็นผู้เสนอข้อต่อรองส่วนลด หรือยื่นการเจรจา Hair cut ด้วยตนเองก่อน
เพราะถ้าหากลูกหนี้เป็นฝ่ายติดต่อเข้าไปก่อน ก็จะเท่ากับว่าลูกหนี้เป็น"ผู้ง้อ"หรือ"ผู้ขอร้อง"ต่อฝ่ายเจ้าหนี้
เจ้าหนี้ก็จะเล่นตัวได้ ในฐานะที่มันเป็น"ผู้ที่ถูกง้อ"
แต่ถ้าเจ้าหนี้มันเป็นฝ่ายติดต่อมาหาลูกหนี้เอง เพื่อให้ส่วนลดหนี้กับลูกหนี้ก่อน ก็แสดงว่าเจ้าหนี้มันเป็น
"ผู้ง้อ"เพื่ออยากได้เงินคืนจากลูกหนี้ ซึ่งจะทำให้ลูกหนี้ได้เปรียบในการเจรจาต่อรองราคาได้มากกว่า ในฐานะที่ลูกหนี้เป็น"ผู้ที่ถูกง้อ"เสียเอง


ยกตัวอย่างเช่น เรามีหนี้คงค้างอยู่ ณ.ปัจจุบันนี้ เป็นจำนวนเงิน 100,000.-บาท (หนึ่งแสนบาท) หลังจากที่หยุดจ่ายมานานมากๆแล้ว ทางเจ้าหนี้ก็เสนอมาว่า จะลดหนี้ให้เป็นจำนวน 40% ก็หมายความว่า ทางเจ้าหนี้พึงพอใจที่จะเรียกเอาเงินคืนเพียงแค่ 60,000.-บาท (60%) เท่านั้น...ส่วนอีก 40,000.-บาท (40%) นั้น...ทางเจ้าหนี้ลดหนี้ให้ ด้วยเหตุผลต่างๆดังนี้

:S - ขี้เกียจทวงแล้วโว้ย...ทวงเท่าไหร่ก็ไม่ยอมจ่ายสักที

:ohmy: - ทางเจ้าหนี้ แทงบัญชีหนี้ของเราเป็น NPL ไปแล้ว (เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้)
หรือตัดบัญชีหนี้ของเราเป็น“หนี้สูญ”ไปแล้ว

:( - เจ้าหนี้ไม่อยากตั้งทุนสำรอง“หนี้สูญ” ตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย.
เพราะเจ้าหนี้จะถูกบังคับให้ต้องตั้งเงินทุนสำรองเพื่อกันเอาไว้ 100,000.-บาท (เป็นการตั้งเงินทุนสำรอง“หนี้สูญ”ในอัตรา 100% ให้เท่ากันกับมูลหนี้ที่เป็น"หนี้เสีย"แล้ว)
ทางฝ่ายเจ้าหนี้จึงมีความคิดที่ว่า หากเอาเงินที่ตั้งสำรองหนี้สูญจำนวนนี้ ไปปล่อยเป็นเงินกู้ให้กับลูกหนี้รายใหม่คนอื่นๆ มันยังได้กำไรจากการขูดรีดอัตราดอกเบี้ยในราคาแพงๆกับลูกหนี้รายใหม่พวกนั้น ซึ่งดีกว่าการเอาเงินมาตั้งทุนสำรอง“หนี้สูญ”อยู่แบบนี้ โดยที่ไม่ได้ดอกเบี้ยใดๆจากการตั้งทุนสำรองหนี้สูญแบบนี้เลย (เงินที่ถูกบังคับให้ตั้งเป็นทุนสำรอง"หนี้สูญ"จำนวนนี้ เจ้าหนี้จะไม่ได้ดอกเบี้ยจากเงินจำนวนนี้เลย มันเป็นการเอาเงินของเจ้าหนี้มายึดเอาไว้เฉยๆเพิ่มอีก 100,000.-บาท ให้เทียบเท่ากันกับจำนวนหนี้ที่ลูกหนี้ไม่ยอมจ่าย เพื่อเป็นหลักประกันในการ"สำรองหนี้สญ"ของลูกหนี้ โดยเจ้าหนี้จะไม่ได้เงินจำนวนนี้กลับคืนไป จนกว่าเจ้าหนี้จะปิดบัญชี"หนี้เสีย"กับลูกหนี้ให้ได้เสียก่อน)
ดังนั้น หากเจ้าหนี้จะยอมขาดทุนโดยการลดหนี้ให้กับลูกหนี้ที่เป็น"หนี้เสีย"แล้ว เพื่อให้เกิดการปิดบัญชี"หนี้เสีย"ตัวดังกล่าว เจ้าหนี้ก็จะได้เงินของตัวเองที่ถูกบังคับให้เอาไปตั้งเป็นเงินทุนสำรองหนี้สูญ จำนวน 10,000.-บาทนี้กลับคืนมา แถมเจ้าหนี้ยังได้เงินสดกลับคืนมาจากลูกหนี้อีก 60,000.-บาท (ลดหนี้ให้กับลูกหนี้ 40%) เมื่อเอาเงินทั้งสองก้อนนี้มารวมกัน ก็จะเป็นจำนวนเงิน 160,000.-บาท...สู้เอาเงินจำนวน 160,000.-บาทนี้ ไปปล่อยกู้เป็นสินเชื่อหรือบัตรเครดิตในอัตราดอกเบี้ยราคาแพงๆ ให้กับลูกค้ารายใหม่คนอื่นๆยังจะดีกว่า...จริงไหม?

:dry: - ทางเจ้าหนี้ "กลัว" แพ้คดี ถ้าถึงขั้นต้องฟ้องร้องต่อศาล เพราะตัวเองก็มีการหมกเม็ด และการโกงอัตราดอกเบี้ยของลูกหนี้เอาไว้เพียบ...ดังนั้น ถ้าวันนี้ ได้เงินคืนกลับมาบ้างบางส่วน ก็ยังดีกว่าที่ได้คืนมาน้อย
หรืออาจไม่ได้คืนเลยในชั้นศาล หากตัวเองฟ้องลูกหนี้แล้วแพ้คดี (ตามสุภาษิตที่ว่า...กำขี้...ดีกว่ากำตด)

:sick: - ทางเจ้าหนี้กลัวว่าลูกหนี้จะเป็นอะไรไป...เนื่องจากการคิดสั้นของลูกหนี้ที่มีหนี้สินเยอะแยะอีรุงตุงนังเต็มไปหมด
เพราะถ้าหากลูกหนี้เป็นอะไรไป (หมายถึง ล้มหายตายจากไป) หนี้ดังกล่าว จะเป็นกลาย"หนี้สูญ"ในทันที โดยจะไปฟ้องร้องเอากับใครก็ไม่ได้ เนื่องจากมันเป็นหนี้สินส่วนบุคคล(หนี้ส่วนตัวที่ไม่มีผู้ค้ำประกัน) จึงไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ดังนั้น ถ้าเจ้าหนี้อยากจะฟ้องลูกหนี้ต่อ หลังจากที่ลูกหนี้เสียชีวิตไปแล้ว เจ้าหนี้ก็ต้องฆ่าตัวตายตามลูกหนี้ไป เพื่อไปฟ้องร้องต่อจากท่านยมบาลเอาเอง (แล้วใครมันยอมจะฆ่าตัวตายเพื่อตามไปทวงหนี้ต่อล่ะวะ)

:P - เนื่องจากเจ้าหนี้ไม่อยากตั้งทุนสำรองหนี้สูญเป็นเวลานานๆ ก็เลยขาย"หนี้เน่า"ของลูกหนี้ออกไป
ในราคาถูกๆ (เรียกได้ว่าขายหนี้กันในราคา ถูกโคตรๆ , ถูกฉิบหาย) โดยขายหนี้ให้กับสำนักงานทวงหนี้ต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมายในประเทศไทย โดยราคาในการ ซื้อ-ขาย หนี้ซึ่งกันและกัน จะอยู่ที่ประมาณ 25% ของราคาหนี้ที่ติดค้างกันอยู่ ณ ปัจจุบัน (ราคา 25%นี้ เป็นราคา ซื้อ-ขาย สำหรับหนี้ที่ยังไม่ขาดอายุความ)
สมมุติว่าเจ้าหนี้ขาย"หนี้เน่า"ของลูกหนี้ไปในราคา 25,000.-บาท จากราคาหนี้ ณ.ปัจจุบันที่ 100,000.-บาท เพื่อให้สำนักงานทวงหนี้ไปตามทวงหนี้ต่อกับลูกหนี้เอาเอง โดยสำนักงานทวงหนี้ที่ซื้อหนี้เน่ามาแล้ว ก็จะไปตั้งราคาส่วนลดหนี้ให้กับลูกหนี้ด้วยตัวเองเพื่อหวังผลกำไรอีกที
เช่น ถ้าสำนักงานทวงหนี้เสนอราคาส่วนลดหนี้ให้กับลูกหนี้ที่ราคา 60,000.-บาท ในการทำ Hair cut หลังจากที่ซื้อหนี้เน่ามาแล้วในราคา 25,000.-บาท ตัวสำนักงานทวงหนี้เองก็ยังได้กำไรจากส่วนต่างนี้ตั้ง 35,000.-บาท
ลูกหนี้ได้ส่วนลดหนี้ สำนักงานทวงหนี้ก็ได้กำไรจากการซื้อขายหนี้ ต่างฝ่ายต่างก็ได้ผลประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่

:pinch: - เจ้าหนี้รีบลดราคาในการทำ Hair cut ให้...ด้วยราคาที่งามมากๆ เนื่องจากคดีขาดอายุความในการฟ้องร้องไปแล้ว ซึ่งถ้าหากหนี้ขาดอายุความไปแล้ว ราคาส่วนลดหนี้ที่ได้ จะมากเกินกว่า 50% ขี้นไป หรืออาจสูงถึง 70%


ด้วยเหตุผลต่างๆ ตามที่กล่าวมานี้ จึงเกิดกระบวนการที่เรียกกันว่า

Hair cut เกิดขึ้น


แต่กระบวนการ Hair cut นี้ มิได้เกิดขึ้นได้โดยง่าย
ต้องผ่านการบ่มระยะเวลามายาวนานพอสมควร โดยมีสูตรดังนี้

ต้องหยุดจ่ายซะก่อน ถึงจะเกิดกระบวนการ

Hair cut ขึ้นได้



ยิ่งหยุดจ่ายนานเท่าไหร่

หนี้ก็ยิ่งเน่ามากขึ้นเท่านั้น


หนี้ยิ่งเน่ามากเท่าไหร่

ก็ยิ่งได้ส่วนลดมากขึ้นเท่านั้น



สรุป

หนี้เน่ามาก ก็ลดมาก

หนี้เน่าน้อย ก็ลดน้อย



หลายๆคนชอบเข้ามาตั้งคำถามที่ว่า
หยุดจ่ายมาได้ 3 เดือนแล้วครับ...จะได้ส่วนลดแล้วหรือยังครับ และถ้าได้ลด จะได้ส่วนลดกี่เปอร์เซนต์ครับ

คำตอบที่ชัดเจนก็คือ

ยัง!...และไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย

เพราะการหยุดจ่ายเพียงแค่ 2-3 เดือน มันเป็นเพียงบันไดก้าวแรก ที่จะไปสู่กระบวนการ Hair cut อันแท้จริงต่อไป

การ Hair cut ที่แท้จริง มันต้องหยุดจ่ายนาน 8-10 เดือนขึ้นไปเป็นอย่างน้อย หรือบางทีอาจต้องรอเป็นปี หรือจนถึงขั้นได้รับหมายศาลแล้วนั่นแหละ

จึงมีคำถามต่อมาอีกว่า...
แล้วถ้าเช่นนั้น ต้องหยุดจ่ายนานเท่าไหร่? ถึงจะได้รับหมายศาลล่ะ?

คำตอบก็คือ

เฉลี่ยโดยทั่วไปแล้ว ประมาณ 1 ปีครับ

แต่บางราย...ก็นานเกินกว่า 1 ปีนะครับ

สำหรับส่วนลดที่ทางเจ้าหนี้เสนอมาให้ โดยทั่วๆไป ก็มีตั้งแต่ 30% , 40% , 50% , 60% , 70% ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการเจรจา , เทคนิคการต่อรอง , นโยบายส่วนลดหนี้ของสถาบันการเงินนั้นๆ และ ความ“เน่า ”ของหนี้ที่หยุดจ่าย



เพียงแต่อยากให้มองว่า เงื่อนไขที่ทางเจ้าหนี้เสนอมานั้น เราจ่ายไหวไหม? น่าสนใจและรับได้หรือเปล่า? อย่าไปมองเพียงแค่ต้องการให้ได้ส่วนลดเยอะๆเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ให้พิจารณาว่าถ้าเราจ่ายไปแล้ว เราจะได้ลดเจ้าหนี้ไปอีกหนึ่งราย(ได้ลดศัตรูในการทวงหนี้ไปแล้วอีกหนึ่งที่) ที่เหลือก็ค่อยๆมาปลดหนี้ทีละรายต่อไป ตามกำลังและความสามารถ (แต่ต้องจ่ายไหวจริงๆนะ ห้ามไปกู้หนี้ยืมสินที่ต้องเสียดอกเบี้ยจากที่อื่นมาปิด Hair cut อีก มิฉะนั้น มันจะไม่มีวันจบสิ้น)...ถ้าสามารถทำได้เช่นนี้ ก็จะสามารถปลดหนี้ได้โดยเร็ววัน

และทั้งนี้ทั้งนั้น...ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้รายไหนๆ เงื่อนไขของการ Hair cut ก็เหมือนๆกันหมดทั้งนั้น คือ
การเสนอส่วนลดให้ในราคาที่งามมาก แต่ต้องจ่ายชำระคืนเพียง“งวดเดียว ”เท่านั้น…โดยไม่มีการผ่อน (จ่ายปิด“ตูมเดียว”เพื่อปิดบัญชีหนี้เน่า)

แต่ก็มีบางคนถามต่ออีกว่า...แล้วถ้าอยากได้ส่วนลด Hair cut เนื่องจากหนี้ก้อนนี้มันเน่ามากพอสมควรแล้ว แต่เราไม่สามารถจ่ายแบบ“งวดเดียว”หรือ“ตูมเดียว”เพื่อปิดบัญชีได้...เราสามารถขอส่วนลดด้วย และก็ขอผ่อนต่อด้วย จะได้ไหม?

ผมจะขอตอบว่า...ไอ้ได้น่ะ มันได้อยู่หรอกนะครับ แต่ทางฝ่ายเจ้าหนี้มันจะไม่ยอมให้คุณสามารถผ่อนต่อ ในระยะเวลานานๆหรอกนะครับ (เต็มที่สูงสุด มันก็ยอมให้ผ่อนได้ในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือนเท่านั้น) และส่วนลดที่มันจะให้ ก็จะแตกต่างกันไปด้วย ขอยกตัวอย่างให้ดูตามนี้นะครับ

สมมุติว่าเมื่อปีที่แล้ว เรามีหนี้บัตรเครดิตอยู่กับธนาคาร A เป็นจำนวนเงิน 80,000.-บาท แล้วเราก็หยุดจ่ายหนี้ตัวนี้มานานประมาณ 1 ปีแล้ว...โดย ณ.ปัจจุบัน(ณ.ตอนนี้) หนี้เงินต้น+ดอกเบี้ย+ค่าทวงถามหนี้ ปาเข้าเป็นจำนวนเงิน 100,000.-บาทแล้ว โดยทางฝ่ายเจ้าหนี้ได้ติดต่อขอให้เราชำระหนี้ทั้งหมด เพื่อทำการปิดบัญชี โดยจะมีส่วนลดให้ด้วย ถ้าสามารถจ่ายแบบ“งวดเดียว”(ตูมเดียว)ได้ ก็จะให้ส่วนลดครึ่งหนึ่ง(50%) จากราคาหนี้ ณ.ปัจจุบัน (ที่ 100,000.-บาท)

ถ้าเราตอบกลับไปว่า จ่าย“งวดเดียว”ไม่ไหว ขอผ่อนได้ไหม...ราคามันก็จะเป็นไปตามนี้ครับ

-ถ้าสามารถจ่าย“งวดเดียว”ได้...ก็จ่ายเพียง 50,000.-บาท เพื่อปิดบัญชี ส่วนลด 50%
-ถ้าขอผ่อน 2 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 27,500.-บาท (รวม 2 งวดก็เป็นเงิน 55,000.-บาท) ลด 45%
-ถ้าขอผ่อน 3 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 20,000.-บาท (รวม 3 งวดก็เป็นเงิน 60,000.-บาท) ลด 40%
-ถ้าขอผ่อน 4 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 16,250.-บาท (รวม 4 งวดก็เป็นเงิน 65,000.-บาท) ลด 35%
-ถ้าขอผ่อน 5 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 14,000.-บาท (รวม 5 งวดก็เป็นเงิน 70,000.-บาท) ลด 30%
-ถ้าขอผ่อน 6 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 12,250.-บาท (รวม 6 งวดก็เป็นเงิน 75,000.-บาท) ลด 25%



ก็แล้วแต่คุณไปพิจารณาเอาเองนะครับ ว่าอยากได้ส่วนลดในราคาแบบไหน


และสุดท้ายแล้ว สำหรับคำว่า Hair cut

Haircut สามารถทำได้จนถึงเมื่อไหร่?

คำตอบก็คือ Hair cut สามารถทำได้ตลอด

ทุกช่วงเวลาหลังจากที่"หนี้"ของเรา"เน่า"แล้ว
...ไม่ว่าจะเป็น

- ก่อนได้รับหมายฟ้อง (แต่ต้องหยุดจ่ายนานๆ หลายๆเดือนซะก่อนนะครับ)
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันที่ต้องไปขึ้นศาล
- ขึ้นศาลแล้ว แต่ยังอยู่ในระยะเวลาระหว่างการต่อสู้คดี โดยรอขึ้นศาลอีกครั้งในนัดหน้านัด หรือนัดต่อไป (ศาลยังไม่ได้พิพากษา)
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว และไปขึ้นศาลมาแล้ว โดยไปทำ"สัญญาไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความ"ที่ชั้นศาลมาแล้ว
- ถูกศาลพิพากษาแล้ว และอยู่ในระหว่าง รอการจ่ายชำระหนี้คืนตามคำพิพากษา
- ถูกศาลพิพากษาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้จ่ายชำระหนี้คืน จนกระทั่งถูกอายัดเงินเดือน หรือถูกอายัดทรัพย์สินอยู่ในขณะนี้

เห็นไหมล่ะครับ ว่า Hair cut สามารถทำได้ตลอดชีพจริงๆ

แต่การ Hair cut ที่ได้ราคางามที่สุด (หรือที่เรียกว่า "นาทีทอง" นั้น...มักจะอยู่ในช่วงของเวลาดังต่อไปนี้
- หยุดจ่ายนานเกิน 10 เดือนขึ้นไป
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันที่ต้องไปขึ้นศาลในนัดแรก
- ขึ้นศาลแล้ว แต่ยังอยู่ในระยะเวลาระหว่างการต่อสู้คดี อีกหลายนัด (ยังไม่ได้พิพากษา)
ถ้าพ้นกำหนดช่วงเวลาดังกล่าวนี้ไปแล้ว โปรโมชั่น "นาทีทอง" อาจหมดไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำ Hair-cut ไม่ได้...เพียงแต่ว่า อาจไม่ได้ราคางามๆตามโปรโมชั่นของ "นาทีทอง" ก็เท่านั้นเอง

และที่สำคัญ การทำ Hair cut จะต้องให้ทางเจ้าหนี้ออกเอกสาร

ยืนยันว่า จะลดหนี้ให้ตามเงื่อนไขที่เจรจาตกลงกันไว้ ด้วยทุกครั้ง

โดยเราต้องได้รับหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางเจ้าหนี้

ก่อนที่จะทำการจ่ายชำระ Hair cut ใดๆ


อย่าไปจ่ายหนี้ที่ตกลงกันด้วยวาจาผ่านทางโทรศัพท์โดยเด็ดขาด (สัญญาหรือข้อตกลงใดๆ ที่เป็นแค่วาจาหรือ“ลมปาก” ไม่สามารถใช้เป็นข้อยืนยันในทางกฏหมายได้)

ขอย้ำอีกครั้ง...ถ้าคุณยังไม่ได้รับหนังสือยืนยันการ

ลดหนี้ (หนังสือ Hair cut) เสียก่อน

ห้ามจ่ายโดยเด็ดขาด...!


ระวัง...ถูกหลอกให้จ่ายเงินเข้าไปเพื่อหักหนี้ในราคาเดิม(ไม่มีส่วนลด) โดยโกหกว่าจะยอมลดราคา Hair cut ให้ด้วยคำพูด หรือการรับปากกันทางโทรศัพท์ แต่แล้วก็ไม่ยอมทำ Hair cut ให้จริงๆ

มีลูกหนี้โดนหลอกมานับไม่ถ้วนแล้วนะครับ ...ขอเตือน...






สำหรับตัวอย่างหนังสือ Hair cut สามารถไปดูได้จากใน Link นี้

ตัวอย่างเอกสารใบ Haircut
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=8&id=829&Itemid=52

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ly89, Nok2865, Pych, Skynine, Sucha7889, meawpung, Hathaichanok05, Tanyamon2530, AOF9888, Lazio009

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา - 6 ปี 4 เดือน ที่ผ่านมา #6235 โดย jackTs
.
ระยะเวลา และขั้นตอนในการทวงหนี้


1. ทวงหนี้ทางโทรศัพท์ (1-2 เดือนแรก) โดยสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ตัวจริง

2. ทวงหนี้ทางโทรศัพท์ + จดหมายทวงหนี้ (ช่วงเดือนที่ 2-3) โดยเริ่มมีการเสนอให้ทำ"ประนอมหนี้" , "ปรับโครงสร้างหนี้" (ซึ่งสรุปก็คือหลอกให้ทำ"สัญญา_นรก"นั่นแหละ แต่เรียกชื่อให้มันดูไพเราะสักหน่อย ก็เท่านั้น) หรือ อาจโทรมาหลอกลวงให้ลูกหนี้ทำการ"จ่ายหยอด"เพื่อเดินบัญชี...เป็นต้น
ข้อเสียของการ "จ่ายหยอด" เพื่อเดินบัญชี
www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=19608&Itemid=64

3. ส่งเรื่องออกไปให้สำนักงานกฏหมายข้างนอก ให้เป็นผู้ทำการทวงหนี้แทน ซึ่งเป็นบริษัททวงหนี้
ลำดับที่ 1
(ช่วงเดือนที่ 4-6) พร้อมกับเสนอให้ส่วนลดในการ Hair cut ประมาณ 20-30% (แล้วแต่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ จะเป็นผู้กำหนดราคา)
...ซึ่งการส่งเรื่องออกไปให้บริษัทรับจ้างทวงหนี้ข้างนอก ให้เป็นผู้ทำการทวงหนี้แทนตัวมันนี่แหละครับ ที่พวกมันชอบเรียกกันว่า"ส่งเรื่องไปตามระบบ หรือ "ส่งเรื่องออกไปข้างนอก"

4. ถ้าสำนักงานกฏหมาย ที่เป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 1 ทวงหนี้ไม่ได้ ก็เลิกจ้างมันทวง แล้วหันไปเปลี่ยนเป็นสำนักงานกฏหมาย ที่เป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 2 ให้มาทวงหนี้ต่อ (เดือนที่ 7-9) พร้อมกับเสนอให้ส่วนลดในการ Hair cut ประมาณ 30-40% (แล้วแต่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ จะเป็นผู้กำหนดราคา)

5. ถ้าสำนักงานกฏหมาย ที่เป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 2 ก็ยังทวงหนี้ไม่ได้อีก ก็เลิกจ้างมันทวง แล้วหันไปเปลี่ยนเป็นสำนักงานกฏหมาย ที่เป็นบริษัททวงหนี้ลำดับที่ 3 ให้มาทวงหนี้ต่ออีก (ช่วงเดือนที่ 10-12) พร้อมกับเสนอให้ส่วนลดในการ Hair cut ประมาณ 40-50% (แล้วแต่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ จะเป็นผู้กำหนดราคา)

6. ถ้าเปลี่ยนสำนักงานกฏหมายทวงหนี้ไปตั้งหลายบริษัทแล้ว ยังไงก็ทวงไม่ได้สักที ก็ส่งฟ้องศาล (เดือนที่ 12 เป็นต้นไป จนถึงปีครึ่ง) โดยยังคงมีข้อเสนอเรื่องส่วนลดในการ Hair cut ให้อยู่ แต่เป็นราคาช่วงที่งามที่สุด (หรือที่เรียกกันว่า "นาทีทอง" ในการทำ Hair cut โดยสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ เป็นผู้กำหนดราคา)

ดังนั้น หากมีลูกหนี้บางราย ที่เจ้าหนี้มันทำเรื่องฟ้องศาลช้ากว่าปกติ (เกินกว่า 1ปีขึ้นไป)
ลูกหนี้อาจถูกทวงหนี้โดยสำนักงานกฏหมาย(บริษัททวงหนี้) ที่ต้องถูกเปลี่ยนบริษัททวงหนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ซ้ำหน้ากัน เกินกว่า 5บริษัททวงหนี้...หรือจนกว่าหมายศาลฟ้องจะมา




ข้อสังเกตุ : ณ ปัจจุบันนี้ มีบริษัทรับจ้างทวงหนี้ในประเทศไทยทั้งหมด ประมาณพันกว่าบริษัท

ซึ่งบริษัทรับจ้างทวงหนี้พวกนี้ ส่วนใหญ่มักตั้งชื่อที่ใช้จดทะเบียนในนามนิติบุคคลว่า "สำนักงานกฏหมาย" หรือ "สำนักงานทนายความ" เพื่อสร้างความตกใจต่อลูกหนี้...เพราะในชื่อของบริษัทดังกล่าว มีคำว่า "กฏหมาย" หรือ "ทนายความ" ปรากฏอยู่ด้วย

พอลูกหนี้ได้ยินหรือได้เห็นชื่อของบริษัททวงหนี้เหล่านี้ ก็มักเกิดความกลัวและคิดไปเองว่า "เรื่องหนี้ของฉัน ตกไปอยู่ในขั้นตอนของกฏหมายแล้วหรือนี่? , สงสัยจะโดนฟ้องแล้วแน่เลย?"...แต่โดยแท้จริงแล้ว บริษัทพวกนี้ มีอาชีพหรือรายได้หลักมาจากการ"รับจ้างทวงหนี้ "เท่านั้น

และถ้าหากบริษัทรับจ้างทวงหนี้รายแรก ไม่สามารถทวงหนี้ได้ตามที่ทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง) ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างได้กำหนดไว้ (ซึ่งส่วนมากทางสถาบันการเงิน จะกำหนดให้บริษัทที่รับจ้างทวงหนี้ ต้องทวงหนี้ให้ได้ภายในระยะเวลา 2-3 เดือนเท่านั้น) บริษัทที่รับจ้างทวงหนี้ดังกล่าว ก็จะถูกทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง) ทำการ"ถีบหัวส่ง"ออกไป...เพราะถือว่า"ไร้ความสามารถ"ในการทวงหนี้ให้ได้ภายใน 2-3 เดือน ตามที่เจ้าหนี้ตัวจริงได้กำหนดเอาไว้

แล้วหลังจากนั้น...ทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง)ก็จะไปทำการว่าจ้างบริษัทรับจ้างทวงหนี้รายใหม่ ให้มาทำการทวงหนี้แทนบริษัทรับจ้างทวงหนี้รายเดิมที่ถูก"ถีบหัวส่ง"ออกไป โดยกำหนดว่าจะต้องทวงหนี้ให้ได้ภายในระยะเวลา 2-3 เดือน เช่นกัน

หากบริษัทรับจ้างทวงหนี้รายที่สองนี้ ก็ยังไม่สามารถทวงหนี้กับลูกหนี้ได้ภายใน 2-3 เดือนอีก ก็จะถูก"ถีบหัวส่ง"ออกไปอีก แล้วทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง)ก็จะไปว่าจ้างบริษัททวงหนี้รายที่ สาม , สี่ , ห้า ให้มาทำหน้าที่ทวงหนี้แทนเหมือนเดิม...เป็น"วัฏจักร"เช่นนี้เรื่อยไปตลอด จนกว่าจะทวงหนี้ได้สำเร็จ(Hair cut สำเร็จ) หรือจนกว่าจะฟ้องศาล ซึ่งอาจใช้ระยะเวลานานเป็นปี

ในเมื่อ"บริษัทรับจ้างทวงหนี้"ในประเทศไทย มันมีจำนวนมากมายนับพันบริษัท
ทางสถาบันการเงิน(เจ้าหนี้ตัวจริง) จึงสามารถใช้บริการว่าจ้างบริษัทไหนก็ได้ โดยเรียกมาใช้งานได้แบบง่ายๆ และก็สามารถ"ถีบหัวส่ง"เปลี่ยนให้ออกไปได้ง่ายๆเช่นกัน หากมันไร้น้ำยาในการทวงหนี้ได้สำเร็จ


แล้วอีกอย่างหนึ่ง บริษัทรับจ้างทวงหนี้เหล่านี้ ก็ไม่ได้มีรายได้เป็นเงินเดือน สำหรับค่าว่าจ้างในการทวงหนี้จากทางเจ้าหนี้ตัวจริง แต่จะได้รับเป็น"เงินค่าคอมมิชชั่น"ตามจำนวนเงินที่ทวงหนี้มาได้สำเร็จ (ก็คล้ายๆกับอาชีพ"เซลล์แมน"ขายของนั่นแหละ หากขายของได้ ถึงจะได้ค่าคอมมิชชั้น หากขายของไม่ได้ก็"อด")

ด้วยสาเหตุนี้...จึงเป็นบ่อเกิดแห่ง"การทวงหนี้ที่ไร้จริยธรรม"จากบริษัทที่รับจ้างทวงหนี้บางราย ซึ่งใช้วิธีการทวงหนี้แบบเลวๆ ในลักษณะของการข่มขู่และกดดันลูกหนี้ เพื่อให้ตัวเองได้เงินมาจากลูกหนี้ไห้ได้(ไม่งั้นจะโดน"ถีบหัวส่ง"และ"อด แdก ค่าคอมฯด้วย") จึงต้องใช้วิธีในการทวงหนี้แบบชั่วๆ หรืออ้างข้อกฏหมาย"มั่วๆ" เพื่อข่มขู่ลูกหนี้ต่างๆนาๆ

หากใครโดนการข่มขู่ทวงหนี้ด้วยวิธีการเลวๆแบบนี้ ก็อย่าไปตกใจ สามารถไปดูวิธีการรับมือการทวงหนี้และการใช้สิทธิ์ปกป้องตนเองได้จากในกระทู้นี้

รู้ทันการทวงหนี้ / เตรียมรับมือการทวงหนี้
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=7&id=18758&Itemid=64

โปรดเกล้าฯ ก.ม.ทวงหนี้ฉบับใหม่ ห้ามข่มขู่ ดูหมิ่น ก่อความรำคาญ (ชมคลิป)
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=42576&Itemid=64

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Nok2865, Lazio009

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา - 8 ปี 4 เดือน ที่ผ่านมา #6341 โดย jackTs
.
สัญญา_นรก” คืออะไร?

สัญญา นรก” ก็คือสัญญาที่ทางฝ่ายเจ้าหนี้หยิบยื่นเงือนไขให้กับลูกหนี้ หลังจากที่ลูกหนี้หยุดชำระหนี้บัตรเครดิต หรือหยุดชำระหนี้สินเชื่อ มานานสักระยะหนึ่งแล้ว(หยุดจ่ายประมาณ 2-3 เดือนขึ้นไป) โดยทางเจ้าหนี้จะเสนอให้ทางฝ่ายลูกหนี้กู้เงินก้อนใหม่จากทางเจ้าหนี้ เพื่อไปปิดหนี้ตัวเดิมที่ได้หยุดจ่ายไป แล้วมาผ่อนต่อในสัญญาเงินกู้ตัวใหม่นี้แทน โดยเสนอว่าจะลดดอกเบี้ยให้ และยอดผ่อนจ่ายต่อเดือนน้อยลง แต่ระยะเวลาในการผ่อนจ่ายนานขึ้น(เช่น 4 - 5 ปี)เป็นต้น

เงินกู้ก้อนใหม่ที่ได้มานี้ จะเอาไปใช้ปิดหนี้ที่ค้างชำระของเดิมเลยโดยตรง เงินก้อนนี้จะไม่ผ่านมือของลูกหนี้เลยแม้แต่น้อย

ยกตัวอย่างเช่น นายพอเพียงมียอดหนี้บัตรเครดิตอยู่ 50,000 บาท แล้วนายพอเพียงก็หยุดจ่ายหนี้มานานประมาณ 3 เดือนแล้ว จนยอดหนี้กลายเป็น 56,200 บาท (ยอดหนี้เมื่อสามเดือนก่อน + ดอกเบี้ย + ค่าปรับล่าช้า) แล้วทางเจ้าหนี้ก็เสนอให้นายพอเพียงทำสัญญานรก เพื่อกู้เอาเงิน 56,200 บาท ไปจ่ายปิดหนี้ของบัตรเครดิต แล้วมาผ่อนหนี้กับสัญญานรกตัวนี้แทน ซึ่งคิดดอกเบี้ย 13% ต่อปี และสามารถผ่อนได้ยาวนานถึง 5ปี(60งวด) โดยผ่อนงวดละ 1,546 บาท เป็นต้น

สัญญานรกประเภทนี้ จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป(ขึ้นอยู่กับเจ้าหนี้แต่ละราย ว่าจะตั้งชื่อเรียกว่าอะไร) เช่น

- สัญญาประนอมหนี้

- สัญญาปรับโครงสร้างหนี้

- สินเชื่อศุภฤกษ์

- สินเชื่อรีไรท์

- สินเชื่อผ่อนสบาย
(แต่ไปตายในภายภาคหน้า)...เป็นต้น

ไม่ว่าจะมีชื่อเรียกเป็นอย่างไรก็ตาม ต่างก็เป็น“สัญญานรก”ทั้งนั้น เพียงแต่เรียกชื่อให้มันฟังดูไพเราะเสนาะหู ก็เท่านั้นเอง


ข้อดี-ข้อเสีย ของการทำ"สัญญา นรก"

ข้อดีก็คือ

- ได้ยืดระยะเวลาในการชำระหนี้ออกไป ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญาเดิม และอาจมีการเสนอรวมหนี้ให้ด้วย เช่น มีข้อเสนอว่าจะรวมหนี้ให้ทั้ง บัตรเครดิต+สินเชื่อบุคคล ให้มารวมเป็นยอดหนี้อยู่ในสัญญานรกเดียวกัน(สำหรับเจ้าหนี้รายเดียวกัน) พร้อมกับคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่าเดิม โดยไม่เกิน 15% ต่อปี เป็นต้น

- เจ้าหนี้ไม่โทรมาทวงหนี้ให้รำคาญ

- เหมาะสำหรับพวกลูกหนี้“หน้าบาง” ที่กลัวคนอื่นจะรู้ว่าตัวเองเป็นหนี้ เพราะกลัวจะอับอายขายขี้หน้า ทั้งๆที่เรื่องหนี้เป็นแค่เรื่องธรรมดา เป็นได้แค่เพียง“คดีแพ่ง” ไม่ได้ติดคุกติดตะราง เหมือนกับคดีของพวกที่ฆ่าคนตายหรือค้ายาบ้า

- เหมาะสำหรับลูกหนี้ที่ชอบปิดบังความจริงเรื่องการเป็นหนี้ กับคนในครอบครัวของตนเอง โดยยอมที่จะซื้อเวลาออกไปอีกสักระยะ และยอมที่จะพบกับสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คิดแต่เพียงแค่ให้ปัญหาหนี้ มันผ่านพ้นเพียงแค่วันนี้ไปก่อน โดยไม่ยอมแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่เลือกที่จะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไปวันๆ
เปรียบเสมือนกับคนที่ป่วยเป็น“ไส้ติ่งอักเสบ” ซึ่งทางรักษาให้หายก็คือ ต้องไปหาหมอเพื่อผ่าตัดเอาไส้ติ่งที่อักเสบออก จึงเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ
แต่ถ้าดันไปกลัวหมอ กลัวเข็มฉีดยา กลัวการผ่าตัด กลัวโน่นกลัวนี่สารพัด ก็เลยเลือกที่จะไปซื้อ“ยาแก้ปวด”มากินแก้ปวดไปวันๆ ซึ่งเป็นการบรรเทาอาการป่วยที่ปลายเหตุเฉพาะหน้า ยอมอดทนรอคอยวันที่ไส้ติ่งแตก และเมื่อวันนั้นมาถึงก็อาจสายเกินแก้แล้ว

- วิธีนี้อาจเหมาะสำหรับลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้“เพียงรายเดียว”เท่านั้น และต้องเป็นยอดหนี้ที่ไม่สูงมากนัก
โดยเมื่อคำนวนออกมาแล้ว ตัวลูกหนี้เองต้องมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถผ่อนจ่ายในระยะยาวได้จริงๆ เพราะถ้าหากในอนาคต ลูกหนี้เกิดตกงานหรือขาดรายได้ประจำขึ้นมา ทำให้ไม่สามารถจ่ายตาม“สัญญานรก”ได้ดังเดิม วันนั้นแหละครับ ที่จะได้รู้ว่า“ไส้ติ่งแตก”มันเป็นอย่างไร




ข้อเสียก็คือ

- เป็นการฉีกสัญญาตามในใบสมัครเดิมทิ้ง แล้วให้มาใช้เงื่อนไขตามใน"สัญญานรก"ฉบับใหม่ทันที

- เป็นการแก้ไข“สัญญาที่ผิดกฏหมาย” เปลี่ยนให้มาเป็น“สัญญาที่ถูกต้องตามกฏหมาย
เหตุผลเพราะสัญญาฉบับเดิม เป็นสัญญาที่มีการคิด“ดอกเบี้ย”เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด (กฎหมาย ปพพ.ตามรัฐธรรมนูญ ให้คิดอัตราดอกเบี้ยได้สูงสุดไม่เกิน 15% ต่อปี) แต่สัญญาในใบสมัครบัตรเครดิต มีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 20% ต่อปี , สัญญาสินเชื่อ/เงินกู้ มีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 28% ต่อปี , สัญญาบัตรกดเงินสด มีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 28% ต่อปี...ซึ่งดอกเบี้ยทั้งหมดทั้งมวลนี้ เกินที่กว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนด (เพราะในกฎหมายเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามคิดดอกเบี้ยเกินกว่า 15% ต่อปี)

แต่ใน“สัญญานรก”ฉบับใหม่นี้ จะมีการแก้ไขอัตราดอกเบี้ยให้ลงลด ไม่ให้เกินกว่าที่กฏหมายกำหนดไว้ (ซี่งเป็นการเปลี่ยนจาก“ดำ”ให้เป็น“ขาว” / เปลี่ยนจาก“ชั่ว”ให้เป็น“ดี” / เปลี่ยนจาก“ผิด”ให้เป็น“ถูก”)...เพื่อที่เวลาสู้คดีกันที่ชั้นศาล เจ้าหนี้จะได้ชนะคดี โดยสามารถอ้างต่อศาลได้ว่า ในสัญญาคิดดอกเบี้ยไม่เกินกว่าที่กฏหมายกำหนดแล้ว ลูกหนี้ก็จะแพ้คดีไปโดยปริยาย

- เป็นการทำสัญญาประเภท“คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย”ที่ไม่เป็นธรรม(คิดดอกเบี้ยทบต้น)
ถ้าดูกันเผินๆอาจมองได้ว่า...เออก็ดีนะ กับสัญญานรกตัวใหม่นี้ เพราะดอกเบี้ยถูกลงไปตั้งเยอะเลย เหลือแค่ 13% ต่อปีเท่านั้นเอง...แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

เหตุผลจากกรณีตัวอย่างของนายพอเพียง ที่ถูกหลอกให้ทำสัญญานรก โดยเอายอดเงิน 56,200 บาท มาเป็นเงินต้นในสัญญานรก แทนที่จะเอาเงินต้นที่ 50,000 บาทมาเป็นเงินต้นในสัญญา ซึ่งเป็นการโกงโดยใช้วิธี“คิดดอกเบี้ยทบต้น” เพราะเงินจำนวน 56,200 บาทนี้ เกิดจากการเอาเงินต้นเดิมที่ 50,000 บาท + ดอกเบี้ย + ค่าปรับล่าช้า เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงออกมาเป็นจำนวนเงิน 56,200 บาท
ดังนั้นถ้าหากเอาจำนวนเงิน 56,200 บาทนี้ เป็นตัวตั้งของเงินต้นใหม่ในสัญญานรก ก็ถือเป็นการเอาดอกเบี้ยจากบัตรเครดิตของเดิม(20% ต่อปี) มาทำเป็นเงินต้นด้วย เพราะเงินก้อนนี้มันได้ถูกบวกดอกเบี้ยมาเรียบร้อยแล้ว แล้วยังเอามาทำเป็นเงินต้นก้อนใหม่เพื่อคิดดอกเบี้ยใหม่ซ้ำเข้าไปอีก ในอัตรา 13% ต่อปีตามสัญญานรก
ถ้าหากจะทำให้มันถูกต้องจริงๆ ก็ต้องเอาจำนวนเงิน 50,000 บาท มาทำเป็นเงินต้นสิครับ แล้วค่อยมาคิดดอกเบี้ย 13% ต่อปี จากเงินต้นที่ 50,000 บาท...จึงจะเรียกได้ว่า ไม่เอาดอกเบี้ยเดิมมาทบต้น...จริงไหม?

คุณเคยคิดไหมว่า ตอนที่เรายังเป็น"ลูกหนี้ชั้นดี"อยู่(ยังไม่ได้หยุดจ่าย) ทำไมทางฝ่ายเจ้าหนี้มันถึงไม่คิดดอกเบี้ยกับเราที่ 13% ต่อปี (เสือกคิดดอกเบี้ยกับเราตั้ง 20-28% ต่อปีมาโดยตลอด)
แต่พอเราเป็น"ลูกหนี้ชั้นเลว"(หยุดจ่ายแม่งหลายๆเดือน) กลับมาทำใจดี ลดดอกเบี้ยให้เหลือแค่ 13% ต่อปี แถมยังให้ผ่อนได้อีกตั้ง 5ปี

แล้วทำไมมันถึงไม่คิดดอกเบี้ยกับเราที่ 13% ต่อปี เสียตั้งแต่ทีแรกเลยวะ?

- หากมีหนี้หลายราย แล้วลูกหนี้ดันไปทำสัญญานรกไว้ทุกราย สุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิม ก็คือการจ่ายไม่ไหวเพราะมีหนี้มากราย แล้วก็ต้องหยุดจ่ายอยู่ดี

- หากทำสัญญานรกไปแล้ว แต่จ่ายไม่ไหว จึงจำเป็นต้องจ่ายผ่อนค่างวดน้อยกว่าที่กำหนดไว้ในสัญญา หรือ จ่ายบ้าง-หยุดบ้าง หรือหยุดจ่าย จะถูกฟ้องเร็วมาก
เหตุผลเพราะทางฝ่ายเจ้าหนี้ ได้ทำการแก้ไขสัญญาให้ถูกต้องตามกฏหมาย โดยจะมัดลูกหนี้ให้“ดิ้นไม่หลุด”และไม่มีประเด็นต่อสู้คดีในทางกฏหมายด้วย แล้วเมื่อฟ้องคดี ทางฝ่ายเจ้าหนี้จะใช้สัญญานรกฉบับใหม่นี้ นำฟ้องต่อศาลโดยไม่อ้างถึงสัญญาฉบับเดิมเลยแม้แต่น้อย จึงไม่มีความจำเป็นต้องรอระยะเวลาให้เนิ่นนานออกไปอีก เพราะถึงอย่างไรทางฝ่ายเจ้าหนี้ก็ชนะคดีอยู่แล้ว

- การขอส่วนลดหนี้ (Hair cut) หลังจากที่ไปทำสัญญานรกไว้แล้ว จะได้ราคา Hair cut ที่ไม่งาม
เหตุผลคล้ายกับที่อธิบายไว้ข้างบน ก็ในเมื่อลูกหนี้ดันพลาดไปทำสัญญานรกเอาไว้แล้ว ทางฝ่ายเจ้าหนี้ก็ได้เปรียบเต็มๆในทางกฏหมาย กล่าวคือหากลูกหนี้หยุดจ่ายเมื่อไหร่ ก็ไปฟ้องศาลเพื่อบีบบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้เต็มตามจำนวนได้สบายเลย เพราะทางฝ่ายเจ้าหนี้มีโอกาสชนะคดีแบบใสๆ แล้วจะไปยอมขาดทุนโดยให้ส่วนลดหนี้(Hair cut)ให้กับลูกหนี้เยอะๆไปทำไม?

- เป็นการตัดอายุความของหนี้ตัวเดิมทิ้ง แล้วให้เริ่มนับอายุความกันใหม่ หากหยุดจ่ายหนี้ของสัญญานรก
ขอเตือนเพิ่มเติมว่า อายุความของ“สัญญานรก”นั้น...ส่วนใหญ่จะถูกจัดให้เป็นหนี้ประเภทสินเชื่อ(ซึ่งมีอายุความ 5 ปี) แต่ก็มี“สัญญานรก”บางแห่ง แอบเขียนระบุในสัญญาไว้ว่าเป็นหนี้ประเภท“เงินกู้” สัญญานรกพวกนี้ก็จะมีอายุความเทียบเท่ากับ“สัญญาเงินกู้”ทันที(ซึ่งมีอายุความ 10 ปี)


*** สามารถไปอ่านเพิ่มเติมเรื่อง“อายุความ” ได้จากในกระทู้นี้ ***
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=7&id=813&Itemid=29


เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ

ที่บอกว่า"ผ่อนสบาย"แล้วไปตายในภายหน้า

มันเป็นอย่างไร

.

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Skynine, Lazio009

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

12 ปี 2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา - 7 ปี 8 เดือน ที่ผ่านมา #6677 โดย jackTs
.
มีสมาชิกอยู่หลายๆท่านที่ตั้งคำถาม ถามมาอยู่บ่อยๆว่า

- เพิ่งได้รู้จักเวปบอร์ดแห่งนี้

- เพิ่งได้เข้ามาอ่านความรู้ต่างๆ

- เพิ่งได้รู้ความจริงว่า การทำ“สัญญา นรก” นั้น...มันเลวร้ายเพียงใด


แต่...กว่าจะมารู้ก็พลาดท่าไปเสียแล้ว เพราะเพิ่งไปเซ็นต์ทำ“สัญญา นรก”ไปแล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

แต่...ก็ยังไม่ได้ไปจ่ายเงินค่าผ่อนสำหรับ“งวดแรก”ของสัญญานรกเลยนะ เพราะเพิ่งเซ็นต์สัญญากันไปเมื่อไม่นาน ยังไม่ถึงวันที่ต้องผ่อนจ่าย“งวดแรก”เลย


แล้วอย่างนี้จะทำยังไงดี เพิ่งพลาดท่าไปหยกๆ พอมีทางออกช่วยเหลือบ้างได้ไหม?


ฮะแอ่ม...ขอตอบว่า ยังพอมี“ทางออก”อยู่ครับ :im_here:

กล่าวคือ “สัญญานรก”หรือสัญญาใดๆ ที่เกิดขึ้นจากความผูกพันมาจากสัญญาในตัวเดิม แล้วนำมาเชื่อมโยงเพื่อเปลี่ยนให้เป็นสัญญาตัวใหม่นั้น จะยังไม่มีผลสมบูรณ์ในทางกฏหมาย
ความสมบูรณ์ของ“สัญญาตัวใหม่”ในทางกฏหมาย จะสมบูรณ์จนสามารถเอาไปฟ้องร้องให้เป็นคดีความได้...ก็ต่อเมื่อ

1. ต้องมีการทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีลายเซ็นต์ของ ผู้กู้(ลูกหนี้) , ผู้ให้กู้(เจ้าหนี้) , เอกสารประกอบในการขอกู้(สำเนาบัตร ปชช. , สำเนาทะเบียนบ้าน)...เป็นต้น

2. ในสัญญาตัวใหม่ จะต้องมีการกำหนดจำนวนเงินที่ขอกู้เอาไว้ชัดเจน , อัตราดอกเบี้ย(เท่าไหร่)? , ผ่อนกี่งวด? , ผ่อนงวดละกี่บาท?

3. หลังจากที่เซ็นต์ลงนามลายมือชื่อในสัญญาตัวใหม่ ครบทุกลายเซ็นต์เรียบร้อยแล้ว จะต้องมีการจ่ายเงินผ่อนเข้าไปด้วย“อย่างน้อยหนึ่งงวด” สำหรับสัญญาตัวใหม่นี้

หากองค์ประกอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ในสามข้อข้างบนนี้“ไม่ครบ”(ขาดไปข้อใดข้อหนึ่ง)...ก็จะถือว่า สัญญาตัวใหม่ฉบับนี้ “ไม่สมบูรณ์”ในทางกฏหมาย และไม่สามารถนำมาใช้บังคับในทางกฏหมายได้

ดังนั้น หากสมาชิกท่านใดที่พลาดท่าเสียที หลวมตัวไปเซ็นต์“สัญญานรก”ไปซะแล้ว แต่ยังไม่ได้จ่ายเงินก้อนแรกเป็นค่าผ่อน...ก็ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ถ้าหากไม่ประสงค์จะทำสัญญานรกฉบับนี้ต่อไป

ก็ไม่ต้องไปจ่ายเงินค่า“งวดแรก”สิครับ (นี่แหละครับ วิธีการปฎิเสธสัญญากันแบบง่ายๆ)

แล้วสัญญามันก็จะไม่สมบูรณ์(เป็นโมฆะไปเอง) และถ้าหากฝ่ายเจ้าหนี้มันอยากจะฟ้อง มันก็จะต้องไปขุดเอาสัญญาตัวเก่า(ตัวเดิม)มาฟ้องตามขั้นตอนที่มันควรจะเป็น กระบวนต่างๆ มันก็จะกลับเข้าสู่ขั้นตอนตามปกติต่อไป

ส่วนสำหรับสมาชิกท่านใด ที่พลาดท่าไปเซ็นต์สัญญาแล้ว แถมยังผ่อนจ่ายไปแล้วด้วย...ผมก็คงต้องกล่าวคำว่า
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ...ไม่มีทางไปยกเลิกสัญญาได้อีกแล้วครับ (การที่ไปเซ็นต์ชื่อในสัญญา และไปจ่ายเงินให้ด้วย ในทางกฏหมายจะถือว่า เป็นการยอมรับสัญญาโดยความเต็มใจไม่ปฎิเสธ)
แต่ไม่เป็นไรครับ...ขอให้สู้ต่อไป...ขอเป็นกำลังใจให้
ถึงจะพลาดทำสัญญานรก“สมบูรณ์”ไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าจ่ายไม่ไหวจริงๆ...ก็หยุดจ่ายซะเถอะครับ ทางออกอื่นๆยังมีอีก
ถึงแม้มันจะไม่ง่ายเหมือนกับสมาชิกคนอื่นๆ ที่เขาไม่ได้ทำ“สัญญานรก”ก็ตามที แต่ถ้าคุณยังไม่ยอม“หยุดจ่าย”...หนี้ของคุณก็จะไม่หยุดเช่นเดียวกัน

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ly89, meawpung

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 8 เดือน ที่ผ่านมา - 11 ปี 8 เดือน ที่ผ่านมา #16371 โดย jackTs
.
สูตรสำเร็จของการ Hair-cut...พูดง่ายๆก็คือ

ถ้ามีตังค์ ก็เสียงดัง-เสียงใหญ่ ในการเจรจาขอลดหนี้ได้ง่าย
แต่ถ้าไม่มีตังค์ ก็ไม่ต้องไปคุย...เอาไว้ให้มีเงินก้อนอยู่มือซะก่อน แล้วค่อยมาคุยกันใหม่

.

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Nok2865

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 7 เดือน ที่ผ่านมา - 6 ปี 8 เดือน ที่ผ่านมา #19133 โดย jackTs

ลูกหนี้ เขียน: ถาม : วันนี้เจ้าหนี้โทรมา บอกว่าจะลดหนี้ให้ เหลือ20000 จากยอด60000 เขาจะให้เราส่งเอกสารภาระหนี้สินทั้งหมด เอกสารรายรับและค่าใช้จ่าย พร้อมกับสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน เขาจะได้เอาไปยื่นเรื่องขอส่วนลดให้ อย่างนี้ถ้าเราส่งเอกสารให้เขาจะมีปัญหาตามมามั้ยค่ะ


เหตุผลที่ทางฝ่ายเจ้าหนี้ ต้องการให้ลูกหนี้ส่งเอกสารส่วนตัว เช่น

- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สลิปเงินเดือน
- หลักฐานที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงินอื่นๆ เช่น เอกสารใบแจ้งหนี้ หรือจดหมายทวงหนี้...เป็นต้น


ทั้งๆที่เอกสารส่วนตัวของลูกหนี้ ส่วนใหญ่ ทางฝ่ายเจ้าหนี้มันเองก็มีอยู่แล้ว
เพราะในตอนที่สมัคร บัตรเครดิต/สินเชื่อ/บัตรกดเงินสด มันก็บังคับให้ลูกหนี้ต้องถ่ายสำเนาเอกสารส่วนตัวต่างๆ (เช่น สำเนาบัตรประชาชน , สำเนาทะเบียนบ้าน , ใบรับรองเงินเดือน/สลิปเงินเดือน) แนบไปพร้อมกับใบสมัครด้วย มิฉะนั้นก็จะไม่สามารถผ่านการอนุมัติได้...จริงไหม?

แต่ที่พวกมันต้องการให้ส่งไปใหม่อีกครั้ง...ก็เพื่อ

1. แอบเอาไปทำเป็นสัญญา ประนอมหนี้ , ปรับโครงสร้างหนี้ (สัญญานรก) โดยอ้างว่าทางตัวลูกหนี้ได้ยินยอมแล้ว จึงได้ส่งเอกสารเหล่านี้มาให้ฝ่ายเจ้าหนี้ เป็นผู้ดำเนินการให้แทน

ถ้าเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ ลูกหนี้สามารถส่งเอกสารต่างๆไปให้ ตามที่เจ้าหนี้มันร้องขอก็ได้
โดยวิธีป้องกันก็คือ ให้เขียนขีดคล่อม ด้วยข้อความประมาณว่า"เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา ขอส่วนลดหนี้ กับธนาคาร xxxxxxx เท่านั้น"...ลงในสำเนาเอกสารทุกใบ ที่เป็นหลักฐานส่วนตัว ก่อนทำการจัดส่งเอกสาร หรือ FAX ไปให้มัน


2. เพื่อนำไปพิจารณาให้เกิดกระบวนการ "เร่งรัด" การตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา...เช่น พิจารณาลดหนี้(Haircut)ให้...ว่าสมควรจะลดให้เต็มที่ ได้ที่เท่าไหร่? จะได้จบๆหนี้กันไป...และถ้าหากการเจรจาลดหนี้นั้น เกิดไม่สำเร็จ...มันก็จะได้รีบตัดสินใจ "ฟ้องโดยด่วนที่สุด" ก่อนที่เจ้าหนี้รายอื่นๆ มันจะมาชิงฟ้องตัดหน้าเอาไปเสียก่อน

3. เพื่อทำการ Update ข้อมูลจากเอกสารต่างๆ ที่ทางลูกหนี้จัดส่งไปให้ เช่น บัตรประชาชน , ทะเบียนบ้าน , ที่ทำงาน...ว่าทางลูกหนี้ได้มีการโยกย้ายบ้านไปอาศัยอยู่ที่ใหม่หรือไม่? , ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ไหน? ...ที่อยู่ต่างๆของลูกหนี้ ณ.ปัจจุบัน ยังคงตรงกันกับข้อมูลที่ทางเจ้าหนี้จัดเก็บไว้หรือไม่?...เวลาทวงหนี้จะได้ตาม กัด , จิก , ข่มขู่ , ประจาน , กดดัน ได้ถูกต้องและตรงตัว...รวมทั้งการฟ้องและการส่งหมายศาลไปยังที่อยู่ของลูกหนี้(ตามมาตรา 17 ป.วิผู้บริโภค) และการติดตาม อายัด/ยึดทรัพย์ ของลูกหนี้(หลังจากที่ทำการฟ้องศาลแล้ว) จะได้ทำถูกต้องตามขั้นตอนของกฏหมาย

.

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Nok2865, Champcyber99, aor2023

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

6 ปี 8 เดือน ที่ผ่านมา - 5 ปี 6 เดือน ที่ผ่านมา #95789 โดย jackTs
.
"ตัวอย่าง"...ผู้ที่ใช้แนวทางของชมรมฯปลดหนี้ได้สำเร็จ

สอบถามความเคลื่อนไหวการหยุดจ่าย ครับ
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=21863&Itemid=64&limitstart=0

[หมดหนี้] เริ่มหยุดจ่ายขั้นต่ำ และเริ่มขั้นตอนแก้ไขหนี้สินอย่างจริงจัง update 22 May 2018
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=45725&Itemid=64

หยุดจ่าย UOB, City Bank, Umay
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=45005&Itemid=64

หมดหนี้แล้วค่ะ ณ วันนี้ ขอขอบคุณชมรมนี้มาก ๆ ค่ะ
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=6&id=45751&Itemid=64

ในที่สุดก็เป็นไทยแล้ว เหนื่อยมา 1 ปี 18 เดือน หลุดพ้นจนได้
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=44132&Itemid=64

ลากันทีกับหนี้ 1.3 ล้าน บทเรียนชีวิตที่ยิ่งใหญ่!!!!!
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=42247&Itemid=64

หนี้เกือบหกแสน เดินตามเส้นทางของชมรมเพื่อปลดหนี้
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=44523&Itemid=64&limitstart=0

ขอจบหนี้ในปี 2558 เราจะผ่านมันไปให้ได้
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=42134&Itemid=64&limitstart=0

กำลังจัดการกับหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อก้อนโต 5 ล้านกว่าบาท
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=29038&Itemid=64&limitstart=0

ทุกข์ใจมาก คิดไม่ตก
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=43659&Itemid=64&limitstart=0

ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆนะคะ หมดหนี้แล้วมีความสุขจัง
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=6&id=44445&Itemid=64#86407

1ปี10เดือน สรุปเส้นทางปิดหนี้กอบัวทุกสถาบัน
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=1099&Itemid=29

ปลดหนี้บัตรเครดิต 12 ใบใน 7 เดือน
naradhip-yodsanti.blogspot.com/2015/01/12-7.html

ปิดหนี้ 6 บัตร กับ 14 เดือน!!!
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=44123&Itemid=64

เย้ๆ เป็นไทแล้วค่ะ บัตร 9 ใบยอดหนี้ 3 แสนกว่า ในเวลา 11 เดือน
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=43771&Itemid=64&limitstart=0

ค้างชำระบัตรเครดิตcitibank2งวด ขอประนอมหนี้จะติดเครดิตบูโรกี่ปี
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=38322&Itemid=64#38322

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เป็นไทแล้วค่ะ ^^
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=6&id=42948&Itemid=64

ทำตามชมรม ปลดนี้ได้จริง ผมอิสระแล้ววววววววววว
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=6&id=42481&Itemid=64

กว่า 1 ล้าน “ลากันเสียที” เจ้าหนี้ที่น่ารัก
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=6&id=42377&Itemid=64#63290

มือใหม่งดจ่ายมา 3 งวดแล้ว โดนกระหน่ำโทรแทบทุกวันและทั้งวัน
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=41146&Itemid=64#50794

อิสรภาพแล้วครับ ปลดหนี้ 10 บัญชี รวมล้านกว่าบาท
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=6&id=42164&Itemid=64

ทางสว่างของการปลดหนี้ อยากทำให้ได้เพราะเครียดมากเลย
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=40408&Itemid=64&limitstart=0#43556

มาขอลา และขอสรุปการแก้ไขปัญหาหนี้
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=41169&Itemid=64#50966

หมดหนี้สี่ล้านกว่าแล้วครับ
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=41601&Itemid=64

เพราะได้เวปนี้ จึงได้เกิดใหม่ ... หลังจากใจเป็นทุกข์มาตั้งนาน
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=41168&Itemid=64

เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง หมดหนี้แล้วครับ
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=41151&Itemid=64

ขอบคุณชมรมที่ทำให้มีวันนี้
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=6&id=41091&Itemid=64

ถึงเวลามาบอกเล่ากับเค้าบ้าง กับหนี้ 6 แสน หยุดมา 2 ปี หมดหนี้แล้ว ณ มกรา 57
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=6&id=40946&Itemid=64

วันที่เป็นไทจากหนี้บัตรเครดิตก็มาถึง
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=6&id=40979&Itemid=64

หมดหนี้แล้วค่ะ เพราะความช่วยเหลือจากสมาชิกทุกท่าน
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=40411&Itemid=64#43590

จบสิ้นกันที...หนี้ (เน่า) ที่รัก
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=432&Itemid=29

หมู สู้เพื่อลูก ปลดหนี้ 800,000 บาท
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=6&id=42840&Itemid=64&limitstart=0

หมดหนี้อีกราย
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=3077&Itemid=29

ในที่สุดเราก็มีเราวันนี้จนได้... ขอบคุณจริงๆ เป็นไทซะที
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=18829&Itemid=29

เป็นไทแล้วครับ
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=6869&Itemid=29

เส้นทางการปิดหนี้ของ 9 บัญชี
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=1349&Itemid=29

ลำนำ แห่งหนี้ มาได้ ก็จากได้ อย่าได้แคร์
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=24066&Itemid=52

ประสบการณ์"ปลดหนี้"ตามแนวทางชมรม... (ของพี่ mom23)
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=2393&Itemid=29

วันนี้ก็มาถึง
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=5&id=33840&Itemid=52

4 ปีกับการทุกข์ทรมาณ แต่ตอนนี้ ...หมดหนี้แล้ว (โว้ยยยยยย)
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=29211&Itemid=52

และแล้ว หนี้บัตรก็เป็น 0
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=18253&Itemid=52

ต้องหยุด ถ้าไม่หยุด ไม่มีฟ้าหลังฝนแน่
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=25785&Itemid=64

ขึ้นศาล Citi advance วันที่ 21 ธ.ค 54
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=5&id=236&Itemid=52

มาได้ครึ่งทางแล้วค่ะ เหลืออีกครึ่งทาง เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=19069&Itemid=29

ชีวิตใหม่ ที่ไม่มีหนี้
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=5&id=35293&Itemid=52

ใกล้เป็นไทแล้ว กับ ไถธนาคาร
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=17513&Itemid=29

ขอเล่าเรื่องหนี้ที่ใกล้จะเป็นไท ด้วยนะครับ
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=16672&Itemid=29

ที่นี "Blog กำจัดหนี้"
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=16795&Itemid=29#16972

หนี้ KTC เจ้าหนี้รายสุดท้าย
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=12619&Itemid=29

แชร์ประสบการณ์ "ปลดหนี้" ตามแนวทางของชมรมฯ (ใกล้เป็นไท)
debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=29126&Itemid=52

TMB ยังเคี่ยวอยู่ไหมค๊ะ
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=5&id=9931&Itemid=52#17772

สบการณ์เป็นหนี้และกำลังหมดหนี้ภายในไม่ช้านี้
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=6&id=34667&Itemid=52

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

ผู้ดูแล: Badmankonsiam
เวลาที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บ: 1.279 วินาที
ขับเคลื่อนโดย ระบบฟอรัม Kunena