.
"นิยาม" ของคำว่า Hair cut
Hair cut ก็คือการจ่ายชำระมูลหนี้ ที่มีการค้างชำระกันไว้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ โดยมีข้อตกลงเจรจาเป็นการนำเสนอที่จะทำการลดมูลหนี้ที่คงค้างกันอยู่ ว่าจะมีการลดหนี้ให้เป็นจำนวนเท่าไหร่?
โดยคิดจากมูลหนี้ที่คงค้างทั้งหมด จากยอด ณ.ปัจจุบัน
ซึ่งก็คือยอดหนี้ของ ณ.วันนี้ นั่นเอง
วันที่เรากำลังเจรจาต่อรองเรื่องส่วนลดหนี้กันอยู่ ณ.ขณะนี้
- ไม่ใช่ยอดหนี้ของเงินต้นในอดีต
- ไม่ใช่ยอดหนี้ของวันที่เราเริ่มต้นหยุดจ่าย
- ไม่ใช่ยอดหนี้ที่แสดงอยู่ในเครดิตบูโร
ซึ่งส่วนมากทางเจ้าหนี้มักจะเป็นผู้เสนอว่า จากมูลหนี้ที่คงค้างอยู่ ณ.ปัจจุบันนี้ จะลดหนี้ให้เท่าไหร่? โดยการแจ้งเป็นตัวเลข ว่าจะลดให้กี่บาท หรือกี่เปอร์เซนต์ (ซึ่งส่วนมากจะเสนอตัวเลขเป็นบาท แต่ถ้าเราอยากรู้ว่าเป็นกี่เปอร์เซนต์ ก็สามารถเอามาคำนวนเองได้)
*** วิธีการ Hair cut เช่นนี้ ทางฝ่ายเจ้าหนี้จะยื่นข้อเสนอมาให้กับลูกหนี้เอง
หลังจากที่"หนี้เน่ามากๆ"แล้ว
***
ที่สำคัญคือ : ลูกหนี้ไม่ควรเป็นผู้เสนอข้อต่อรองส่วนลด หรือยื่นการเจรจา Hair cut ด้วยตนเองก่อน
เพราะถ้าหากลูกหนี้เป็นฝ่ายติดต่อเข้าไปก่อน ก็จะเท่ากับว่าลูกหนี้เป็น"ผู้ง้อ"หรือ"ผู้ขอร้อง"ต่อฝ่ายเจ้าหนี้
เจ้าหนี้ก็จะเล่นตัวได้ ในฐานะที่มันเป็น"ผู้ที่ถูกง้อ"
แต่ถ้าเจ้าหนี้มันเป็นฝ่ายติดต่อมาหาลูกหนี้เอง เพื่อให้ส่วนลดหนี้กับลูกหนี้ก่อน ก็แสดงว่าเจ้าหนี้มันเป็น
"ผู้ง้อ"เพื่ออยากได้เงินคืนจากลูกหนี้ ซึ่งจะทำให้ลูกหนี้ได้เปรียบในการเจรจาต่อรองราคาได้มากกว่า ในฐานะที่ลูกหนี้เป็น"ผู้ที่ถูกง้อ"เสียเอง
ยกตัวอย่างเช่น เรามีหนี้คงค้างอยู่ ณ.ปัจจุบันนี้ เป็นจำนวนเงิน 100,000.-บาท (หนึ่งแสนบาท) หลังจากที่หยุดจ่ายมานานมากๆแล้ว ทางเจ้าหนี้ก็เสนอมาว่า จะลดหนี้ให้เป็นจำนวน 40% ก็หมายความว่า ทางเจ้าหนี้พึงพอใจที่จะเรียกเอาเงินคืนเพียงแค่ 60,000.-บาท (60%) เท่านั้น...ส่วนอีก 40,000.-บาท (40%) นั้น...ทางเจ้าหนี้ลดหนี้ให้ ด้วยเหตุผลต่างๆดังนี้
- ขี้เกียจทวงแล้วโว้ย...ทวงเท่าไหร่ก็ไม่ยอมจ่ายสักที
- ทางเจ้าหนี้ แทงบัญชีหนี้ของเราเป็น NPL ไปแล้ว (เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้)
หรือตัดบัญชีหนี้ของเราเป็น“หนี้สูญ”ไปแล้ว
- เจ้าหนี้ไม่อยากตั้งทุนสำรอง“หนี้สูญ” ตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย.
เพราะเจ้าหนี้จะถูกบังคับให้ต้องตั้งเงินทุนสำรองเพื่อกันเอาไว้ 100,000.-บาท (เป็นการตั้งเงินทุนสำรอง“หนี้สูญ”ในอัตรา 100% ให้เท่ากันกับมูลหนี้ที่เป็น"หนี้เสีย"แล้ว)
ทางฝ่ายเจ้าหนี้จึงมีความคิดที่ว่า หากเอาเงินที่ตั้งสำรองหนี้สูญจำนวนนี้ ไปปล่อยเป็นเงินกู้ให้กับลูกหนี้รายใหม่คนอื่นๆ มันยังได้กำไรจากการขูดรีดอัตราดอกเบี้ยในราคาแพงๆกับลูกหนี้รายใหม่พวกนั้น ซึ่งดีกว่าการเอาเงินมาตั้งทุนสำรอง“หนี้สูญ”อยู่แบบนี้ โดยที่ไม่ได้ดอกเบี้ยใดๆจากการตั้งทุนสำรองหนี้สูญแบบนี้เลย (เงินที่ถูกบังคับให้ตั้งเป็นทุนสำรอง"หนี้สูญ"จำนวนนี้ เจ้าหนี้จะไม่ได้ดอกเบี้ยจากเงินจำนวนนี้เลย มันเป็นการเอาเงินของเจ้าหนี้มายึดเอาไว้เฉยๆเพิ่มอีก 100,000.-บาท ให้เทียบเท่ากันกับจำนวนหนี้ที่ลูกหนี้ไม่ยอมจ่าย เพื่อเป็นหลักประกันในการ"สำรองหนี้สญ"ของลูกหนี้ โดยเจ้าหนี้จะไม่ได้เงินจำนวนนี้กลับคืนไป จนกว่าเจ้าหนี้จะปิดบัญชี"หนี้เสีย"กับลูกหนี้ให้ได้เสียก่อน)
ดังนั้น หากเจ้าหนี้จะยอมขาดทุนโดยการลดหนี้ให้กับลูกหนี้ที่เป็น"หนี้เสีย"แล้ว เพื่อให้เกิดการปิดบัญชี"หนี้เสีย"ตัวดังกล่าว เจ้าหนี้ก็จะได้เงินของตัวเองที่ถูกบังคับให้เอาไปตั้งเป็นเงินทุนสำรองหนี้สูญ จำนวน 10,000.-บาทนี้กลับคืนมา แถมเจ้าหนี้ยังได้เงินสดกลับคืนมาจากลูกหนี้อีก 60,000.-บาท (ลดหนี้ให้กับลูกหนี้ 40%) เมื่อเอาเงินทั้งสองก้อนนี้มารวมกัน ก็จะเป็นจำนวนเงิน 160,000.-บาท...สู้เอาเงินจำนวน 160,000.-บาทนี้ ไปปล่อยกู้เป็นสินเชื่อหรือบัตรเครดิตในอัตราดอกเบี้ยราคาแพงๆ ให้กับลูกค้ารายใหม่คนอื่นๆยังจะดีกว่า...จริงไหม?
- ทางเจ้าหนี้ "กลัว" แพ้คดี ถ้าถึงขั้นต้องฟ้องร้องต่อศาล เพราะตัวเองก็มีการหมกเม็ด และการโกงอัตราดอกเบี้ยของลูกหนี้เอาไว้เพียบ...ดังนั้น ถ้าวันนี้ ได้เงินคืนกลับมาบ้างบางส่วน ก็ยังดีกว่าที่ได้คืนมาน้อย
หรืออาจไม่ได้คืนเลยในชั้นศาล หากตัวเองฟ้องลูกหนี้แล้วแพ้คดี (ตามสุภาษิตที่ว่า...กำขี้...ดีกว่ากำตด)
- ทางเจ้าหนี้กลัวว่าลูกหนี้จะเป็นอะไรไป...เนื่องจากการคิดสั้นของลูกหนี้ที่มีหนี้สินเยอะแยะอีรุงตุงนังเต็มไปหมด
เพราะถ้าหากลูกหนี้เป็นอะไรไป (หมายถึง ล้มหายตายจากไป) หนี้ดังกล่าว จะเป็นกลาย"หนี้สูญ"ในทันที โดยจะไปฟ้องร้องเอากับใครก็ไม่ได้ เนื่องจากมันเป็นหนี้สินส่วนบุคคล(หนี้ส่วนตัวที่ไม่มีผู้ค้ำประกัน) จึงไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ดังนั้น ถ้าเจ้าหนี้อยากจะฟ้องลูกหนี้ต่อ หลังจากที่ลูกหนี้เสียชีวิตไปแล้ว เจ้าหนี้ก็ต้องฆ่าตัวตายตามลูกหนี้ไป เพื่อไปฟ้องร้องต่อจากท่านยมบาลเอาเอง (แล้วใครมันยอมจะฆ่าตัวตายเพื่อตามไปทวงหนี้ต่อล่ะวะ)
- เนื่องจากเจ้าหนี้ไม่อยากตั้งทุนสำรองหนี้สูญเป็นเวลานานๆ ก็เลยขาย"หนี้เน่า"ของลูกหนี้ออกไป
ในราคาถูกๆ (เรียกได้ว่าขายหนี้กันในราคา ถูกโคตรๆ , ถูกฉิบหาย) โดยขายหนี้ให้กับสำนักงานทวงหนี้ต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมายในประเทศไทย โดยราคาในการ ซื้อ-ขาย หนี้ซึ่งกันและกัน จะอยู่ที่ประมาณ 25% ของราคาหนี้ที่ติดค้างกันอยู่ ณ ปัจจุบัน (ราคา 25%นี้ เป็นราคา ซื้อ-ขาย สำหรับหนี้ที่ยังไม่ขาดอายุความ)
สมมุติว่าเจ้าหนี้ขาย"หนี้เน่า"ของลูกหนี้ไปในราคา 25,000.-บาท จากราคาหนี้ ณ.ปัจจุบันที่ 100,000.-บาท เพื่อให้สำนักงานทวงหนี้ไปตามทวงหนี้ต่อกับลูกหนี้เอาเอง โดยสำนักงานทวงหนี้ที่ซื้อหนี้เน่ามาแล้ว ก็จะไปตั้งราคาส่วนลดหนี้ให้กับลูกหนี้ด้วยตัวเองเพื่อหวังผลกำไรอีกที
เช่น ถ้าสำนักงานทวงหนี้เสนอราคาส่วนลดหนี้ให้กับลูกหนี้ที่ราคา 60,000.-บาท ในการทำ Hair cut หลังจากที่ซื้อหนี้เน่ามาแล้วในราคา 25,000.-บาท ตัวสำนักงานทวงหนี้เองก็ยังได้กำไรจากส่วนต่างนี้ตั้ง 35,000.-บาท
ลูกหนี้ได้ส่วนลดหนี้ สำนักงานทวงหนี้ก็ได้กำไรจากการซื้อขายหนี้ ต่างฝ่ายต่างก็ได้ผลประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่
- เจ้าหนี้รีบลดราคาในการทำ Hair cut ให้...ด้วยราคาที่งามมากๆ เนื่องจากคดีขาดอายุความในการฟ้องร้องไปแล้ว ซึ่งถ้าหากหนี้ขาดอายุความไปแล้ว ราคาส่วนลดหนี้ที่ได้ จะมากเกินกว่า 50% ขี้นไป หรืออาจสูงถึง 70%
ด้วยเหตุผลต่างๆ ตามที่กล่าวมานี้ จึงเกิดกระบวนการที่เรียกกันว่า
Hair cut เกิดขึ้น
แต่กระบวนการ Hair cut นี้ มิได้เกิดขึ้นได้โดยง่าย
ต้องผ่านการบ่มระยะเวลามายาวนานพอสมควร โดยมีสูตรดังนี้
ต้องหยุดจ่ายซะก่อน ถึงจะเกิดกระบวนการ
Hair cut ขึ้นได้
ยิ่งหยุดจ่ายนานเท่าไหร่
หนี้ก็ยิ่งเน่ามากขึ้นเท่านั้น
หนี้ยิ่งเน่ามากเท่าไหร่
ก็ยิ่งได้ส่วนลดมากขึ้นเท่านั้น
สรุป
หนี้เน่ามาก ก็ลดมาก
หนี้เน่าน้อย ก็ลดน้อย
หลายๆคนชอบเข้ามาตั้งคำถามที่ว่า
หยุดจ่ายมาได้ 3 เดือนแล้วครับ...จะได้ส่วนลดแล้วหรือยังครับ และถ้าได้ลด จะได้ส่วนลดกี่เปอร์เซนต์ครับ
คำตอบที่ชัดเจนก็คือ
ยัง!...และไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย
เพราะการหยุดจ่ายเพียงแค่ 2-3 เดือน มันเป็นเพียงบันไดก้าวแรก ที่จะไปสู่กระบวนการ Hair cut อันแท้จริงต่อไป
การ Hair cut ที่แท้จริง มันต้องหยุดจ่ายนาน 8-10 เดือนขึ้นไปเป็นอย่างน้อย หรือบางทีอาจต้องรอเป็นปี หรือจนถึงขั้นได้รับหมายศาลแล้วนั่นแหละ
จึงมีคำถามต่อมาอีกว่า...
แล้วถ้าเช่นนั้น ต้องหยุดจ่ายนานเท่าไหร่? ถึงจะได้รับหมายศาลล่ะ?
คำตอบก็คือ
เฉลี่ยโดยทั่วไปแล้ว ประมาณ 1 ปีครับ
แต่บางราย...ก็นานเกินกว่า 1 ปีนะครับ
สำหรับส่วนลดที่ทางเจ้าหนี้เสนอมาให้ โดยทั่วๆไป ก็มีตั้งแต่ 30% , 40% , 50% , 60% , 70% ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการเจรจา , เทคนิคการต่อรอง , นโยบายส่วนลดหนี้ของสถาบันการเงินนั้นๆ และ ความ“เน่า
”ของหนี้ที่หยุดจ่าย
เพียงแต่อยากให้มองว่า เงื่อนไขที่ทางเจ้าหนี้เสนอมานั้น เราจ่ายไหวไหม? น่าสนใจและรับได้หรือเปล่า? อย่าไปมองเพียงแค่ต้องการให้ได้ส่วนลดเยอะๆเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ให้พิจารณาว่าถ้าเราจ่ายไปแล้ว เราจะได้ลดเจ้าหนี้ไปอีกหนึ่งราย(ได้ลดศัตรูในการทวงหนี้ไปแล้วอีกหนึ่งที่) ที่เหลือก็ค่อยๆมาปลดหนี้ทีละรายต่อไป ตามกำลังและความสามารถ (แต่ต้องจ่ายไหวจริงๆนะ ห้ามไปกู้หนี้ยืมสินที่ต้องเสียดอกเบี้ยจากที่อื่นมาปิด Hair cut อีก มิฉะนั้น มันจะไม่มีวันจบสิ้น)...ถ้าสามารถทำได้เช่นนี้ ก็จะสามารถปลดหนี้ได้โดยเร็ววัน
และทั้งนี้ทั้งนั้น...ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้รายไหนๆ เงื่อนไขของการ Hair cut ก็เหมือนๆกันหมดทั้งนั้น คือ
การเสนอส่วนลดให้ในราคาที่งามมาก แต่ต้องจ่ายชำระคืนเพียง“
งวดเดียว
”เท่านั้น…โดยไม่มีการผ่อน (จ่ายปิด“
ตูมเดียว”เพื่อปิดบัญชีหนี้เน่า)
แต่ก็มีบางคนถามต่ออีกว่า...แล้วถ้าอยากได้ส่วนลด Hair cut เนื่องจากหนี้ก้อนนี้มันเน่ามากพอสมควรแล้ว แต่เราไม่สามารถจ่ายแบบ“งวดเดียว”หรือ“ตูมเดียว”เพื่อปิดบัญชีได้...เราสามารถขอส่วนลดด้วย และก็ขอผ่อนต่อด้วย จะได้ไหม?
ผมจะขอตอบว่า...ไอ้ได้น่ะ มันได้อยู่หรอกนะครับ แต่ทางฝ่ายเจ้าหนี้มันจะไม่ยอมให้คุณสามารถผ่อนต่อ ในระยะเวลานานๆหรอกนะครับ (เต็มที่สูงสุด มันก็ยอมให้ผ่อนได้ในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือนเท่านั้น) และส่วนลดที่มันจะให้ ก็จะแตกต่างกันไปด้วย ขอยกตัวอย่างให้ดูตามนี้นะครับ
สมมุติว่าเมื่อปีที่แล้ว เรามีหนี้บัตรเครดิตอยู่กับธนาคาร A เป็นจำนวนเงิน
80,000.-บาท แล้วเราก็
หยุดจ่ายหนี้ตัวนี้มานานประมาณ 1 ปีแล้ว...โดย ณ.ปัจจุบัน(ณ.ตอนนี้)
หนี้เงินต้น+ดอกเบี้ย+ค่าทวงถามหนี้ ปาเข้าเป็นจำนวนเงิน
100,000.-บาทแล้ว โดยทางฝ่ายเจ้าหนี้ได้ติดต่อขอให้เราชำระหนี้ทั้งหมด เพื่อทำการปิดบัญชี โดยจะมีส่วนลดให้ด้วย ถ้าสามารถจ่ายแบบ“
งวดเดียว”(ตูมเดียว)ได้ ก็จะให้ส่วนลดครึ่งหนึ่ง(50%) จากราคาหนี้ ณ.ปัจจุบัน (ที่ 100,000.-บาท)
ถ้าเราตอบกลับไปว่า จ่าย“งวดเดียว”ไม่ไหว ขอผ่อนได้ไหม...ราคามันก็จะเป็นไปตามนี้ครับ
-ถ้าสามารถจ่าย“งวดเดียว”ได้...ก็จ่ายเพียง 50,000.-บาท เพื่อปิดบัญชี ส่วนลด 50%
-ถ้าขอผ่อน 2 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 27,500.-บาท (รวม 2 งวดก็เป็นเงิน 55,000.-บาท) ลด 45%
-ถ้าขอผ่อน 3 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 20,000.-บาท (รวม 3 งวดก็เป็นเงิน 60,000.-บาท) ลด 40%
-ถ้าขอผ่อน 4 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 16,250.-บาท (รวม 4 งวดก็เป็นเงิน 65,000.-บาท) ลด 35%
-ถ้าขอผ่อน 5 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 14,000.-บาท (รวม 5 งวดก็เป็นเงิน 70,000.-บาท) ลด 30%
-ถ้าขอผ่อน 6 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 12,250.-บาท (รวม 6 งวดก็เป็นเงิน 75,000.-บาท) ลด 25%
ก็แล้วแต่คุณไปพิจารณาเอาเองนะครับ ว่าอยากได้ส่วนลดในราคาแบบไหน
และสุดท้ายแล้ว สำหรับคำว่า Hair cut
Haircut สามารถทำได้จนถึงเมื่อไหร่?
คำตอบก็คือ Hair cut สามารถทำได้ตลอด
ทุกช่วงเวลาหลังจากที่"หนี้"ของเรา"เน่า"แล้ว
...ไม่ว่าจะเป็น
- ก่อนได้รับหมายฟ้อง (แต่ต้องหยุดจ่ายนานๆ หลายๆเดือนซะก่อนนะครับ)
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันที่ต้องไปขึ้นศาล
- ขึ้นศาลแล้ว แต่ยังอยู่ในระยะเวลาระหว่างการต่อสู้คดี โดยรอขึ้นศาลอีกครั้งในนัดหน้านัด หรือนัดต่อไป (ศาลยังไม่ได้พิพากษา)
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว และไปขึ้นศาลมาแล้ว โดยไปทำ"สัญญาไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความ"ที่ชั้นศาลมาแล้ว
- ถูกศาลพิพากษาแล้ว และอยู่ในระหว่าง รอการจ่ายชำระหนี้คืนตามคำพิพากษา
- ถูกศาลพิพากษาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้จ่ายชำระหนี้คืน จนกระทั่งถูกอายัดเงินเดือน หรือถูกอายัดทรัพย์สินอยู่ในขณะนี้
เห็นไหมล่ะครับ ว่า Hair cut สามารถทำได้ตลอดชีพจริงๆ
แต่การ Hair cut ที่ได้ราคางามที่สุด
(หรือที่เรียกว่า
"นาทีทอง" นั้น...มักจะอยู่ในช่วงของเวลาดังต่อไปนี้
- หยุดจ่ายนานเกิน 10 เดือนขึ้นไป
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันที่ต้องไปขึ้นศาลในนัดแรก
- ขึ้นศาลแล้ว แต่ยังอยู่ในระยะเวลาระหว่างการต่อสู้คดี อีกหลายนัด (ยังไม่ได้พิพากษา)
ถ้าพ้นกำหนดช่วงเวลาดังกล่าวนี้ไปแล้ว โปรโมชั่น
"นาทีทอง" อาจหมดไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำ Hair-cut ไม่ได้...เพียงแต่ว่า อาจไม่ได้ราคางามๆตามโปรโมชั่นของ
"นาทีทอง" ก็เท่านั้นเอง
และที่สำคัญ การทำ Hair cut จะต้องให้ทางเจ้าหนี้ออกเอกสาร
ยืนยันว่า จะลดหนี้ให้ตามเงื่อนไขที่เจรจาตกลงกันไว้ ด้วยทุกครั้ง
โดยเราต้องได้รับหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางเจ้าหนี้
ก่อนที่จะทำการจ่ายชำระ Hair cut ใดๆ
อย่าไปจ่ายหนี้ที่ตกลงกันด้วยวาจาผ่านทางโทรศัพท์โดยเด็ดขาด (สัญญาหรือข้อตกลงใดๆ ที่เป็นแค่วาจาหรือ“ลมปาก” ไม่สามารถใช้เป็นข้อยืนยันในทางกฏหมายได้)
ขอย้ำอีกครั้ง...ถ้าคุณยังไม่ได้รับหนังสือยืนยันการ
ลดหนี้ (หนังสือ Hair cut) เสียก่อน
ห้ามจ่ายโดยเด็ดขาด...!
ระวัง...ถูกหลอกให้จ่ายเงินเข้าไปเพื่อหักหนี้ในราคาเดิม(ไม่มีส่วนลด) โดยโกหกว่าจะยอมลดราคา Hair cut ให้ด้วยคำพูด หรือการรับปากกันทางโทรศัพท์ แต่แล้วก็ไม่ยอมทำ Hair cut ให้จริงๆ
มีลูกหนี้โดนหลอกมานับไม่ถ้วนแล้วนะครับ
...ขอเตือน...
สำหรับตัวอย่างหนังสือ Hair cut สามารถไปดูได้จากใน Link นี้
ตัวอย่างเอกสารใบ Haircut
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=8&id=829&Itemid=52