วันที่เหนื่อยใจกับ KTC

วันนี้ไปศาลไกล่เกลี่ยนัดแรกกับ KTC มาค่ะ นัด 9 โมง ไปมัน 8 โมงเลยไปคุยกับน้องเจ้าหน้าที่ในศาลเพื่อแสดงความคุ้นเคย ทนายเคียวมากมาย ยอดเงินของเอนะค่ะ
บัตรเดคิต ยอดหยุดอยู่ที่ 41,702.51 บาท ยอดฟ้องที่ 56,118.49 บาท
บัตรกดเงินยอดหยุดที่ 39,866.33 บาท ยอดฟ้องที่ 57,901.90 บาท
รวม ยอดหยุด 81,568.84 บาท รวม ยอดฟ้อง 114,020.39 บาท
ทนายไกล่เกลียบอกว่าให้จ่ายเงินต้นทั้งหมดคือที่ยอด 114,020.39 ดอกเบี้ยที่ 10% คิดจากยอดหยุด คือ 81,568.84 ผ่อนนาน 36 งวด ไม่ลดให้สักบาทแถมบอกว่าเราลดให้แล้วนะไม่คิด 10% จากเงินต้นแล้วเรายังลดดอกเบี้ย จาก 15% เป็น 10 % ให้อีกด้วย ไอ้.......เนียเหรอที่เค้าเรียกว่าลด...ตรงไหน พอบอกพี่น่าจะลดดอกเบี้ยจากเงินต้นทั้งหมดให้บ้างมันหนักไป พี่แกบอกไม่มีอำนาจจะตัดสินหน้าที่เค้าเพียงแต่ข้อเสนอนี้เท่านั้น เย็นไว้ๆมีไปศาลจำนวนไม่มากค่ะประมาณ 4-5 ราย ที่เห็นตอนนั้นทนายจะคุยที่ละคนค่ะแต่เอไปฟังกับเค้าด้วยทุกคนเพราะจะได้รู้ทันว่าเค้าจะมายังไง จากนั้นก็ช้วยกันถามขอต่อลองคำตอบเดียวกับหมดคือ " ไม่ได้ครับ ยังไงก็ไม่ได้ " เอเลยบอกงั้นเอขอความเห็นใจจากศาลท่านดีกว่า ทนายบอก ขอได้ครับแต่ก็คงลดได้ไม่เยอะ เอก็คิดในใจ (แล้วกูจะมาศาลทำไมฟะในเมื่อพวกคุณตัดสินใจให้แล้ว) เอเลยบอก ไม่เป็นไรค่ะจะขอความเห็นใจจากท่านดูเผื่อท่านจะช่วยเหลือคนตกงานได้บ้าง แล้วทนายก็ทำเสียงเข้มมากกก ครับงั้นของคุณคุยกับศาลท่านนะครับ แล้วเดินจากไปอย่างหัวเสียนิดหน่อย แล้วศาลท่านก็มาเรียกฟังคำให้การที่ละคน คนแรกบอกว่าเค้าคุยกับทาง KTC แล้วทางนั้นบอกว่าให้รับไปแล้วไปขอส่วนลดกับทางเจ้าหน้าที่ใหม่ว่าจะลดเท่าไหร่ส่งกี่งวด แล้วศาลท่านก็ให้ทางทนายถามเลยว่าจะให้จ่ายเท่าไหร่ตอนนั้นเลย ทนายรีบถามใหญเลยตอนแรกจะไม่ยอมให้เราโทรไปถามเอาเอง สรุปรายนั้นก็ไปขอส่วนลดกับทาง KTC เองแต่เค้ามีแผนว่าจะส่ง 12 งวด ศาลท่านบอก ขอเป็น 36 งวดไปก่อนดีกว่าเดี๋ยวจะลำบาก..ผ่านไปรายนี้เข้าไปเซ็นไกล่เกลี่ยยอมความ พอถึงตาเอ ก็บอกว่าจะขอให้ท่านเมตาพอดีเอตกงาน แต่ยอมจ่ายนะค่ะแต่ขอลดเงินฟ้องให้สักหน่อยเพราะผ่อน 2000-3000 ก็คงพอจะมีหาได้ แต่ถ้ามากกว่านั้นคงลำบากสำหรับคนไม่มีงานทำ ศาลท่านเลยถามแล้วเราเป็นหนี้จริงรึป่าว ก็บอกว่าจริงค่ะ แต่ยอมจ่ายนะค่ะแต่ขอลดลงมาหน่อยเพราะคงหาเงินมาจ่ายไม่ไหวในยอดนั้น ท่านหันไปถามทนายว่าพอจะลดได้ไหม เค้าบอกไม่ได้แล้ว แต่จะให้เราไปคุยกับทาง KTC ดูเอาเอง เพราะจะมีโครงการไกล่เกลี่ยของทางศาลจังหวัดธัญญบุรี ในวันที่ 26-27 กรกฏาคม นี้ โฮ้ววววแม่เจ้า แล้วคุณมึงพึ่งมาบอกคุณกูตอนนี้เนียนะปล่อยให้เครียดตั้งนาน แต่ทางศาลก็มีจดหมายแนบมากับหมายศาลแล้วนะค่ะว่ามีโครงการเราก็ถามทางทนายแล้วแต่เค้าก็ไม่ตอบ พึ่งจะมาบอกตอนท่านลง เกือบตกหลุมตอบรับไกล่เกลี่ยไปแล้ว ( ถ้ามีเงินนะ )
บทสรุปคือ เอกับลูกหนี้อีกหลายคนในตอนนั้นเข้าโครงการไกล่เกลี่ยให้มาใหม่ในวันที่ 26 นี้ จะมีเจ้าหน้าที่ของทาง KTC มาทำสัญญาประนอมหนี้และให้เราขอส่วนลดกับทางเจ้าหน้าที่นั้นเลย สรุปให้จบ เราได้เข้าโครงการแล้วแต่จะขอส่วนลดได้มากขนาดไหนจะมาบอกนะค่ะ
** แต่ติดปัญหาอยู่อย่างช่วยบอกที คือทางทนายมาคุยด้านนอกศาลว่าให้เราลองโทรไปติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่ประนอมหนี้ดูว่าจะลดได้เท่าไหร่แล้ววันนั้นก็ค่อยมาทำหนังสือเพราะท่าทางคนจะแยะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ท่านอารมร์เสีย รมไม่ดีเดี๋ยวจะพลานได้น้อย...คุณคิดว่าจะทำตามนั้นดีหรือรอไปคุยทีเดียวเลยดี

ยินดีด้วยนะคะที่ได้เลื่อนไปอีก 1 เดือน ไว้เอาหมายศาลไปปรีกษาคุณอาที่สวนลุมนะคะ เราก็พึ่งไปมาเมื่อวันที่ 23/6 ได้เลื่อน 1 ครั้ง เจอกันอีกทีวันที่ 16/8 ตอนบ่าย
papa จะเอาหมายศาลให้คุณอา ดูอีกทีที่สวนลุมค่ะ ไว้เจอกันนะคะ

ค่ะๆ ขอบคุณนะค่ะ ว่าแล้วเอเอาหมายศาลไปคุยกับคุณอาบ้างดีกว่าเผื่อจะมีแนวทาง ขอบคุณนะค่ะคุณ

ก็เหนื่อยใจกับสมาชิกใหม่เหมือนกันนะ รู้จักห้องนี้ไหมค่ะ
อ่านก่อน แล้วทบทวนว่าสิ่งที่คุณเล่ามานะ ทำถูกหรือผิด


ห้องรู้ทันกฎหมายหนี้
รวมกฎหมายหนี้ที่ทุกคนต้องทราบ


ตัวอย่างยกมาให้อ่าน ไม่อยากได้ยินว่า (แล้วกูจะมาศาลทำไมฟะ)

ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับหน้าที่ของศาล

การไปขึ้นศาล มีอยู่ 3 แนวทาง...ดังนี้


1. ไปศาลเพื่อไปต่อสู้คดี เพื่อให้รู้ผล แพ้-ชนะ คดี กันไปข้างหนึ่ง ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ซึ่งแนวทางนี้ จะต้องเขียน คำให้การในการต่อสู้คดี โดยใช้แบบฟอร์มของศาลที่มี“ตราครุฑ” ๑๑(ก.) สำหรับคดีแพ่ง หรือแบบฟอร์ม ผบ.๓ สำหรับคดีผู้บริโภค โดยเขียนคำให้การต่อสู้เป็นภาษากฏหมาย ซึ่งถ้าเขียนเองไม่เป็น ก็ต้องจ้างทนายช่วยเขียนให้

ขอย้ำว่า...การต่อสู้คดีบนชั้นศาล จะต้องยื่นคำให้การด้วยทุกครั้ง ไม่สามารถสู้คดีด้วยปากเปล่าได้

หากจำเลยไม่เขียนคำให้การไปยื่นต่อศาล...ศาลจะถือว่าจำเลยมีเจตนา“ไม่ต้อง การสู้คดี” ต่อให้จำเลยมีหลักฐานอันแน่นหนาว่า โจทก์โกง , โจทก์ผิดกฏหมาย , โจทก์ฉ้อฉล , คดีขาดอายุความไปแล้ว...ฯลฯ ศาลท่านก็จะไม่พิจารณาตามหลักฐานดังกล่าวเลย เพราะถือว่า จำเลยไม่ยอมปฎิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของศาล


2. ไปศาลเพื่อการไกล่เกลี่ย ประนีประนอมยอมความกับทนายโจทก์ เช่น ถูกหมายฟ้องให้ชดใช้หนี้เป็นจำนวนเงิน xx,xxx บาท แต่ฝ่ายจำเลยยังไม่มีเงินก้อนที่จะสามารถชำระหนี้ให้ได้ในตอนนี้ จึงขอไกล่เกลี่ยกับทนายโจทก์ว่า อยากจะขอผ่อนต่อนับจากนี้เป็นต้นไป ซึ่งเงื่อนไขที่จะสามารถตกลงกันได้บนชั้นศาลนี้ ทางฝ่ายโจทก์มักจะไม่ยอมให้ผ่อนต่อในระยะเวลายาวๆอีกต่อไป ส่วนมากก็จะบังคับให้ผ่อนให้หมดภายในระยะเวลา 1 ถึง 2 ปี (แต่บางรายอาจขอได้นานสูงสุดถึง 3 ปี) โดยในช่วงที่ผ่อนอยู่นี้ โจทก์อาจขอคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่ผ่อนนี้ด้วย ซึ่งก็ต้องมาพูดคุยตกลงกันอีกว่า จะยอมให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผ่อนที่เท่าไหร่? ก็จะมีตั้งแต่ 15% , 13% , 10%...หรือบางรายอาจขอได้ 0%(ไม่คิดดอกเบี้ยในระหว่างที่ผ่อน ก็มี) ทั้งนี้ก็แล้วแต่ฝีปากและเทคนิคในการเจรจาต่อรองของแต่ละราย

แต่...ตัวเลขยอดหนี้ที่จะตกลงผ่อนกันใหม่นี้ จะเป็นตัวเลขตามที่โจทก์ยื่นฟ้องมาในหมายศาลแบบ"เต็มๆ" โดยแทบจะไม่มีส่วนลดอะไรให้กับลูกหนี้เลย (เรียกได้ว่า เขียนฟ้องมาเท่าไหร่ ก็เอาตัวเลขอันนั้นแหละ มาทำสัญญาผ่อนกันใหม่)

เมื่อได้ข้อตกลงอันเป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็ทำการร่างสัญญาที่ตกลงกันเอาไว้ ลงในแบบฟอร์ม“สัญญาประนีประนอมยอมความ”(ตราครุฑ ๒๙) พร้อมกับเซ็นต์ลงนาม ชื่อโจทก์ , ชื่อจำเลย และชื่อของผู้พิพากษาอีก 2 ท่าน(ในฐานะเป็นพยาน)
วิธีการนี้ เหมาะสำหรับลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้“เพียงรายเดียว”เท่านั้น...หรือ เหลือเจ้าหนี้แค่รายนี้“เป็นรายสุดท้าย”
โดยที่ตัวของลูกหนี้ จะต้องมีความมั่นใจเป็นอย่างสูงว่า หากเซ็นต์ชื่อลงในสัญญาแล้ว จะต้องปฎิบัติให้ได้ตามข้อตกลงในสัญญา เพราะในสัญญาฉบับนี้ มีลายเซ็นต์ของผู้พิพากษาลงนามเป็นพยานถึง 2 ท่าน หากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายตามข้อตกลงได้ สัญญาทั้งหมดจะถือว่าเป็น“โมฆะ” และจะถูกย้อนให้กลับไปใช้ตัวเลขมูลหนี้ทั้งหมด ในอัตราสูงสุดของหมายฟ้องในครั้งแรกทันที

อีกทั้ง ทางฝ่ายโจทก์สามารถยื่นเรื่องผ่านไปที่“กรมบังคับคดี”ได้เลย โดยไม่ต้องฟ้องซ้ำอีกแล้ว และจำเลยก็ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ด้วย เพราะถือว่าจำเลยได้ทำการ“ตระบัดสัตย์”ต่อศาลไปแล้ว
ดังนั้น...ถ้าหากลูกหนี้ทำการประเมินตัวเองแล้ว คาดว่าในภายภาคหน้าอาจจ่ายชำระตามข้อตกลงในสัญญาไม่ไหว ก็อย่าไปตกลงทำสัญญาดีกว่าครับ หันมาใช้วิธีการตามในแนวทางที่ 1 หรือแนวทางที่ 3 จะดีกว่า


3. ไปศาลเพื่อร้องขอความเมตตากรุณาจากศาล โดยขอให้ท่านช่วยตัดลดมูลหนี้บางอย่างลงมาให้บ้าง...เช่น ดอกเบี้ย , ค่าล่าช้า , ค่าทวงถาม , ค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมศาล และค่าทนายโจทก์ด้วย ซึ่งจะได้ลดมากหรือลดน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับความเมตตาจากท่าน (ต้องไปวัดดวงเอาเอง) แต่สำหรับ หนี้เงินต้น นั้น ศาลท่านไม่สามารถช่วยปรับลดให้ได้ (ตามข้อกฏหมาย)...ฉะนั้นอย่าไปขอท่านในส่วนนี้เป็นอันขาด

สรุปก็คือ
ศาลแพ่งหรือศาลผู้บริโภค มีหน้าที่แค่พิจารณาหนี้ไปตาม คำร้อง/คำโต้แย้ง ของคู่ความเท่านั้น
โดยใช้ข้อกฏหมาย(มาตราต่างๆ)เป็นตัวพินิจพิเคราะห์
และเมื่อพิจารณาเสร็จแล้วก็จะออกเป็นคำสั่ง“พิพากษา”เพื่อบังคับให้ใช้หนี้ ระหว่างกัน โดยเสียดอกเบี้ยไม่เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด (อาจเป็นร้อยละ 7.5 , 10 , 12 , 15 ต่อปี...แล้วแต่ศาลเป็นผู้พิจารณา)
และเมื่อศาลพิพากษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็หมดสิ้นหน้าที่ของศาล เรื่องต่างๆต่อจากนี้ ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับศาลอีกต่อไปแล้ว จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการชดใช้หนี้ระหว่างโจทก์และจำเลย โดยอาจมีกรมบังคับคดีมามีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าหากมีการร้องขอให้ทำการอายัดใดๆของจำเลย...ตามที่โจทก์ไปยื่นคำร้องไว้ ที่กรมบังคับคดี

น่าจะลองโทรดูนะครับ ไม่เสียหายอะไร มีแต่ได้เผื่อเค้ายอมใจอ่อนลดให้เลย แต่ถ้าไม่ได้ก็มาวันนัดไกล่เกลี่ยก็ได้นี่ครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ สาวกเคทีซี มอนส์เตอร์เหมือนกัน

ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูล เอหวังในตอนนั้นนะค่ะว่าจะขอความเมตาจากศาลขอส่วนลดจากดอกเบี้ยที่หยุดไปนะค่ะ แต่ก็ยังโชคดีที่ได้ไกล่เกลี่ยยืดเวลาไปอีก แล้วเอจะโทรไปทาง KTC เลยดีหรือว่าจะรอวันที่มีโครงการไกล่เกลียแล้วไปคุยดีละค่ะ ขอบคุณมากนะค่ะ ว่าอ่านกระทู้เก่าแล้วเชียวแต่อ่านไม่หมดไม่จำทุกที ขอบคุณนะค่ะ

ขอลดเงินฟ้องให้สักหน่อยเพราะผ่อน 2000-3000 ก็คงพอจะมีหาได้

1 คุณเล่าว่า ขอลดเงินฟ้อง อ่านแล้ว ท่านทำได้หรือ?

2 ยอดฟ้อง 114,020.39 บาท ขอผ่อน 2-3พัน เคยคำนวนไหม ดอก 10% น้อยแล้วนะ
ดอกเบี้ย = 11400 /ปี คิดเป็น 950/เดือน จะเหลือเงินไปตัดต้นมากแค่ไหน คิดเอาเอง
เรื่อง ต่อรองเป็นเรื่องของคุณกับเจ้าหนี้เท่านั้น เจ้าหนี้ตัวจริงไม่ใช่ทนาย

3 การต่อรองต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ใช่แค่คุณคนเดียว

4 ข้อมูลมีมากมายเรื่อง KTC ใครได้แค่ไหน อ่านหน่อยได้ไหม

5 ถามว่าไปต่อรองลดเขา แล้วมีเงินพอปิดแล้วหรือ ถ้าจะขอทั้งลด และผ่อน
ก็นอนฝันหวานต่อไปแล้วกันนะ

6 เรื่องไกล่เกลี่ย เขามีทุกศาล ไม่มีอะไรแตกต่างจากที่คุณคุยกับเจ้าหนี้ 2 ต่อ 2
ยกเว้นมีเจ้าหน้าที่ศาลมานั่งฟังด้วย อาจช่วยมากถ้าเจอคนดี อาจแย่มากถ้าเจอ
คนรีบจบงาน

น้ำมนต์เข้ามาให้กำลังใจนะคะ ยังไงก็ขอให้ได้ส่วนลด ตามที่หวังนะคะ ขอให้ผ่านอุปสรรคไปด้วยดีค่ะ

ตัวน้ำมนต์เองก็มีตัวนี้เช่นกัน แต่ยอดมากกว่า ยังไงก็สู้ไปด้วยกัน ยังไม่ฟ้อง แต่คงเร็วๆนี้

เตรียมรับมือสู้เต็มที่ ด้วยข้อมูลที่สามารถหาได้จากที่นี่ เป็นแนวทางในการแก้ปัญหา

โชคดีค่ะ

ได้เดี๋ยวจะคำนวนดูพอดีอ่านเจอพี่คนนึงทำตารางการผ่อนชำระแบบ 36 งวดไว้เอทำตารางแล้วค่ะแต่ทำในอัตราดอกเบี้ย 7.5 แล้วทำสว่นลดไปอีกประมาณ 20,000 ไว้แล้วก่อนไปศาล เดี๋ยวคืนนี้จะเอาตัวเลขที่ทางทะนายส่งให้ไปทำดูว่าจะได้พอไหวเท่าไหร พอดีเออ่านบางคนไกล่เกลี่ยได้ส่วนลดดอกเบี้ย 7.5 เดี๋ยวไกล่เกลี่ยนัดหน้าจะลองขอดูว่าจะได้ 7.5 รึป่าว ขอบคุณค่ะ

ทำแล้วค่ะ....ถ้ายอดที่ 114,020 หากดอกเบี้ย 10% จะต้องจ่ายเท่าๆกันทุกเดือน เดือนละ 3,500 ยอดสุดท้ายจะจ่าย 8,990 บาท แต่ถ้า 7.5% จ่ายเดือนละ 3,500 ยอดสุดท้ายจ่าย 4,062 หุหุ ต้องวางแผนซะแล้ว ขอบคุณนะค่ะที่สั่งสอนมือใหม่ แฮคัตไปหมดแล้วเหลือ 2 ใบนี้ละค่ะ

สู้ๆครับ เข้ามาเก็บข้อมูลเป็นแนวทางด้วยคน ^ ^

ค่ะ เข้าไปอ่านหลายๆคนนะค่ะ เดี๋ยววันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ว่าจะไปหาคุณอาที่สวนลุมสักหน่อยค่ะ เผื่อเป็นแนวทางในการเจรจาขอส่วนลดกับทาง ธ. จะได้พูดเป็น ใครไปแล้วเจอกันนะค่ะ

นานา เขียน: ค่ะ เข้าไปอ่านหลายๆคนนะค่ะ เดี๋ยววันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ว่าจะไปหาคุณอาที่สวนลุมสักหน่อยค่ะ เผื่อเป็นแนวทางในการเจรจาขอส่วนลดกับทาง ธ. จะได้พูดเป็น ใครไปแล้วเจอกันนะค่ะ

ผมว่าคุณเปลี่ยน username "0xxxxxxxxx" ให้เป็นอย่างอื่นจะดีกว่านะครับ

นี่ละค่ะคือปัญหาแก้ไม่ได้อะไม่รู้แก้ตรงไหน หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ..ช่วยด้วยยย หรือลบกระทู้นี้ออกไปทีเดี๋ยวเขียนใหม่ก็ได้ค่ะ

Mail ไปที่ผู้ดูแลระบบนะคะ ขอเปลี่ยนชื่อ จะเอา แพนเค้ก ญาญ่า น้องอั้ม เลือกเอาเลยค่ะ
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

เรื่องหนี้เหลือสองตัวสุดท้าย สู้ๆนะคะ

ขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ค่ะ ดีใจจัง

ต่อสู้แล้วไปอย่างไรบ้างครับ

ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอาหมายศาลไปคุยกับคุณอาที่สวนลุมแล้วค่ะ คุณอาแนะนำว่าให้ไปคุยในวันไกล่เกลียอีกที่ว่าจะลดได้มากน้อยขนาดไหน เพราะของเอนอกจากตกงานแล้วดันไปมีสมบัติที่แม่ให้ก่อนท่านเสียชีวิตคือที่ดินใน กทม. นะค่ะ คุณอาท่านจึงเป็นหว่งตรงนี้มากกว่าเพราะยังไม่ได้โอนเป็นชื่อใครค่าโอนท่าทางจะหลายตัง และบัตรนี้ก็เป็นเจ้าสุดท้ายด้วยค่ะ เพราะเอมีประมาณ 8 ใบ h/c ไปหมดแล้วเหลือของ KTC นี้เท่านั้น จึงคงต้องตั้งหน้าส่งไปตามระเบียบ วันที่ 26 นี้จะมีงานไกล่เกลียของศาลธัญญบุรี เลยคงจะต้องไปคุยวันนั้นให้จบไปนะค่ะ ถ้าไม่จบก็เลื่อนนันต่อไปอีกหน่อย
ขอบคุณเวปนี้มากเลยค่ะ ที่ทำให้รู้ว่าหนทางเดินของเราที่จะแก้ปัญหาเป็นยังไง เพราะเอตกงานและหยุดจ่ายตั้งแต่ปลายปี 52 บางใบก็พลาดไปประนอมหนี้ บางอันก็ H/C บางอันมีเงินก็ไปปิดเลยเพราะยอดน้อยใจร้อนอยากจบ อีกไม่นานก็เป็นไทยแล้วค่ะ เหลือเจ้าเดียว สู้ๆ

เป็นกำลังใจให้ครับ มีเคทีซีเหมือนกัน เจ้านี้เขี้ยวลากดินเลย