ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับหน้าที่ของศาล

11 ปี 11 เดือน ที่ผ่านมา - 5 ปี 9 เดือน ที่ผ่านมา #9240 โดย jackTs
ถ้าจะว่ากันตามกฏหมายแล้ว หากมีหนี้ซึ่งกันและกัน แล้วเกิดการไม่ชดใช้หนี้กันขึ้น ฝ่ายที่เป็นเจ้าหนี้จะต้องไปฟ้องร้องต่อศาลแพ่ง(หรือศาลคดีผู้บริโภคก็ตาม) เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ลูกหนี้ชำระหนี้ดังกล่าวตามคำฟ้อง(คดีดำ)
โดยศาลท่านจะมีหน้าที่เพียงแค่พิพากษาว่า จำเลยจะต้องจ่ายหนี้คืนให้กับโจทก์หรือเจ้าหนี้ เป็นเงินเท่าใด? ดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมควรจะต้องเป็นเท่าไหร่? จึงจะเป็นธรรมตามกฏหมาย...เท่านั้น

ศาลจะไม่มีหน้าที่โดยตรงในการไกล่เกลี่ย หรือออกคำสั่งให้ผ่อนจ่ายหนี้ได้หรือไม่? ผ่อนเท่าไหร่? และผ่อนอย่างไร? เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกมองได้ว่า ศาลลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง...ดังนั้น ท่านจะไม่พิจารณาในเรื่องการผ่อนชำระ ด้วยตัวของท่านเองหรอกนะครับ ยกเว้นจำเลยกับทนายโจทก์จะตกลงกันได้เองต่อหน้าศาล
หากลูกหนี้กับเจ้าหนี้(ทนายโจทก์)ตกลงกันเองได้ ศาลก็จะพิพากษาให้เป็นไปตามข้อตกลงดังกล่าว โดยกำหนดให้ต้องเขียนเป็นสัญญากันขึ้นมา โดยมีชื่อของสัญญาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความ และให้ถือว่าสัญญาที่เซ็นต์กันฉบับนี้ เป็นคำพิพากษาของศาลโดยการยอมความของทั้งสองฝ่าย

และถ้าหากลูกหนี้ถูกศาลแพ่งพิพากษาแล้ว ก็ยังไม่ยอมใช้หนี้ตามคำพิพากษาอีก(หรือที่เรียกกันว่า“ดื้อแพ่ง” เพราะยังดื้อด้านต่อคำสั่งของศาลแพ่ง จึงเป็นที่มาของคำว่า“ดื้อแพ่ง”ยังไงล่ะครับ) ที่นี้เจ้าหนี้ก็ต้องเอาคำพิพากษาของศาลที่พิพากษาไปแล้ว(คดีแดง) ไปยื่นต่อหน่วยงานราชการที่มีชื่อเรียกว่า“กรมบังคับคดี” เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการ ยึดทรัพย์/อายัดเงินเดือน ตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป

ดังนั้น หากจำเลยที่ถูกฟ้องในคดีเรื่องหนี้เงิน
จะต้องมาตั้งคำถามกับตัวเองเสียก่อนว่า...จะไปศาลขึ้นเพื่ออะไร?


การไปขึ้นศาล มีอยู่ 3 แนวทาง...ดังนี้



แนวทางที่ 1. ไปศาลเพื่อไปต่อสู้คดี เพื่อให้รู้ผล แพ้-ชนะ คดี กันไปข้างหนึ่ง ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ (จะสู้คดีว่าด้วยเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฏหมายกำหนด หรือสู้คดีว่าด้วยเรื่องอายุความ...ก็แล้วแต่) ซึ่งแนวทางนี้ จะต้องเขียน คำให้การในการต่อสู้คดี โดยใช้แบบฟอร์มของศาลที่มี“ตราครุฑ” ๑๑(ก.) สำหรับคดีแพ่ง หรือแบบฟอร์ม ผบ.๓ สำหรับคดีผู้บริโภค โดยเขียนคำให้การต่อสู้คดีเป็นภาษากฏหมาย และต้องอ้างอิงมาตราต่างๆของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาประกอบลงในคำให้การด้วย ซึ่งถ้าเขียนเองไม่เป็น ก็ต้องจ้างทนายความให้ช่วยเขียนให้



สามารถ Download แบบฟอร์ม"คำให้การในการต่อสู้คดี"(คำให้การจำเลย) ได้จากใน Link นี้
www.trachu.com/userfiles/download/%E0%B8%9C%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2.doc


ขอย้ำว่า...การต่อสู้คดีบนชั้นศาล จะต้องยื่นคำให้การด้วยทุกครั้ง ไม่สามารถสู้คดีด้วยปากเปล่าได้

หากจำเลยไม่เขียนคำให้การไปยื่นต่อศาล...ศาลจะถือว่าจำเลยมีเจตนา“ไม่ต้องการสู้คดี” ต่อให้จำเลยมีหลักฐานอันแน่นหนาว่า โจทก์โกง , โจทก์คิดดอกเบี้ยผิดกฏหมาย , โจทก์ฉ้อฉล , คดีขาดอายุความไปแล้ว...ฯลฯ ศาลท่านก็จะไม่พิจารณาตามหลักฐานดังกล่าวเลย เพราะถือว่า จำเลยไม่ยอมปฎิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของศาล ดังนั้น คำพูดต่างๆของจำเลยในชั้นศาล ศาลจึงไม่ถือว่าเป็น"คำให้การ" แต่มันเป็นแค่เพียง"คำแก้ตัว"

เมื่อเป็นดังนี้...จำเลยอาจถูกศาลพิพากษา ให้ต้องชำระหนี้ตามที่โจทก์ฟ้องมาทันที เพราะศาลจะถือว่า จำเลยไม่ยอมปฎิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของการสู้คดี ตามที่กฏหมายได้บัญญัติไว้





แนวทางที่ 2. ไปศาลเพื่อการไกล่เกลี่ย ประนีประนอมยอมความกับทนายโจทก์ เช่น ถูกหมายฟ้องให้ชดใช้หนี้เป็นจำนวนเงิน xx,xxx บาท แต่ฝ่ายจำเลยยังไม่มีเงินก้อนที่จะสามารถชำระหนี้ให้ได้ในตอนนี้ จึงขอไกล่เกลี่ยกับทนายโจทก์ว่า อยากจะขอผ่อนต่อนับจากนี้เป็นต้นไป ซึ่งเงื่อนไขที่จะสามารถตกลงกันได้บนชั้นศาลนี้ ทางฝ่ายโจทก์มักจะไม่ยอมให้ผ่อนต่อในระยะเวลายาวๆอีกต่อไป ส่วนมากก็จะบังคับให้ผ่อนให้หมดภายในระยะเวลา 1 ถึง 2 ปี (แต่บางรายอาจขอได้นานสูงสุดถึง 3 ปี) โดยในช่วงที่ผ่อนอยู่นี้ โจทก์อาจขอคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่ผ่อนนี้ด้วย ซึ่งก็ต้องมาพูดคุยตกลงกันอีกว่า จะยอมให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผ่อนที่เท่าไหร่? ก็จะมีตั้งแต่ 15% , 13% , 10%...หรือบางรายอาจขอได้ 0%(ไม่คิดดอกเบี้ยในระหว่างที่ผ่อน ก็มี) ทั้งนี้ก็แล้วแต่ฝีปากและเทคนิคในการเจรจาต่อรอง และขึ้นอยู่กับนโยบายของเจ้าหนี้ในแต่ละรายด้วย...เช่น ถ้าจำเลยสามารถผ่อนให้หมดได้ในภายระยะเวลาอันสั้น ไม่เกิน 6 เดือน ก็ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างผ่อน(ดอกเบี้ย 0%)เป็้นต้น

แต่...ตัวเลขยอดหนี้ที่จะตกลงผ่อนกันใหม่นี้ จะเป็นตัวเลขตามที่โจทก์ยื่นฟ้องมาในหมายศาลแบบ"เต็มๆ" โดยแทบจะไม่มีส่วนลดอะไรให้กับลูกหนี้เลย (เรียกได้ว่า เขียนฟ้องมาเท่าไหร่ ก็เอาตัวเลขอันนั้นแหละ มาทำสัญญาผ่อนกันใหม่)

เมื่อได้ข้อตกลงอันเป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็ทำการร่างสัญญาที่ตกลงกันเอาไว้ ลงในแบบฟอร์ม“สัญญาประนีประนอมยอมความ”(ตราครุฑ ๒๙) พร้อมกับเซ็นต์ลงนาม ชื่อโจทก์ , ชื่อจำเลย และชื่อของผู้พิพากษา(ในฐานะเป็นพยาน)





วิธีการนี้ เหมาะสำหรับลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้“เพียงรายเดียว”เท่านั้น...หรือ เหลือเจ้าหนี้แค่รายนี้“เป็นรายสุดท้าย
เพราะถ้าหากลูกหนี้มีเจ้าหนี้หลายราย แล้วดันไปเซ็นต์สัญญา"ประนีประนอมยอมความ"ในชั้นศาล กับเจ้าหนี้หมดทุกราย แล้วจะมีปัญญาไปผ่อนจ่ายตามสัญญาหมดทุกฉบับไหวไหม?...มันก็เข้าอีหรอบเดิมเหมือนกับตอนที่ต้องผ่อนจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ทุกราย ก่อนที่จะถูกฟ้องศาลนั่นแหละ...จริงไหม?

ดังนั้น ตัวของลูกหนี้เอง จะต้องมีความมั่นใจเป็นอย่างสูงว่า หากเซ็นต์ชื่อลงในสัญญาแล้ว จะต้องปฎิบัติให้ได้ตามข้อตกลงในสัญญา เพราะในสัญญาฉบับนี้ มีลายเซ็นต์ของผู้พิพากษาลงนามเป็นพยานด้วย หากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายตามข้อตกลงได้ สัญญาประนีประนอมยอมความที่เซ็นต์ไปนี้ ก็จะถือว่าเป็น“โมฆะ” และจะถูกย้อนให้กลับไปใช้ตัวเลขตามมูลหนี้ทั้งหมด ที่ยังคงเหลือค้างอยู่ตามในสัญญาทันที
*** คิดง่ายๆก็คือการเอา"ตัวเลขสูงสุด"ในหมายฟ้อง ลบด้วยจำนวนเงินต้นที่ได้เคยผ่อนไปบ้างแล้วตามสัญญาฉบับนี้(ถ้ามี) แล้วที่เหลือก็คือเงินหนี้ที่จะต้องจ่ายต่ออีก บวกด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี(ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา) โดยดอกเบี้ยจำนวนนี้ จะเดินต่อไปเรื่อยๆไม่มีหยุด จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น ไม่ว่าจะชำระด้วยวิธีการอย่างใดก็ตาม ***


ตัวอย่าง สัญญาประนีประนอมยอมความ ที่จะเซ็นต์ต่อหน้าศาล




ตัวอย่างของสัญญาในกรณีนี้ จำเลยขอผ่อนยอดหนี้ตามที่โจทก์ฟ้องมา(โดยไม่มีส่วนลดใดๆเลย)
โดยขอผ่อนเป็น 24 งวด(2ปี) และในระหว่างที่ผ่อนนี้ ทางโจทก์ไม่คิดดอกเบี้ยในระหว่างที่ผ่อน 2ปี ดังกล่าว (ดอกเบี้ย 0% ในระหว่างที่ผ่อน)

ยกเว้น...ถ้าจำเลยทำผิดจากเงื่อนไขในสัญญา(เช่น จ่ายล่าช้าไม่ตรงตามวันที่กำหนด หรือ จ่ายบ้าง-ไม่จ่ายบ้าง หรือจ่ายเงินค่าผ่อนน้้อยกว่าที่กำหนดเอาไว้ในสัญญา เพียงแค่งวดเดียวก็ตาม) ดอกเบี้ย 0% ที่ว่านี้ ก็เป็นอันโมฆะและยกเลิก และจะถูกปรับให้ไปใช้เป็นดอกเบี้ยใหม่ ในอัตรา 15% ต่อปี โดยคิดจากยอดของเงินต้นที่ยังคงค้างเหลืออยู่ทันที

อีกทั้ง ทางฝ่ายโจทก์ยังสามารถยื่นเรื่องตรงไปที่“กรมบังคับคดี”ได้เลย โดยไม่ต้องฟ้องซ้ำอีกแล้ว และจำเลยก็ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ด้วย เพราะถือว่าจำเลยได้กระทำผิดต่อสัญญาดังกล่าว ต่อศาลชั้นต้นไปแล้ว ซึ่งสัญญาฉบับนี้มีความหมายเทียบเท่ากับว่า โจทก์และจำเลยขอยินยันให้ศาลพิพากษาไปตามสัญญาการผ่อนชำระฉบับนี้ได้เลย โดยมีลายเซ็นต์ของทุกฝ่ายลงนามยืนยันไว้เป็นหลักฐาน

หรือพูดง่ายๆก็คือ การทำสัญญายอมความต่อหน้าศาลนั้น เทียบเท่าได้กับคำพิพากษาของศาลนั่นเอง แต่เป็นคำพิพากษาที่เกิดจาก การที่คู่ความทั้งสองฝ่าย ได้ตกลงพร้อมใจกัน เพื่อให้ศาลพิพากษาไปตามข้อตกลงที่ได้เซ็นต์ยอมความกันในไว้ในสัญญา

ดังนั้น...ถ้าหากลูกหนี้ทำการประเมินตัวเองแล้ว คาดว่าในภายภาคหน้าอาจจ่ายชำระตามข้อตกลงในสัญญาไม่ไหว ก็อย่าไปตกลงทำสัญญาดีกว่าครับ หันมาใช้วิธีการตามในแนวทางที่ 1. หรือแนวทางที่ 3. จะดีกว่า
[/color]




แนวทางที่ 3. ไปศาลเพื่อร้องขอความเมตตากรุณาจากศาล(จำเลยสามารถพูดร้องขอด้วยปากเปล่าได้เลย ไม่ต้องเขียนแบบฟอร์มใดๆ) โดยการพูดขอให้ท่านช่วยตัดลดมูลหนี้บางอย่างลงมาให้บ้าง...เช่น ดอกเบี้ยที่ศาลพิพากษา , ค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมศาล และค่าทนายโจทก์ด้วย ซึ่งจะได้ลดมากหรือลดน้อย หรืออาจไม่ได้ลดเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเมตตาจากท่าน (ต้องไปวัดดวงเอาเอง) แต่สำหรับหนี้เงินต้นนั้น ศาลท่านไม่สามารถช่วยปรับลดให้ได้ (ตามข้อกฏหมาย)...ฉะนั้นอย่าไปขอท่านในส่วนนี้เป็นอันขาด แล้วหลังจากนั้น ก็ปล่อยให้ท่านพิพากษาไปเลย

สรุปก็คือ
ศาลแพ่งหรือศาลผู้บริโภค มีหน้าที่แค่พิจารณาหนี้ไปตาม คำร้อง/คำโต้แย้ง ของคู่ความเท่านั้น
โดยใช้ข้อกฏหมาย(มาตราต่างๆ)เป็นตัวพินิจพิเคราะห์
และเมื่อพิจารณาเสร็จแล้วก็จะออกเป็นคำสั่ง“พิพากษา”เพื่อบังคับให้ใช้หนี้ระหว่างกัน โดยเสียดอกเบี้ยไม่เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด (อาจเป็นร้อยละ 7.5 , 10 , 12 , 15 ต่อปี...แล้วแต่ศาลเป็นผู้พิจารณา)
และเมื่อศาลพิพากษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็หมดสิ้นหน้าที่ของศาล เรื่องต่างๆต่อจากนี้ ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับศาลอีกต่อไปแล้ว จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการชดใช้หนี้ระหว่างโจทก์และจำเลย โดยอาจมีกรมบังคับคดีมามีส่วนเกี่ยวข้อง
ถ้าหากจำเลยไม่ยอมชดใช้หนี้ตามที่ศาลสั่ง หรือจำเลยทำผิดจากข้อตกลงที่ได้ไปเซ็นต์สัญญาไว้ต่อศาล โจทก์สามารถร้องขอให้ทำการ ยึดทรัพย์/อายัดเงินเดือน ของจำเลย...ตามที่โจทก์ไปยื่นคำร้องไว้ที่กรมบังคับคดีได้เลย




ข้อกฏหมายที่ต้องจำ

ศาลไม่มีหน้าที่ไปอายัดหรือยึดทรัพย์ใดๆของลูกหนี้

หน้าที่ในการอายัดหรือยึดทรัพย์ของจำเลย เป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดีเท่านั้น...ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์...แม้กระทั่งตัวของเจ้าหนี้เอง...ก็ไม่มีสิทธิ์

โดยกระบวนการอายัดหรือยึดทรัพย์ดังกล่าว จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ
ต้องจบสิ้นคดีในการฟ้องร้องต่อศาลแล้ว โดยศาลได้มีคำสั่งให้ลูกหนี้ต้องจ่ายหนี้ ตามคำพิพากษาที่ศาลสั่ง

หากลูกหนี้ยังคงเพิกเฉย ไม่ยอมปฎิบัติตามคำพิพากษาของศาลอีก (ลูกหนี้"ดื้อแพ่ง")
เจ้าหนี้ก็จะเอาคำพิพากษาของศาลในคดีดังกล่าว ไปยื่นคำร้องต่อ"กรมบังคับคดี"
เพื่อให้ทางกรมบังคับคดีเป็นผู้ออกคำสั่ง ยึด/อายัด (หมายบังคับคดี)

โดยเจ้าหน้าที่บังคับคดีจะเป็นผู้ดำเนินการ ในการยึดทรัพย์หรืออายัดเงินเดือนของลูกหนี้ (ซึ่งเจ้าหนี้อาจยื่นคำร้อง ขอให้ทำการยึดทรัพย์และอายัดเงินเดือน พร้อมๆกันเลยก็ได้) เพื่อนำมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลต่อไป


ดังนั้น...การที่ไอ้พวกทวงหนี้ชอบอ้างว่า หากลูกหนี้ไม่ยอมจ่ายหนี้ที่ค้างชำระอยู่

เจ้าหนี้มีสิทธิ์มาอายัดหรือยึดทรัพย์ใดๆของลูกหนี้ได้เลย

โดยไม่จำเป็นต้องฟ้องต่อศาล


และไม่ต้องทำเรื่องไปยังกรมบังคับคดี นั้น

จึงเป็นคำพูดที่โกหกตอแหลโดยสิ้นเชิง

.


.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ
ไฟล์ที่แนบมาด้วย:
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: Ly89, Mommyangel, Pych, Skynine, meawpung, wachara, june, tjulteera

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 8 เดือน ที่ผ่านมา - 7 ปี 10 เดือน ที่ผ่านมา #16502 โดย jackTs
.
ในกรณีที่จำเลย(ลูกหนี้) ประสงค์จะใช้แนวทางที่ 3. ในการขึ้นศาล

แนวทางที่ 3. ไปศาลเพื่อร้องขอความเมตตากรุณาจากศาล


ตัวอย่างคำถาม จากกระทู้เก่าในอดีต

ถาม : เราเอาหนี้ที่เราต้องจ่ายไปให้ศาลพิจารณาได้ไหม เช่น หนี้บ้าน,หนี้รถ ที่เราต้องจ่ายอยู่แล้ว

ตอบ : คุณกำลังจะถามว่า "ถ้าเราจะเอาหลักฐาน ว่าเรากำลัง ผ่อนรถ , ผ่อนบ้านอยู่ ไปให้ศาลท่านดู เพื่อให้ท่านช่วยเมตตาสงสาร ในการตัดสินคดีคดีของเรา จะได้ไหมครับ" ...อย่างนั้นใช่ไหม?

ถ้างั้นคุณคิดว่า...การที่คุณเอาหลักฐานว่า คุณมีปัญญาผ่อนรถให้กับตัวเอง , คุณมีปัญญาผ่อนบ้านให้กับตัวเอง...แต่คุณกลับไม่ยอมจ่ายหนี้บัตรเครดิต จนกระทั่งเจ้าหนี้บัตรเครดิต ต้องนำเอาหนี้ของคุณส่งฟ้องต่อศาล...มันเป็นเรื่องที่สมควรจะให้ความเมตตาสงสารไหมล่ะครับ?

คุณจะทำอย่างไร...หากศาลท่านมองว่า "อ้อ...ที่จำเลยถูกฟ้อง ก็เพราะว่าเอาเงินของบัตรเครดิต ไปผ่อนรถ , ผ่อนบ้าน ก็เพื่อหาความสุขสบายส่วนตัวนี่เอง"

อ้างอิงข้อมูลจาก : www.debtclub.consumerthai.org/odebt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=0&func=view&id=744&catid=2


ถาม : กรณีที่เราได้รับข้อเสนอให้ยอมความแล้วจ่ายน้อยลง แต่กำลังเราก็ยังไม่พอจ่ายชำระเราขอความเมตตาต่อศาลได้ไหมว่าขอจ่ายน้อยกว่านี้ และขอเวลายาวกว่านี้ ด้วยเจตนาที่เราจะจ่าย โดยการนำหลักฐานเอกสารที่เรามีภาระที่ต้องชำระหนี้เจ้าอื่นแสดงต่อหน้าศาลด้วย

ตอบ : ที่คุณบอกว่า "จะนำหลักฐานเอกสารที่เรามีภาระที่ต้องชำระหนี้เจ้าอื่นแสดงต่อหน้าศาลด้วย"

นั่นยิ่งแล้วไปใหญ่เลยนะเนี่ย

เอาล่ะครับ...สมมุตินะครับ...สมมุติ

สมมุติว่าถ้าคุณได้มีโอกาสพบกับผู้พิพากษาจริงๆ...โดยคุณได้หอบเอาหลักฐานเอกสาร ที่คุณมีภาระต้องชำระหนี้กับเจ้าอื่น ให้ศาลได้ดูต่อหน้า
แล้วคุณไม่คิดบ้างเหรอครับ...หากคุณถูกศาลมองตัวคุณว่า "อ้อ...ที่จำเลยไม่จ่ายหนี้เขา ก็เพราะไปสร้างหนี้ไว้เพียบ อีรุงตุงนัง อย่างนี้นี่เอง ช่างเป็นคนที่ไม่มีวินัยทางการเงินเสียจริงๆ ขยันแต่สร้างหนี้ไปซะทั่ว จนตัวเองไม่มีปัญญาชำระหนี้ มีทั้งหนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อ มีทั้งหนี้ผ่อนรถยนต์ มีทั้งค่าผ่อนบ้าน...แล้วยังมีหน้ามาหอบหลักฐานหนี้ต่างๆ มาแสดงให้ดูอีกซะด้วยนะ"

แล้วคุณคิดว่า...ศาลท่านจะให้ความเมตตากับคุณไหมล่ะครับ?

แต่ถ้าเป็นหลักฐานอย่างอื่น...เช่น ค่ารักษาพยาบาล บิดา/มารดา ที่ป่วยเป็นโรคไต , ค่ารักษาพยาบาลบุตรที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ , ค่ารักพยาบาลตัวเองที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง , หลักฐานที่แสดงว่าตัวเอง ตกงาน ถูกลดเงินเดือน ถูกเลิกจ้าง ฯลฯ...เออ!...อย่างนี้สิ...มันค่อยน่าให้ความเมตตาช่วยเหลือหน่อย...จริงไหม?

อ้างอิงข้อมูลจาก : www.debtclub.consumerthai.org/odebt/index.php?option=com_fireboard&Itemid=10&func=view&catid=2&id=2082

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา - 10 ปี 8 เดือน ที่ผ่านมา #29601 โดย jackTs
ถาม : คดีแดง ...... กับ คดีดำ ........... แตกต่างกันอย่างงัยคะเหมือนกันหรือเปล่า เพราะของฉันตรงหัวหมายศาลด้านขวามือของฉันเขียนว่าคดีดำเลขที่...... แบบว่าสงสัยค่ะ

ตอบ : คดีดำ...ก็คือคดีที่ออกหมายฟ้องแล้ว แต่ศาลยังไม่ได้พิจารณา และพิพากษา
ส่วน คดีแดง...มันก็คือ คือ คดีดำ ใดๆ ที่ถูกศาลตัดสินพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง (เมื่อศาลพิพากษาแล้ว จาก "ดำ" มันก็จะเปลี่ยนเป็น "แดง" เองนั่นแหละ)

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

11 ปี 2 เดือน ที่ผ่านมา - 9 ปี 1 เดือน ที่ผ่านมา #29602 โดย jackTs
mamypoko
ถาม
: วันนี้ไปศาลมาค่ะ บัตรกรุงไทยและสินเชื่อฟ้องรวมกันสามบัญขี ยอดฟ้อง 2xx,xxx บาท ที่ศาลมีนบุรีค่ะ
ไปถึงประมาณแปดโมงก็ไปดูรายชื่อและห้องพิจารณาคดีของเรา แวะกินข้าว แล้วก็มานั่งรอหน้าห้องประมาณแปดโมงครึ่ง สักครู่ก็มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นทนายของแบงก์ก็เข้ามาแสดงตัว เออลืมบอกไปเผอิญของเรามีบัตรเสริมเป้นชื่อสามีด้วย ทนายก็ถามว่าจำเลยที่สองไม่มาเหรอ เราก็บอกติดธุระมาไม่ได้ เขาก็บอกว่าอ้าวยังงี้ก็ทำยอมความไม่ได้นะ เพราะต้องเซ็นต์สองคน เราก็บอกไม่เป้นไรค่ะ เพราะว่าตั้งใจจะพบศาลและให้ศาลตัดสินแล้วจะคุยกับแบงก์อีกทีค่ะ เขาก็เออ เออ พอประมาณเก้าโมงก็เรียกเราเข้าไปในห้องพิจารณาคดี อืมบรรยากาศดีกว่าที่คิดนะ และวันนี้ก็เป็นวันเสาร์ คนไม่เยอะมาก เราก็นั่งรอ ทนายแบงก์ก็บอก จะกลับเลยก็ได้นะครับเพราะกว่าศาลจะลงก็คงเกือบสิบโมง เราก็บอกไม่เป้นไรค่ะ รอได้ เขาก็เลยเลิกสนใจเราเขาก็ทำงานของเขาไป เราก็นั่งรอ วันนี้ห้องที่เราอยู่นี่มีทั้งหมด 8 คดี เป็นของกรุงไทย 5 คดี แม่เจ้า เยอะจริงๆ แต่มีจำเลยมาแค่สองคนคือเรากับผู้ชายอีก คน นอกนั้นไม่มาค่ะ

ประมาณเก้าโมงสี่สิบศาลก็มาค่ะ เป็นผู้พิพากษาหญิง หน้าใสปิ้ง ยังเด็กๆอยู่เลยค่ะ เห้นเจ้าหน้าที่ศาลบอกว่าเพิ่งได้รับการโปรดเกล้า ยังไม่ได้ประจำที่ศาลไหน แต่ก็ดูใจดีค่ะ ท่านก็ถามเราว่าคุยอะไรกับแบงก์หรือยัง จะทำยอมความไหม ทนายโจทก์ก็บอกว่าจำเลยให้ท่านตัดสินเลยครับ ศาลก็ถามเรา เราก็บอกค่ะ หใ้ท่านตัดสินให้เลย แต่เนื่องจากจำเลยเองก็ไม่มีความรู้ในเรื่องดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าปรับต่างที่แบงก์แจ้งมาว่ามันถูกต้องหรือไม่ก็อยากจะให้ศาลช่วยพิจาณณาให้หน่อยว่ามีตรงไหนที่จะลดหย่อนได้บ้าง และจำเลยก็จะคุยกับทางแบงก์ในเรื่องการผ่อนชำระอีกที ท่านก็อืม ถ้าให้ศาลตัดสินศาลก็จะออกคำบังคับวันนี้เลยนะ เราก็ ค่ะ ( แต่ก็งงๆว่าคำบังคับนี่มันคืออะไร ) ศาลก็บอกทนายว่าเดี๋ยวถ้าคำพิพากษาออกแล้วทนายก็ส่งไปให้จำเลยเขาด้วยนะ ศาลท่านก็บอกว่าศาลจะให้โจทก์ส่งเอกสารหลักฐาน แทนการสืบพยาน จำเลยขาดการส่งคำให้การ พอเสร็จก็ให้เราเสร็จกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่มีข้อความเหมือนกับที่ท่านอ่านให้เราฟัง เราก็เซ็นต์ และทนายก็ให้เราเซ็นต์ในปึกใหญ่ที่เป็นสำนวนฟ้องด้วย ทนายบอกว่าให้เราอยู่รอคุยกับตัวแทนแบงก์ แต่ก็ตามหาตัวไม่พบ เจ้าหน้าที่ศาลบอกให้เรากลับได้ เราก็เลยกลับค่ะ มีคำถามดังนี้ค่ะ

-ไอ้ที่ว่าคำบังคับออกวันนี้เลยหมายความว่าอย่างไรคะ

-ในปึกใหญ่ๆที่เป็นสำนวนฟ้องที่ทนายให้เราเซ็นต์มันมีข้อความที่ประทับว่าให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วัน อันนี้หมายถึง 15 วัน นับจากวันที่ตัดสิน หรือว่านับจากวันที่คำพิพากษาจะออกและส่งให้เราคะ

-ถ้าเราต้องการจะขอคัดคำพิพากษาจะมาขอคัดได้ภายหลังจากที่ตัดสินกี่วันคะ

-เราถามทนายโจทก์ว่าเมื่อไหร่ที่คำพิพากษาจะส่งไปถึงเรา เขาก็บอกว่ากว่าจะพิมพ์เสร็จก็ประมาณสองเดือน จริงหรือเปล่าคะ

รบกวนคำแนะนำด้วยนะคะ

ก็ขอฝากให้กำลังใจเพื่อนๆที่จะไปศาลด้วยค่ะ ว่ามันไม่น่ากลัวจริงๆ ค่ะ เพื่อสิทธิของเรา สู้ๆนะคะ

mamypoko





ถาม : ไอ้ที่ว่าคำบังคับออกวันนี้เลยหมายความว่าอย่างไรคะ

[/color]
ตอบ : ก็หมายความว่า "จะพิพากษาวันนี้เลยนะ"...ยังไงล่ะ



ถาม : ในปึกใหญ่ๆที่เป็นสำนวนฟ้องที่ทนายให้เราเซ็นต์มันมีข้อความที่ประทับว่าให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วัน อันนี้หมายถึง 15 วัน นับจากวันที่ตัดสิน หรือว่านับจากวันที่คำพิพากษา

[/color]
ตอบ : ถ้าตามหลักทฤษฎี ก็หมายถึง...นับจากวันที่จำเลยได้รับทราบคำพิพากษาของศาลแล้ว นั่นแหละครับ



ถาม : จะออกและส่งให้เราคะ

[/color]
ตอบ : หมายถึงในวันนั้น ท่านจะพิพากษา "ด้วยปากเปล่า" (พิพากษาเป็นคำพูด) และจะมีเจ้าหน้าที่ของศาล ต้องเอาคำพิพากษาของศาลที่พูดเป็นคำพูดนี้ ไปพิมพ์เป็น "หนังสือคำพิพากษา" แล้วจะส่งให้คุณรับทราบต่อไป เพื่อให้สามารถใช้บังคับได้ตามกฏหมาย

ดังนั้น...ตราบใดที่คุณยังไม่ได้ "หนังสือคำพิพากษา" จากศาล...ก็จะยังไม่สามารถบังคับให้คุณต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ (ถึงแม้ว่าศาลจะพิพากษา "ด้วยปากเปล่า" ไปแล้วก็ตาม)

การที่จะบังคับให้คุณต้องปฏิบัติตามนั้น..."หนังสือคำพิพากษา" จะต้องถูกจัดส่งให้คุณรับทราบเสียก่อน
จะด้วยวิธีการ "ให้คุณมา คัดคำพิพากษาด้วยตนเองที่ศาล อีกในสองเดือนข้างหน้า"
หรือจะด้วยวิธีการ "จัดส่งหนังสือคำพิพากษาไปที่บ้านของคุณ (เหมือนกับการส่งหมายศาลฟ้องไปที่บ้านของคุณนั่นแหละ)"
จึงจะถือได้ว่า คุณได้รับทราบคำพิพากษาแล้วโดยสมบูรณ์ และคุณจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาที่คุณได้รับทราบแล้วนี้...ภายใน 15 วัน...หลังจากที่ได้รับทราบแล้ว

ดังนั้น...ถ้าคุณยังไม่ได้รับทราบคำพิพากษา (ตามใน หนังสือคำพิพากษา) คุณก็ยังไม่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา...เพราะถือว่าคุณยังไม่ได้รับรู้



ถาม : ถ้าเราต้องการจะขอคัดคำพิพากษาจะมาขอคัดได้ภายหลังจากที่ตัดสินกี่วันคะ

[/color]
ตอบ : สามารถมาคัดได้ หลังจากที่ศาลท่าน พิพากษา "ด้วยปากเปล่า" แล้ว(พิพากษาเป็นคำพูด) ประมาณ 2-3 สัปดาห์...แต่ถ้าคุณไปคัดคำพิพากษาด้วยตนเองวันไหน ก็จะถือว่าคุณได้รับทราบแล้ว"โดยทันที" และคุณจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาที่คุณได้รับทราบแล้วนี้...ภายใน 15 วัน



ถาม : เราถามทนายโจทก์ว่าเมื่อไหร่ที่คำพิพากษาจะส่งไปถึงเรา เขาก็บอกว่ากว่าจะพิมพ์เสร็จก็ประมาณสองเดือน จริงหรือเปล่าคะ

[/color]
ตอบ : จริงๆแล้ว "หนังสือคำพิพากษา" จะใช้เวลาพิมพ์เสร็จ หลังจากที่ศาลท่าน พิพากษา "ด้วยปากเปล่า" แล้ว ประมาณ 2-3 สัปดาห์...ส่วนที่มันบอกว่า "กว่าจะพิมพ์เสร็จก็ประมาณสองเดือน" นั้น...ผมว่ามัน "ขี้เกียจ" รีบไปคัดคำพิพากษาด้วยตัวมันเองซะมากกว่า...ด้วยเหตุผลดังนี้

คุณสังเกตุไหม?...ที่ศาลท่านบอกกับทนายว่า "เดี๋ยวถ้าคำพิพากษาออกแล้วทนายก็ส่งไปให้จำเลยเขาด้วยนะ"...นั่นหมายความว่า ศาลท่านแอบช่วยคุณแบบเล็กๆแล้วนะเนี่ย...คุณรู้ตัวไหม? เพราะคุณจะได้ประโยชน์ตามนี้
1. ทำให้คุณไม่ต้องเดินทางมาคัดคำพิพากษาด้วยตนเองที่ศาล (ประหยัดตังค์ค่าเดินทาง , ประหยัดเงินค่าถ่ายเอกสารคำพิพากษา , ไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลา , สบายๆ อยู่บ้านเฉยๆ)
2. ถ้าโจทก์มันอยากให้คุณ ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาเร็วๆ...มันต้องรีบกระตือรือร้น ในการคัดคำพิพากษาของคุณแทนตัวคุณ แล้วจัดส่งไปที่บ้านของคุณโดยเร็วไว
3. ทางโจทก์มันต้องควักกระเป๋า จ่ายค่าถ่ายเอกสารคำพิพากษาเอง(แทนที่คุณจะต้องเป็นคนจ่ายเอง) มิหนำซ้ำ...มันยังต้องควักกระเป๋า จ่ายค่าจ้างให้"แมสเซนเจอร์ศาล" มาส่งคำพิพากษาติดไว้ที่หน้าบ้านของคุณอีกด้วย (ค่าจ้างในแต่ละครั้งก็ประมาณ 200 - 300 บาท แล้วแต่ความ ใกล้-ไกล จากศาลมาที่บ้านคุณ)
4. คุณจะมีเวลาในการตั้งตัว "รับทราบคำพิพากษา"ที่นานขึ้น (ประมาณสองเดือนตามที่ทนายมันบอก) แล้วหลังจากที่คุณ "รับทราบคำพิพากษา" แล้ว...ก็ค่อยติดต่อคุยกับทางเจ้าหนี้ ในเรื่องการขอผ่อนชำระอีกที...แต่...ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็อาจใช้ยุทธวิธี"หักคอจ่าย"ต่อไป เพื่อป้องกันการถูก ยึดทรัพย์/อายัดเงินเดือน

สุดท้ายนี้...ก็ขอแสดงความยินดีด้วย ที่คุณมีความกล้าหาญ ในการเผชิญหน้าสู้กับปัญหาและความจริง ขอเป็นกำลังใจให้ต่อสู้ต่อไป และหมดหนี้โดยเร็ววัน

ด้วยความปราถนาดีจาก
นกกระจอกเทศ
ทีมงานคณะกรรมการชมรมฯ (ฝ่ายบู๊)

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ
สมาชิกต่อไปนี้บอกขอบคุณ: tjulteera

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

8 ปี 1 เดือน ที่ผ่านมา - 6 ปี 6 เดือน ที่ผ่านมา #81223 โดย jackTs
.
ข้อควรจำในเรื่องคดีแพ่ง

การเป็นหนี้เงินนั้น หากลูกหนี้ถูกฟ้องศาล ก็เป็นได้แค่เพียงคดีแพ่ง เท่านั้น

ไม่มีโทษทางอาญา
(ไม่มีโทษจำคุกหรือโทษปรับใดๆทั้งสิ้น)


ถ้าหากมีใครมาขู่ว่าจะนำตำรวจมาจับหรือจะต้องถูกจำคุก

ก็อย่าไปเชื่อ และอย่าไปกลัว

เพราะตำรวจไม่มีอำนาจจับกุมลูกหนี้ในเรื่องคดีแพ่ง

การข่มขู่ดังกล่าว เป็นเพียงคำพูดขู่เพื่อการทวงหนี้เท่านั้น


ฟันธง...




เป็นหนี้บัตรเครดิตติดคุกหรือไม่

.
อนณสุข ปรมาลาภา

ความไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

ผู้ดูแล: Badmankonsiam
เวลาที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บ: 1.111 วินาที
ขับเคลื่อนโดย ระบบฟอรัม Kunena