สมาชิกใหม่ หาแนวทางแก้หนี้ 2ล้าน 3 แสนครับ

6 ปี 1 เดือน ที่ผ่านมา #100992 โดย Barcode910
ขอบคุณมากครับ ผมก็พึ่งได้หมายศาล TMB เลย โดนดอกเบี้ยไป 50000 กว่าบาท ว่าจะสู้คดีเหมือนกัน

แต่กลัวไม่มีเงินจ่าย หลังผลคำพิพากษาแล้วนะคัรบ ถ้าให้ผ่อนจ่ายได้ก็ดีเลยครับ

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

6 ปี 1 เดือน ที่ผ่านมา #101047 โดย เป็นไทย

Barcode910 เขียน: ขอบคุณมากครับ ผมก็พึ่งได้หมายศาล TMB เลย โดนดอกเบี้ยไป 50000 กว่าบาท ว่าจะสู้คดีเหมือนกัน

แต่กลัวไม่มีเงินจ่าย หลังผลคำพิพากษาแล้วนะคัรบ ถ้าให้ผ่อนจ่ายได้ก็ดีเลยครับ


เป็นกำลังใจให้กันนะครับ เก็บเงินไว้ให้มากที่สุด เอาชีวิตตัวเราเองให้รอด บางครั้งก็อาจจะท้อบ้าง แต่สุดท้ายจะมีทางออกในตัวมันเองเสมอนะครับ

แรก ๆ ผมก็หวั่น ๆ แต่จากวันเป็นอาิทิตย์ จากอาิทิตย์เป็นเดือน สุดท้าย 1 ปี ก็ผ่านไปได้ ขอให้อดทนนะ เดี๋ยวก็เป็นวันของเราเอง

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

6 ปี 1 เดือน ที่ผ่านมา #101103 โดย Barcode910

เป็นไทย เขียน: เป็นกำลังใจให้กันนะครับ เก็บเงินไว้ให้มากที่สุด เอาชีวิตตัวเราเองให้รอด บางครั้งก็อาจจะท้อบ้าง แต่สุดท้ายจะมีทางออกในตัวมันเองเสมอนะครับ

แรก ๆ ผมก็หวั่น ๆ แต่จากวันเป็นอาิทิตย์ จากอาิทิตย์เป็นเดือน สุดท้าย 1 ปี ก็ผ่านไปได้ ขอให้อดทนนะ เดี๋ยวก็เป็นวันของเราเอง


ขอบคุณมากครับ นั้นก็ทำยอมผ่อนจ่ายไปก่อน แล้วไปขอทำ H/C เมื่อเก็บเงินได้

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

6 ปี 1 เดือน ที่ผ่านมา #101129 โดย เป็นไทย
17 มีนาคม 2561

หมายศาลคดีที่ 2

7) สินเชื่อเบิกเงินสด สถาบันการเงิน Power

เจ้าหนี้รายนี้ เป็นเจ้าหนี้รายแรกสุด ที่ตั้งแต่เริ่มทำงานก็เป็นหนี้เจ้านี้เลย ด้วยเหตุผลที่ อยากได้ อยากมี สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ตั้งแต่เริ่มก้าวเดินไปบนถนนสายนี้ ก็เป็นลูกค้าชั้นดี มาโดยตลอด ทุกสิ้นปี มีเงินโบนัสออก ก็เอาไปปิดให้เรียบร้อย หลังจากปิด ไม่ถึง เดือน ก็ก่อหนี้ตัวใหม่ขึ้น เป็นแบบนี้เรื่อยไป จนกลายมาเป็นลูกค้าชั้นดี จนสามารถโทรศัพท์ ให้โอนเงินเข้าบัญชีได้เลย และแล้ววันที่เราเริ่มมาถึงทางตัน ก็ไปไม่รอด กลายเป็นลูกค้าที่มีความเสี่ยง และเมื่อเลยกำหนดชำระ ก็ขอพลัดไปจ่ายในเดือนต่อ ๆ ไป โดยยอมเสียค่าติดตามทวงถาม เดือนแล้วเดือนเล่า จนเป็นปี สุดท้ายก็ไม่รอด

แรก ๆ เจ้านี้ทวงบ่อยมากในทุกวัน สลับคนไปเรื่อย และก็เมื่อไม่ได้ ก็เป็นทุก อาทิตย์ จนถึง อาทิตย์เว้นอาทิตย์ พอทวงไปได้ครบ 3 เดือน เราก็ยังไม่มีเงินชำระจ่ายหยอด เพื่อรักษาบัญชี ตามที่เสนอ ผมก็เริ่มที่จะเปิดการเจรจา กับทางเจ้านี้ ในเดือนที่ 4 – 5 ซึ่ง ณ ตอนที่ทวงถามผมเป็นหนี้กับเจ้านี้อยู่ 8 หมื่นบาท และจะต้องจ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 3,300 บาท X 36 เดือน = 118,800 แต่ก็พยายามเจรจา ขอจ่ายปิดบัญชีที่ 5 หมื่นบาท แต่ทางเจ้าหนี้ ก็เสนอปิดที่ 7 หมื่นบาท ผมก็ยังไม่มีเงินที่จะพอปิดตามยอดนี้ได้ พอเข้าเดือนที่ 6 ก็เริ่มส่งบัญชี ออกด้านนอก โดยสำนักงานกฎหมายเป็นผู้ติดตามทวงถาม ผมก็ยังยืนยันยอดที่อยากจะปิดบัญชีที่ 5 หมื่นบาท ก็ยังไม่ได้ พอขึ้นเดือนที่ 7 บัญชีถูกส่งกลับมายังเจ้าหนี้ ก็เจรจาต่อ ผมก็ยังอยากปิดที่ยอด 5 หมื่นบาท แต่ทางเจ้าหนี้เสนอปิดที่ 6 หมื่นบาท ผมก็ยังไม่สามารถที่จะชำระได้ จริง ๆ ในใจก็อยากจะชำระหนี้นะครับ แต่ยังมีรายการที่เราขอปิดหนี้ไปแล้ว ทำให้ไม่มีเงินมาปิดรายการนี้ จนถึง เดือนที่ 8 ก็ส่งบัญชีผมไปให้สำนักงานกฎหมายอีกที่ ทวงถามอีก แต่ก็ยังปิดไม่ได้ เพราะผมยังต้องการปิดที่ยอด 5 หมื่นบาทอยู่ เท่าที่จะหามาให้ได้ สุดท้ายเข้าเดือนที่ 9 บัญชีผมก็ถูกส่งกลับมายังเจ้าหนี้นี้อีกที ซึ่งมาถึงตอนนี้ ผมได้ขอร้องทางเจ้าหนี้ให้ตัดลด ยอดหนี้ลงมาอีกหน่อย เพราะผมได้จ่ายดอกเบี้ยให้ไปเยอะแล้ว ซึ่งมาสิ้นสุดที่ยอดตกลง 5.6 หมื่นบาท ผมก็ตกลง โดยจะต้องทำการผ่อนจ่าย 6 งวด แต่เจ้ากรรม พนักงานที่รับเรื่องเรา กลับไปปรึกษากับหัวหน้า ทางหัวหน้าขอเพิ่มเป็น 5.75 หมื่นบาท ทำให้อารมณ์ ณ ตอนนั้น มันสุดแล้ว ก็เลยตอบกลับไปว่า ไม่รับ ( ซึ่งในใจจริง ๆ อยากปิดใจจะขาด แต่ ณ ตอนนั้น ผมมีเจ้าหนี้ธนาคาร CB ที่รอเจรจาอยู่ แต่ยังไม่ได้ตกลงกัน ทำให้พลาดการปิดหนี้ตัวนี้ไป )

หลังจากปิดการเจรจาไป ณ วันนั้น ผมก็ไม่ได้รับโอกาสในการเจรจาอีกเลย เป็นระยะเวลาเกือบ ๆ 1 เดือน หมายศาลก็ มาแขวนไว้ที่ประตูบ้าน พร้อม ๆ กับ หมายศาล ธนาคารแรก ที่ผมเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ณ วันนั้น ความรู้สึกว่า โลกมันหยุดหมุน มันเป็นอย่างไรก็วันนั้นแหละ ได้รับทีเดียว 2 หมายศาลเลย วันนัดไปศาล ก็เป็นเดือนเดียวกัน แต่ต่าง กันคืน วันถัดไปจากหมายศาลแรก แค่นั้นเอง จากยอดคำฟ้องของสถาบันนี้ ให้ผมชำระหนี้ เงินต้น พร้อมดอกเบี้ย เป็นจำนวนเงิน 1.2 แสนบาท อะไรมันจะมากมายขนาดนั้น เรามีหนี้เป็นหลักแสนอีกแล้ว จากหลักหมื่น กลายเป็นหลักแสน ( คิดในใจ ถ้าตอนนั้น ยอมที่เจ้าหนี้ขอเพิ่มอีก 1,500 บาท คงจบไปแล้ว ) คิดแล้วก็กลับไปไม่ได้อีกแล้ว หมายศาลที่ 2 ที่รับมาพร้อมกับหมายศาลแรก ใช้เวลาอ่าน ทำใจอยู่เป็นอาทิตย์ แล้วก็โทรปรึกษากับคุณอาไพโรจน์ พร้อมกัน ทั้ง 2 หมายศาล และทางคุณอาไพโรจน์ ก็กรุณา เขียนคำให้การเพื่อสู้คดีให้ทั้ง 2 คดีเลย เพื่อเป็นการประหยัดเงินค่าเดินทาง คุณอาไพโรจน์ ให้ส่งไปรษณีย์ ทั้งสองหมายศาล ไปให้คุณอาเลย หลังจากนั้น คุณอาไพโรจน์ ก็ส่งคำให้การ กลับมาให้ เพื่อไว้ยื่น ในวันนัด ไกล่เกลี่ยน ยื่นคำให้การ และสืบพยาน

วันไปศาล

วันไปศาล ครั้งนี้ไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ครับ เพราะเราพึ่งผ่านเข้าไปเมื่อวานนี้เอง จากคดีแรก ซึ่งในคดีที่ 2 ผมลางานครึ่งวันเพื่อไปศาล คดีน่าจะเยอะเอามาก ๆ เพราะในวันนี้ ศาลท่านนัด นอกเวลาราชการหลัง 4 โมงเย็น
- เดินเข้าประตูศาล ผ่านเครื่องสแกนโลหะ พี่ ๆ ที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย ก็ขอบัตรประชาชน เพื่อสแกนผู้เข้ามาในศาล เราก็ยื่นให้พี่เค้า Scan พี่เค้าถามขึ้นก่อนเลย วันนี้มาคดีตอนเย็นเหรอครับ ผมตอบว่าใช่ครับ
- ก่อนเดินจากพี่เค้าไป พี่เค้าก็แจ้งว่า คดีตอนเย็น ให้รอที่ห้องข้างล่างนะครับทนาย สักพัก เดี๋ยวจะมีจำเลย ทยอย กันเข้ามา ทนายสามารถตรวจสอบรายชื่อ ได้ที่บอร์ดด้านข้างนะครับ
- เราก็ได้แต่ตอบและยิ้ม ๆ ให้พี่แก ได้แต่ขอบคุณครับ แล้วก็ตีเนียน ๆ ตามคำพี่แกไปซะเลย นึกในใจ สงสัย จะต้องไปหาเพิ่มความรู้ เรียนกฎหมายแล้วมั้ง มาทั้ง 2 วัน โดนทักเป็นทนาย ทั้ง 2 วันเลย
- ถึงเวลานัด ยังไม่มีใครเข้ามาในห้อง พอผ่านไปสัก 10 นาที คนที่มีนัดก็ทยอยกันมา ดูวุ่นวายไปหมด ทั้งทนายความตัวแทนโจทย์ กับจำเลย พอผ่านเมื่อวานมา แล้วเจอวันนี้ จำเลย ลูกหนี้บางคนก็น่าสงสาร มาก มาโดยความตั้งใจอยากจะปลดหนี้ แต่ก็เดือดร้อนแทบทุกคน บางคนก็ตกงาน มาขอร้องทนายฝั่งโจทย์ ทางทนายก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ด้วยข้ออ้างว่า ธนาคารให้อำนาจมาแค่นี้ ( คิดในใจ ถ้าเราไม่เจอเองก็คงไม่รู้ และยังมีหนทางอีกมากมายที่หลายคนไม่รู้ ทำให้ไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหน แต่มาด้วยความรับผิดชอบ ที่คิดว่าตัวเองกู้มา จะต้องชดใช้ตามที่เจ้าหนี้เรียกร้อง )
- คดีของตัวเอง เมื่อเจอกับทางทนายฝั่งโจทย์ ผมเห็นเอกสารกองโต ที่เตรียมไว้สำหรับลูกหนี้ ที่นัดไว้วันนี้แล้วก็รู้สึกใจหาย ทำไม นัดไว้มากมายขนาดนี้ ทางทนายฝั่งโจทย์ ได้ยื่นข้อเสนอให้ผม ในการทำเอกสารประนีประนอมยอมความวันนี้ คือ ผ่อนชำระเดือนละ 3 พันบาท 36 งวด งวดสุดท้ายปิดจบยอดที่เหลือทั้งหมด พร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5% ต่อปี เมื่อผมลองคำนวณแล้ว ก็เท่ากับยอดฟ้องพอดี ผมก็เลยไม่รับข้อเสนอ แล้วก็ลองสอบถามว่า มีข้อเสนออื่นไหม ผมอยากได้ยอดชำระที่น้อยกว่านี้ ทางทนายโจทย์ ก็ได้แต่อ้างว่า ได้รับมอบอำนาจมาเพียงเท่านี้ ผมก็ได้แต่ทำใจ ก็เลยแจ้งทางทนายว่า ข้อเสนอผมคงจะไม่รับ วันนี้ขอยื่นคำให้การสู้คดีแล้วกัน ทางน้องทนายก็ไม่ว่าอะไร และก็แนะนำให้เรายื่นคำให้การในห้องนั้นเลย
- ผมนำเอกสารยื่นคำให้การ ยื่นให้ในห้อง ปรากฎว่า เจ้าหน้าที่ศาลในวันนั้น เหมือนไม่ค่อยรู้เท่าที่ควร ก็ถามใหญ่เลย ว่าเอกสารอะไร ยื่นมาเพื่ออะไร เราก็ได้แต่อธิบายว่า เอกสารผมยื่นคำให้การจะสู้คดีครับ พี่ช่วย Stamp รับเอกสาร ฉบับสำเนาให้ผมหน่อย ว่าผมยื่นแล้ว พี่แกก็ดัน กลับไปถามทนายฝั่งโจทย์อีกว่าทำยังไง ทางน้องทนายฝั่งโจทย์ ก็แนะนำอีกรอบ ถึงจะยอมรับเอกสาร เสร็จแล้ว ก็ถามเราต่อว่า สู้เรื่องอะไร ผมก็ตอบว่า สู้เรื่องดอกเบี้ย กับ สัญญาไม่เป็นธรรมครับ พี่แก ก็พยายามจะพูดว่า ดอกเบี้ยก็คิดถูกแล้ว ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่เกินร้อย 28% ต่อปีนี่ ผมก็ได้แต่ยิ้ม ๆ ไม่พูดอะไรต่อ
- เรื่องไปถึงมือ ท่านผู้พิพากษา เมื่อท่านได้รับเอกสารจากทางผม และมีการแจ้งว่าขอต่อสู้คดี ท่านผู้พิพากษา ก็เรียกผมกับทางทนายโจทย์ เข้าไปพูดคุย และก็ถาม ที่มาที่ไปว่า ทางทนายฝ่ายโจทย์ ได้รับมอบอำนาจมาขนาดไหน มีข้อเสนอแบบไหนมาบ้าง ทางทนายฝ่ายโจทย์ ก็ยืนยันข้อเสนอกับทางผมเหมือนเดิม
- ท่านผู้พิพากษา กลับมาถามทางผมบ้างว่า ข้อเสนอที่ให้มา ก็ฟังดูเข้าท่าดี ดอกเบี้ยก็ให้น้อย กว่าที่กฎหมายกำหนดนะ ทำไม ไม่รับข้อเสนอในวันนี้หละ ผมก็แจ้งท่านกลับไปว่า ผมเป็นลูกค้า กับสถาบันการเงินนี้มาค่อนข้างนาน จ่ายดอกเบี้ยไปก็ค่อนข้างเยอะ แต่ไม่ได้ให้ส่วนลด ผมมาเลย ฟ้องบวกดอกเบี้ยค่อนข้างสูง ก่อนหน้านี้ ตกลงกันไว้ว่าจะชำระหนี้กันไว้ 5.6 หมื่นบาท แต่ทาง สถาบันการเงินขอเพิ่มมาเป็น 5.75 หมื่นบาท ผมก็ไม่รับ จนสุดท้าย ยังไม่ได้แจ้งผมเลย ว่าจะมาฟ้องเป็นคดี ให้เดือนร้อนถึงท่าน
- ท่านผู้พิพากษา ก็พยักหน้ารับทราบ แล้วก็ถามกลับว่า ต่อไปจะทำยังไงหละ ในเมื่อเค้าฟ้องเรามาแล้ว ผมก็เลยบอกท่านไปว่า ผมจะยื่นเอกสารสู้คดีครับ ในระหว่างนั้น ผมจะกลับไปเจรจา กับทางเจ้าหนี้ อีกครั้ง ว่าจะสามารถตกลงกันได้มั้ย ทางท่านผู้พิพากษา ก็ตกลง แต่ก็เตือนว่า ถ้าเค้าไม่ตกลง หรือตกลงกันได้ ครั้งหน้าก็ต้องมาอีกครั้งนะ
- ท่านผู้พิพากษา ถามต่อว่า ในนัดหน้าจะขอเลื่อนไปเมื่อไหร่หละ ผมแจ้งกลับท่านว่า สักประมาณ 2 เดือนได้มั้ยครับท่าน ท่านผู้พิพากษา ก็ไม่เห็นด้วย ด้วยท่านให้เหตุผลว่า คดีแบบนี้ น่าจะจบลงได้เร็ว ไม่จำเป็นต้องเลื่อนไปถึง 2 เดือนหรอก นัดหน้าควรจะเหลือแค่ 1 เดือน ก็น่าจะพอแล้ว เดี๋ยวครั้งหน้า จะพิจารณา คำให้การพยาน และสืบพยานเลย เสร็จแล้วท่านก็ให้ไปตกลงกับทางทนายต่อ ว่าจะเอาเป็นวันที่เท่าไหร่
- ทำการดูตารางนัดตัวเอง กับ ตารางนัด ของทางทนายฝ่ายโจทย์ ปรากฎว่า ภายใน 1 เดือน ก็ว่างไม่ตรงกัน ก็เลยตกลงกันว่า ครั้งหน้านัดอีกที่ในเดือนที่ 2 แล้ว รีบไปแจ้งต่อท่านผู้พิพากษา ท่าน ก็ยังติงอยู่ว่าเลื่อนไปนาน แต่เมื่อเวลาไม่ตรงกัน ท่านก็เลยอนุญาติ
- หลังจากนั้น ก็เซ็นต์เอกสาร และขอเอกสารที่เราเซ็นต์ เพื่อย้ำเตือนตัวเอง ในนัดถัดไปว่า จะต้องมาศาลอีกทีเมื่อไหร่ และพูดคุยกับทางทนายฝ่ายโจทย์แลกเบอร์โทรกัน ก่อนกลับบ้านครับ

นัดไปศาลครั้งที่ 2 ให้การ และสืบพยาน โจทย์และจำเลย

หลังจากผ่านไป 2 เดือน ก็ถึงวันนัดที่เราจะต้องไปศาลอีกครั้ง ซึ่งครั้งที่ 2 นี้ก็นับว่าเป็นครั้งแรก ที่ไปศาลในนัดนี้นะครับ เพราะว่าคดีแรกในนัดที่ 2 ผมยังไม่ได้ไปเลย ก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน ว่าจะเป็นแบบไหน กับคำว่าให้การพยาน และสืบพยาน โจทย์และจำเลย
- เดินเข้าไปยังศาล เหมือนเดิม ผ่านเครื่องสแกนโลหะ และ ทำการสแกนบัตรประชาชน กับทางพี่รักษาความปลอดภัย
- วันนี้พี่รักษาความปลอดภัย ก็ถามเราเหมือนเดิม มาคดีอะไรครับทนาย ผมก็ตอบกลับว่า วันนี้ผมมาเป็นจำเลยครับ ไม่ได้มาเป็นโจทย์
- พี่ที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ถามเราว่า คดีหมายเลขอะไร ครับ ผมก็แจ้งพี่เค้าไป สักพัก พี่เค้าก็เปิดตารางนัดคดี และก็แจ้งเรา กลับว่าอยู่ที่ห้องพิจารณา ที่เท่าไหร่ ชั้นอะไร
- เมื่อพี่เค้าแจ้งแล้ว เราก็เดินไปดู ตารางที่ติดบอร์ดซ้ำอีกที ว่าตรงตามที่พี่เค้าแจ้งไหม เพื่อให้มั่นใจว่า เรามาถูกต้องตรงตามตารางนัด
- ขึ้นไปที่ห้องพิจารณาคดี ที่มีรายชื่อเราว่าอยู่ห้องที่เท่าไหร่ พร้อมกับไปดูรายชื่อ ที่บอร์ด หน้าห้องพิจารณา ว่ามีรายชื่อเราในตารางของวันนี้มั้ย วันนี้ผมมาเร็วกว่าเวลานัดประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งครับ เพราะค่อนข้างตื่นเต้น กลัวว่ามาไม่ทัน อีกอย่างก็ต้องมา เตรียมตัว ให้การกับทางท่านผู้พิพากษา ว่าถ้าท่านสอบถามเรื่องคำให้การพยาน จะต้องตอบอย่างไร และมีประเด็นใดบ้าง ที่เราติดใจ เหมือนเป็นการทบทวนก่อนเข้าห้องสอบ อารมณ์ประมาณนั้นเลยครับ
- เมื่อเข้าไปในห้องพิจารณา พบว่าเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ ได้นั่งทำงานอยู่ก่อนแล้ว ผมก็เลยยื่นคำให้การพยาน ให้กับเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ สแตมป์รับ ว่าเรายื่นแล้ว พร้อมกับนำเอกสารสำเนา กลับคืนมาด้วย
- สักพักทนาย ฝ่ายโจทย์ก็มา แล้วพูดคุยกับทนาย ว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง พอมีข้อเสนออะไร จากสถาบันการเงินมาไหม ทางทนายฝ่ายโจทย์ ก็แจ้งกลับมาว่า ไม่มีอะไรใหม่ จากที่เสนอครั้งที่แล้ว ส่วนทางผมก็แจ้งน้องทนายกลับไปว่า ทางผมก็ไม่ได้ รับการเจรจาอะไร เพราะทางเจ้าหนี้แจ้งว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานกฎหมายมาแล้ว จะไม่เจรจา
- ทางทนายฝ่ายโจทย์ ก็แนะนำว่า วันนี้อยากจะให้รับในส่วนของสัญญาประนีประนอมยอมความไปก่อน พอผ่อนไปสักพัก ให้เราไปขอส่วนลดกับทางเจ้าหนี้ ซึ่งโดยปกติ ทางทนายก็บอกเราว่า มีหลายคนก็สามารถขอส่วนลดได้เยอะ มีเงินตอนไหนก็ให้ขอส่วนลดปิดเลย
- ผมก็ตอบกลับไปว่า ไม่อยากจะทำสัญญาประนีประนอม อยากจะปิดหนี้เลย
- ทางทนายความก็เลย พูดคุยกับผมเรื่องประเด็นของ คำให้การ ซึ่งในวันนี้ทางทนาย ก็แนะนำว่า คำให้การ ให้แถลงร่วมกันว่า คำให้การตามเอกสาร พยานเลย ซึ่งผมก็ตอบตกลง และอีกอย่าง ผมก็หวั่น ๆ อยู่ว่า คำให้การโดยวาจา จะตรงกับที่ยื่นมั้ย ( แต่จริง ๆ แล้ว จากการสังเกตุ สำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์นะครับ เอกสารคำให้การพยาน โดยปกติ ศาลจะไม่อนุญาติ ให้เราอ่าน แต่ในทางปฎิบัติ บางสิ่งบางอย่างเราสามารถดูได้ เพื่อให้ได้ใจความ ข้อความที่สมบูรณ์ในเอกสารที่เป็นส่วนต่อสู้สำคัญ ๆ ) ณ ตอนนั้น ก็ยอมรับจริง ๆ ว่า ไม่ทราบมาก่อน พอทางทนายความโจทย์ เสนอมา ผมก็ตอบตกลง ซึ่ง ก็ไม่มีอะไรมาก คำให้การก็อยู่ในเอกสารหมดแล้ว
- เมื่อถึงเวลา ท่านผู้พิพากษา ออกนั่งบัลลังก์ ทุกคนยืนขึ้นทำความเคารพ ศาลท่านนั่งแล้วก็เชิญพวกเราทุกคนในห้องนั่งลง เสร็จแล้วท่านก็เรียกพิจารณาคดี แต่ละคดี พอมาถึงคดีของผม ท่านก็จำได้ ว่าวันแรกเป็นอย่างไร ท่านก็เลยสอบถามกับทางผมว่า เป็นงัยบ้าง กลับไปเจรจากับทางเจ้าหนี้แล้ว ผลเป็นอย่างไร
- ผมก็เรียนตอบท่านไปว่า ทางเจ้าหนี้ ไม่เจรจา เพราะได้มอบหมายให้สำนักงานกฎหมายมาดำเนินการต่อแล้ว
- ทางท่านผู้พิพากษา ก็เลยสอบถามกลับมาว่า แล้ววันนี้จะเอาอย่างไร จะรับข้อเสนอที่ทางฝั่งทนายโจทย์ให้ไว้หรือไม่ หรือว่าจะต่อสู้คดี
- ผมเลยตอบท่านไปว่า ข้อเสนอที่ให้มา ยังเป็นข้อเสนอเดิม อยากจะขอยื่นคำให้การพยานต่อสู้คดีครับ
- ท่านก็เลยให้ทางผม กับทางทนายโจทย์ สาบานตนต่อหน้าบัลลังก์ และทางผมกับทางทนายโจทย์ แถลงร่วมกันกับคำให้การพยาน ขอยืนยันกับคำให้การที่เป็นเอกสาร ท่านก็รับทราบ โดยพยานฝ่ายจำเลย คือตัวผมเอง และพยานฝ่ายโจทย์ คือทนายผู้รับมอบอำนาจ
- เมื่อท่านตรวจสอบเอกสาร และพิจารณา ท่านก็แนะนำว่า ในส่วนของคดี จะพิจารณาไปตามเอกสาร ซึ่ง ท่านคงไม่สามารถที่จะปรับลดยอดหนี้เงินต้นได้ แต่เท่าที่ดูในเรื่องดอกเบี้ย ท่านอาจจะปรับลดให้ได้ แต่คงไม่ได้เท่าที่ทางโจทย์เสนอทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
- ผมก็เลยแจ้งท่านว่า ให้เป็นไปตามที่ท่านผู้พิพากษา พิจารณาครับ
- ท่านผู้พิพากษา ก็แจ้งกลับมาว่า ในวันตัดสินคดี คงจะภายใน อาทิตย์หน้า เดี๋ยวท่านจะเร่งพิจารณา เพราะว่าไม่อยากให้คดีค้างไปนาน
- ก่อนที่ท่านจะนัดฟังคำตัดสิน ท่านให้ผมลองคิดทบทวนอีกครั้งว่า จะให้ท่านตัดสิน หรือ ว่าจะรับข้อเสนอของทางเจ้าหนี้ ซึ่งในระหว่างนี้ ท่านก็พิจารณาคดีอื่นไปก่อน เพื่อให้ทางผม คิดทบทวน
- ส่วนตัวผมยอมรับเลยว่า ในเวลานั้น ค่อนข้างสับสนไปหมด ซึ่งถ้าท่านนัดตัดสินในอาทิตย์ถัดไป ผมคงจะหาเงินมาจ่ายได้ไม่ทัน และก็ยังไม่มั่นใจว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร
- ในระหว่างที่ผมยังคิดอยู่ ท่านผู้พิพากษา ก็ถามถึงสถานการณ์ การเงิน ณ ตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งท่านก็พอเข้าใจว่า ทางผมลำบาก และไม่อยากให้มาเป็นหนี้อีก ซึ่งถ้าไม่ชำระหนี้ หรือไม่มีเงิน เมื่อคำตัดสินออกมา ยังไงก็คงต้องปฎิบัติตามนั้น เพราะว่าทางผมก็ยังคงมีรายได้อยู่ จะมากน้อยอย่างไร หลังจากนี้ ไม่แน่ใจว่าทางเจ้าหนี้ เค้าจะให้ผ่อนผันได้หรือเปล่า หรือจะให้ข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ เหมือนอย่างวันนี้มั้ย เพราะเท่าที่ท่านดูดอกเบี้ย ก็น่าจะได้ถูกมากจากที่ทางเจ้าหนี้เสนอให้ ณ วันนี้
- ผมเลยคิดอีกสักพัก ก็เลยแจ้งกลับท่านไปว่า ในวันนี้ผมขอรับข้อเสนอที่ทางฝั่งเจ้าหนี้ โจทย์ ได้เสนอมาครับ และขอถอนคำให้การพยานในวันนี้
- ท่านผู้พิพากษา ก็ยอมรับกับการ ร้องขอกับทางผม เลยให้ทางผม กับทางทนายฝ่ายเจ้าหนี้ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าท่าน แล้ว ท่านก็เซ็นต์ เอกสารในสัญญานั้น ในวันนั้นเลย
- สรุป เป็นอันว่า ในวันนั้น หลังจากเซ็นต์เอกสาร และ ขับรถกลับบ้าน ผมก็ยังมีคำถามค้างคาใจหลาย ๆ อย่าง และก็เป็นการจบคดี กับเจ้าหนี้รายนี้ โดยจะต้องผ่อนชำระ เดือนละ 3 พันบาท 36 งวด และงวดสุดท้าย ชำระส่วนที่เหลือทั้งหมด เท่ากับยอดที่ฟ้อง และบวกด้วยอัตราดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับจากวันฟ้อง

สรุปคดีที่สอง ของชีวิต แต่จบก่อนคดีแรก

1) ในคดีนี้ ผมน่าจะให้ท่านผู้พิพากษา พิจารณาคดี และตัดสินไปเลย เพราะจะได้รู้ไปเลยว่า ผลของคดีจะเป็นอย่างไร เมื่อนึกย้อนกลับขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ยังติดใจในคดีนี้อยู่ครับ
2) คดีนี้ถือว่าเป็นบทเรียน ที่ทำให้ผมสู้ต่อในคดีแรก จนถึงวันตัดสิน นับว่าเป็นบทเรียนที่ดี ในการต่อสู้บนเส้นทางนี้ อย่าง น้อย ๆ ก็เป็นประสบการณ์ที่จะทำให้ผมจำไม่รู้ลืม และเป็นหนี้รายแรกที่ผมถึงทางตัน ไม่มีเงินชำระ ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ใน เส้นทางสายนี้ แล้วทำให้หนี้ตัวอื่น ๆ หยุดชำระทั้งหมด เมื่อเข้ามาอยู่ในเส้นทางนี้
3) เมื่อผมพอมีเงินเหลือเก็บ ผมสามารถที่จะขอส่วนลดจากเจ้าหนี้รายนี้ได้ และจะไม่กลับไปเป็นหนี้อีกแล้ว แต่ตอนนี้ขอผ่อน ชำระจากสัญญาประนีประนอมยอมความก่อนนะ ( เรื่องขอส่วนลด ผมลองเจรจากับทางเจ้าหนี้ดูแล้ว ทางเจ้าหนี้แจ้งกลับว่า ถ้ามีเงิน ก็สามารถขอส่วนลดปิดจบได้)

( วันนี้ ขอจบคดีที่ สอง เพียงเท่านี้นะครับ เมื่อมีเวลา ผมจะเขียนมาเล่าเป็นประสบการณ์ในคดีสุดท้าย ในเรื่องบ้านที่ติดจำนอง จนถึงฟ้องร้อง และกลับมาชำระหนี้ต่อ เพื่อแชร์ประสบการณ์ ให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน เผื่อเป็นประโยชน์ ไม่มากก็น้อยครับ เพราะตั้งแต่ตัดสินใจเรื่องหนี้สิน ผมก็หยุดชำระหนี้ทุกรายการ และขายสินทรัพย์ ที่พอขายได้ เพื่อให้มีเงินสดในมือให้มากที่สุด ซึ่ง ณ ตอนนั้น ไม่มีอะไรที่จะเสียดาย คิดแต่เพียงว่า ถ้ายังมีงานทำ และชีวิตครอบครัวอยู๋รอด สิ่งที่เราเคยมีอยู่ เมื่อผ่านพ้นไปได้ เราก็สามารถที่จะสร้างใหม่ได้เหมือนกัน )

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา

ผู้ดูแล: MommyangelBadmankonsiam
เวลาที่ใช้ในการสร้างหน้าเว็บ: 0.484 วินาที
ขับเคลื่อนโดย ระบบฟอรัม Kunena