ข้อ ๑. ตามคำฟ้องข้อ 2.1 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2555 จำเลยทำสัญญาจะกู้ยืมเงิน (Your cash) กับโจทก์ เลขที่ 8577-0015-1630-6309 โดยโจทก์ตกลงให้จำเลยสามารถเบิกถอนเงินภายในวงเงินที่โจทก์อนุมัติโดยใช้บัตรกดเงินสดและใส่รหัสผ่านที่เครื่องเบิกถอนเงินสดอัตโนมัติ (ATM) ที่โจทก์กำหนด
อันเป็นการลงลายมือชื่อทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ฯ และมีผลบริบูรณ์เป็นสัญญากู้ยืมเงินนับแต่วันที่มีการเบิกถอนเงินกู้ จำเลยตกลงชำระดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายใดๆ รวมกันแล้วไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี กำหนดชำระทุกวันที่ 2 ของเดือน รายละเอียดปรากฎตามสัญญาจะกู้ยืมเงิน และสำเนาแบบขอเสียอากรเป็นตัวเงิน (อ.ส.4) ฯ เอกสารแนบท้ายฟ้องหมายเลข 9-10 โจทก์ได้ส่งใบแจ้งหนี้ (PAYMENT ADVICE) ให้จำเลยทราบทุกรอบเดือนที่ครบกำหนดชำระหนี้ โดยจำเลยได้ใช้บัตรกดเงินสดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2560 จำนวน 5,000 บาท และได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครั้งสุดท้าย 1 กันยายน 2560 จำนวน 2,019 บาท หลังจากนั้น จำเลยผิดนัดไม่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์แต่อย่างใด จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต่อโจทก์ โจทก์สรุปยอดบัญชี ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2561 ปรากฏว่า จำเลยมียอดหนี้ค้างชำระโจทก์จำนวน 82,347.39 บาท (เป็นต้นเงินจำนวน 70,260.88 บาท ดอกเบี้ยจำนวน 11,428.51 บาท ค่าติดตามทวงถาม (PENALTY) จำนวน 642 บาท ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงิน (H/D CHG) จำนวน 16 บาท รายละเอียดปรากฏตามเอกสารใบแจ้งหนี้ (PAYMENT ADVICE), ใบสรุปยอดบัญชีภาระหนี้คงค้าง (BALANCE INQUIRY), เอกสารแสดงการใช้บัตร (SALES INQUIRY) และเอกสารแสดงรายการชำระหนี้ (PAYMENT INQUIRY) ของจำเลย สำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 11-14 การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้นจำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำนวน 82,347.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 28 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 70,260.88 บาท นับถัดจากวันสรุปยอดบัญชีเป็นต้นไป จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 32 วัน คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน 1,724.76 บาท รวมเป็นยอดหนี้ที่จำเลยต้องชำระคืนโจทก์ทั้งสิ้น 84,072.15 บาท ทั้งนี้ โจทก์ไม่ได้คิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากเหตุผิดนัดแต่อย่างใด ตามคำฟ้องข้อ 3. จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ ดังนี้ 3.1 สัญญากู้ยืมเงิน ตามข้อ 2.1 จำนวน 84,072.15 บาท ซึ่งโจทก์ขอถือเป็นทุนทรัพย์ ในการฟ้องคดีนี้ นอกจากนี้ การผิดนัดของจำเลยทำให้โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีนี้อีกเป็นจำนวน 5,500 บาท รายละเอียดปรากฎเอกสารแสดงค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 17
ข้อ 2. จำเลยขอให้การว่า ตามสำเนาเอกสารใบแจ้งหนี้ (PAYMENT ADVICE) สินเชื่อยัวร์แคช เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 11 ปรากฏว่า
1) ตามใบแจ้งการชำระเงิน ยอดเงินถึงวันที่ 10 กันยายน 2560 แจ้งว่า
วงเงินสินเชื่อยัวร์แคช 71,000 บาท <YOUR CASH CREDIT LIMIT>
ยอดยกมาจากงวดก่อน สินเชื่อยัวร์แคช 65,260.88 บาท ค่าบริการอื่นๆ 0.00 บาท ยอดรวม 65,260.88 บาท
ค่าใช้จ่ายงวดนี้ สินเชื่อยัวร์แคช 5,000 บาท ค่าบริการอื่นๆ 1,688.85 บาท ยอดรวม 6,688.85 บาท ยอดค้างชำระ สินเชื่อยัวร์แคช 70,260.88 บาท ค่าบริการอื่นๆ 1,688.85 บาท ยอดรวม 71,949.73 บาท ยอดค้างชำระเกินวงเงิน 71,000 บาท
2) ตามใบแจ้งการชำระเงิน ยอดเงินถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2560 แจ้งว่า วงเงินสินเชื่อยัวร์แคช 71,000 บาท <YOUR CASH CREDIT LIMIT>
ยอดยกมาจากงวดก่อน สินเชื่อยัวร์แคช 70,260.88 บาท ค่าบริการอื่นๆ 1,688.85 บาท ยอดรวม 71,949.73 บาท
ค่าใช้จ่ายงวดนี้ สินเชื่อยัวร์แคช 0.00 บาท ค่าบริการอื่นๆ 1,723.96 บาท
ยอดค้างชำระ สินเชื่อยัวร์แคช 70,260.88 บาท ค่าบริการอื่นๆ 3,412.81 บาท ยอดรวม 73,673.69 บาท จำเลยผิดนัดเดือนที่ 1 โจทก์คิดค่า COLLECTION FEE จำนวน 107 บาท ยอดค้างชำระเกินวงเงิน 71,000 บาท จำเลยจึงไม่สามารถเบิกเงินกู้ได้อีก
3) ตามใบแจ้งการชำระเงิน ยอดเงินถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 แจ้งว่า
วงเงินสินเชื่อยัวร์แคช 66,000 บาท <YOUR CASH CREDIT LIMIT>
ยอดยกมาจากงวดก่อน สินเชื่อยัวร์แคช 70,260.88 บาท ค่าบริการอื่นๆ 3,412.81 บาท ยอดรวม 73,673.69 บาท ค่าใช้จ่ายงวดนี้ สินเชื่อยัวร์แคช 0.00 บาท ค่าบริการอื่นๆ 1,777.86 บาท ยอดค้างชำระ สินเชื่อยัวร์แคช 70,260.88 บาท ค่าบริการอื่นๆ 5,190.67 บาท ยอดรวม 75,451.55 บาท จำเลยผิดนัดเดือนที่ 2 โจทก์คิดค่า COLLECTION FEE จำนวน 107 บาท ยอดค้างชำระเกินวงเงิน 66,000 บาท จำเลยจึงไม่สามารถเบิกเงินกู้ได้อีก
4) ตามใบแจ้งการชำระเงิน ยอดเงินถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2559 แจ้งว่า
วงเงินสินเชื่อยัวร์แคช 0 บาท <YOUR CASH CREDIT LIMIT>
ยอดยกมาจากงวดก่อน สินเชื่อยัวร์แคช 70,260.88 บาท ค่าบริการอื่นๆ 5,190.67 บาท ยอดรวม 75,451.55 บาท
ค่าใช้จ่ายงวดนี้ สินเชื่อยัวร์แคช 0.00 บาท ค่าบริการอื่นๆ 1,723.96 บาท
ยอดค้างชำระ สินเชื่อยัวร์แคช 70,260.88 บาท ค่าบริการอื่นๆ 6,914.63 บาท ยอดรวม 77,175.51 บาท จำเลยผิดนัดเดือนที่ 3 โจทก์คิดค่า COLLECTION FEE จำนวน 107 บาท โจทก์ยกเลิกวงเงินสินเชื่อยัวร์แคช แล้ว
จำเลยขอให้การว่า ตามใบแจ้งการชำระเงิน ยอดเงินถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ยอดค้างชำระ สินเชื่อยัวร์แคช 70,260.88 บาท ค่าบริการอื่นๆ 3,412.81 บาท ยอดรวม 73,673.69 บาท จำเลยผิดนัดเดือนที่ 1 โจทก์คิดค่า COLLECTION FEE จำนวน 107 บาท ยอดค้างชำระเกินวงเงิน 71,000 บาท จำเลยจึงไม่สามารถเบิกเงินกู้ได้อีก พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า คู่สัญญามีเจตนาเลิกสัญญากันโดยปริยายแล้ว โดยถือว่าสัญญาที่มีต่อกันสิ้นสุดลงในวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงแล้ว โจทก์จะอาศัยข้อตกลงในสัญญาผูกพันจำเลยอีกไม่ได้ การคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 28 ต่อปี และเบี้ยปรับหลังเลิกสัญญา เท่ากับเป็นการคิดค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้
จำเลยขออนุญาตกราบเรียนศาลด้วยความเคารพว่า เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2555 จำเลยทำสัญญาจะกู้ยืมเงิน (YOUR CASH) ตามใบสมัครขอสินเชื่อ สำเนาเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 9 สถานะการทำงาน / อาชีพ / รายได้ ชื่อบริษัท ทีซีลิงค์ จำกัด เลขที่ 9 ชั้น 11 ชื่ออาคาร ยูเอ็มทาวเวอร์ ถนนรามคำแหง แขวง สวนหลวง กรุงเทพมหานคร ลักษณะงาน นำเข้า - ส่งออก จำนวนปีที่ทำ 1 ปี 2 เดือน ตำแหน่ง EXPORT ฐานเงินเดือน 7,500 บาท รายได้อื่นๆ 3,000 บาท แหล่งที่มาของรายได้อื่น โอที จำเลยมีรายได้น้อย ไม่พอใช้ จึงได้ขอกู้ยืมเงินจากโจทก์ โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 28 ต่อปี นับจากวันที่กู้ 11 ธันวาคม 2555 ถึงวันชำระครั้งสุดท้ายวันที่ 1 กันยายน 2560 เป็นเวลา 4 ปี 8 เดือน 12 วัน (หรือ 4.67 ปี) ดอกเบี้ยร้อยละ 28 ต่อปี เป็นค่าดอกเบี้ย 112% (28% คูณ 4.67 เท่ากับ 130.76%) เงินต้นยังอยู่ครบ 100% สาเหตุที่จำเลยไม่ได้จ่ายชำระหนี้ให้โจทก์ เนื่องจากมีรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย จึงมีสินเชื่อกับเจ้าหนี้หลายราย การทวงหนี้ของโจทก์จะให้จำเลยปิดจบก้อนเดียว จำเลยอยากจะชำระหนี้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 28 ต่อปี ต่อมาจนถึงวันฟ้องวันที่ 22 มิถุนายน 2561 หากคิดจากวันเริ่มกู้วันที่ 11 ธันวาคม 2555 เป็นเวลา 6 ปี 6 เดือน 11 วัน หรือ 6.50 ปี คิดเป็นดอกเบี้ย 182% (28% คูณ 6.50 เท่ากับ 182%) เงินต้นยังอยู่ครบ 100% จำเลยกราบขอศาลได้โปรดเมตตา เพื่อให้โอกาสจำเลยสามารถชำระหนี้ให้โจทก์ได้
ข้อ 3. ตามใบแจ้งการชำระเงิน ยอดเงินถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2559 แจ้งว่า
วงเงินสินเชื่อยัวร์แคช 0 บาท <YOUR CASH CREDIT LIMIT>
ยอดยกมาจากงวดก่อน สินเชื่อยัวร์แคช 70,260.88 บาท ค่าบริการอื่นๆ 5,190.67 บาท ยอดรวม 75,451.55 บาท
ค่าใช้จ่ายงวดนี้ สินเชื่อยัวร์แคช 0.00 บาท ค่าบริการอื่นๆ 1,723.96 บาท ยอดค้างชำระ สินเชื่อยัวร์แคช 70,260.88 บาท ค่าบริการอื่นๆ 6,914.63 บาท ยอดรวม 77,175.51 บาท จำเลยผิดนัดเดือนที่ 3 โจทก์คิดค่า COLLECTION FEE จำนวน 107 บาท และโจทก์ยกเลิกวงเงินสินเชื่อยัวร์แคชเหลือ 0 บาท แล้ว
ดังนั้น เมื่อโจทก์ยกเลิกวงเงินสินเชื่อยัวร์แคชเหลือ 0 บาท แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ฯ วรรค 4 การใช้สิทธิเลิกสัญญานั้นหากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่ โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายได้ ตามมาตรา 222 การเรียกเอาค่าเสียหายนั้น ได้แก่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น และตามมาตรา 224 หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ 7.50 ต่อปี เป็นการกำหนดค่าเสียหายกรณีหนี้เงิน กำหนดให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละ 7.50 ต่อปี
ข้อ 4. ตามข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับบุคคลธรรมดา ของธนาคารพาณิชย์ ประจำวันที่ 11 กรกฎาคม 2561 สำเนาเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารใหญ่ 5 ธนาคาร กำหนดให้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน แก่ผู้ฝากเงิน สูงสุดอัตราร้อยละ 1.50 ต่อปี จึงมีความจำเป็นที่ต้องนำอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ มาคำนวณเพื่อเปรียบเทียบ
ถ้าคิดดอกเบี้ยหลังสัญญาเลิกแล้ว อัตราร้อยละ 28 ต่อปี หักด้วยต้นทุนเงินฝากประจำ 12 เดือน อัตราสูงสุดร้อยละ 1.50 ต่อปี โจทก์มีกำไรขั้นต้นอัตราร้อยละ 26.50 ต่อปี (28 ลบ 1.50 เท่ากับ 26.50) เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนเงินฝากประจำร้อยละ 1.50 ต่อปี โจทก์มีกำไรขั้นต้นอัตราร้อยละ 1,766.67 ของต้นทุนเงินฝากประจำ (26.50 หาร 1.50 คูณ 100 เท่ากับ 1,766.67) เท่ากับเป็นการคิดค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วนอันสมควรไปเป็นอันมาก
ถ้าคิดดอกเบี้ยหลังสัญญาเลิกแล้ว อัตราร้อยละ 15 ต่อปี หักด้วยต้นทุนเงินฝากประจำ 12 เดือน อัตราสูงสุดร้อยละ 1.50 ต่อปี โจทก์มีกำไรขั้นต้นอัตราร้อยละ 13.50 ต่อปี (15 ลบ 1.50 เท่ากับ 13.50) เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนเงินฝากประจำร้อยละ 1.50 ต่อปี โจทก์มีกำไรขั้นต้นอัตราร้อยละ 900 ของต้นทุนเงินฝากประจำ (13.50 หาร 1.50 คูณ 100 เท่ากับ 900) เท่ากับเป็นการคิดค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วนอันสมควรไปเป็นอันมาก
ข้อ 5. ตามข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2561 สำเนาเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ มีจำนวนบัญชีทั้งสิ้น 12.935,699 บัญชี มียอดสินเชื่อคงค้าง 359,393 ล้านบาท ถ้าคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 28 ต่อปี เป็นเงินค่าดอกเบี้ยปีละ 100,630.04 ล้านบาท ถ้าระยะเวลาผ่านไป 5 ปี ดอกเบี้ยสะสมจะเป็นเงินมากถึง 503,150.20 ล้านบาท ถึงวันนั้น เศรษฐกิจประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร ประชาชนผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อ และหนี้ครัวเรือนของคนไทยจะสูงมาก เศรษฐกิจประเทศไทยถึงฝืดเคืองมาก เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เพราะทุนต่างชาติเอาดอกเบี้ยจากประชาชนผู้บริโภคไปเป็นจำนวนมาก
ข้อ 6. ตามคำฟ้องข้อ 3. นอกจากนี้ การผิดนัดของจำเลยทำให้โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีนี้อีกเป็นจำนวน 5,500 บาท รายละเอียดปรากฎเอกสารแสดงค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 17 ตามคำขอท้ายฟ้องคดีผู้บริโภค 2. ให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีจำนวน 5,500 บาท 3. ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความอย่างสูงแทนโจทก์ จำเลยกราบขอศาลได้โปรดเมตตา โจทก์ได้ดอกเบี้ยร้อยละ 28 ต่อปี ไปมากแล้ว คำขอท้ายคำฟ้องข้อ 2. ให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีจำนวน 5,500 บาท เป็นการซ้ำซ้อนกับคำขอท้ายคำฟ้อง ข้อ 3 ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความอย่างสูงแทนโจทก์ ในเรื่องนี้มีระเบียบปฏิบัติของศาลอยู่แล้ว ก็ขอให้เป็นไปตามระเบียบที่ศาลถือปฏิบัติ จำเลยมีความผิดคือยากจน เงินเดือนน้อย ผ่อนชำระเท่าไรหนี้ก็ไม่หมด ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน เอกสารแนบท้ายฟ้องหมายเลข 4 กำหนดว่า 5.3 หลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
5.3.1 คุณสมบัติของผู้ใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
ผู้ประกอบธุรกิจจะให้สินเชื่อส่วนบุคคลแก่บุคคลธรรมดาได้ เมื่อผู้ประกอบธุรกิจพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นผุ้มีฐานะทางการเงินเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ได้
ถ้าโจทก์ปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบธุรกิจจะให้สินเชื่อส่วนบุคคลแก่บุคคลธรรมดาได้ เมื่อผู้ประกอบธุรกิจพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นผุ้มีฐานะทางการเงินเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ได้ ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น เมื่อโจทก์ไม่ปฎิบัติ จึงเกิดปัญหามากมาย ดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกเก็บสูงมาก ก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหา โจทก์จึงควรรับภาระที่เกิดขึ้นเอง