สืบเนื่องจากที่คุณกอบัว แจ้งว่าข้อมูลบางส่วนเสียหายจากน้ำท่วม ผมลองกลับไปค้นดูข้อมูลปรากฎว่าผมยังมี save เก็บไว้ครับ เลยขอนำมาโพสอีกรอบ เผื่อมีประโยชนฺ์กับเพื่อนๆ นำไปปรับใช้ตามความเหมาะสมต่อไปนะครับ
ย้อนข้อมูลที่ผมเคยโพสเมื่อ ก.ค. 2554
(คืนนี้มีเวลา) เลยขออนุญาต เอา Idea ของคุณเก่ง (สหายเก่าแก่) มาใช้ประกอบการเขียนนะครับ---- > จากที่ผมตัดสินใจหยุดจ่ายหนี้(จริงๆ) ทุกรายก็ตอนกลาง-ปลายปี 2551 - ณ ปัจจุบัน (ก.ค. 2554) ก็ประมาณ 3 ปีกว่าๆแล้ว ผมเลยอยากเข้ามาแชร์ การแก้ปัญหาหนี้สินให้เพื่อนๆสมาชิกได้ทราบกัน เผื่อจะพอมีประโยชน์นะครับ
หนี้สินทั้งระบบของผมมีทั้งหมด 19 รายการ ยอดหนี้รวม 1.7 ล้านบาท โดยก่อนที่จะใช้ second way ผมได้กดเงินคงเหลือทุกบัตรออกมา และทำการจ่ายปิดไป 4 รายการ จึงเหลือ 15 รายการ ยอดหนี้เงินต้นที่หยุดจ่าย 1.52 ล้านบาท (รวมหนี้บ.หลักทรัพย์ UOB 270,000 บาท)
- ปิดหนี้สินไปแล้ว 12 รายการ
- อยู่ระหว่างผ่อนชำระ 3 รายการ (ศาลตัดสินแล้ว รวมหนี้บ.หลักทรัพย์ด้วย)
ปิดหนี้สินไปแล้ว 12 รายการ
1.บัตรเครดิตกรุงไทย วีซ่า
หยุดจ่าย 155,000 บาท ยอดหนี้ตอน HC (ต้นปี 2553) ประมาณ 200,000 บาท โดยได้รับหมายศาลแล้ว และปิดก่อนขึ้นศาล เจรจาปิดหนี้ที่ 100,000 บาท ปิดหนี้เรียบร้อยแล้ว
2.บัตรเครดิตกรุงศรีอยุธยา วิซ่า
หยุดจ่าย 90,000 บาท ยอดหนี้ตอน HC (ต้นปี 2552) ประมาณ 102,000บาท เจรจาปิดหนี้ที่ 51,000 บาท 3 งวด ปิดหนี้เรียบร้อยแล้ว
3.บัตรเครดิตเซ็นทรัล มาสเตอร์
หยุดจ่าย 90,000 บาท ยอดหนี้ตอน HC (กลางปี 2552) ประมาณ 105,000บาท โดยได้รับหมายศาลแล้ว และปิดก่อนขึ้นศาล เจรจาปิดหนี้ที่ 57,000 บาท ปิดหนี้เรียบร้อยแล้ว
4.บัตรเครดิตเทสโก้ วีซ่า
หยุดจ่าย 60,000 บาท ยอดหนี้ตอน HC (กลางปี 2552) ประมาณ 70,000บาท เจรจาปิดหนี้ที่ 35,000 บาท ปิดหนี้เรียบร้อยแล้ว
5.บัตรเครดิตHSBC วิซ่า
หยุดจ่าย 81,000 บาท ยอดหนี้ตอน HC (กลางปี 2552) ประมาณ 95,000บาท โดยได้รับหมายศาลแล้ว และปิดก่อนขึ้นศาล เจรจาปิดหนี้ที่ 60,000 บาท 2 งวด ปิดหนี้เรียบร้อยแล้ว
6.บัตรเครดิตHSBC มาสเตอร์
หยุดจ่าย 80,000 บาท ยอดหนี้ตอน HC (ต้นปี 2552) ประมาณ 93,000บาท เจรจาปิดหนี้ที่ 55,000 บาท 2 งวด ปิดหนี้เรียบร้อยแล้ว
7.เรดดี้ บัตรกดเงินสด
หยุดจ่าย 160,000 บาท แต่เนื่องจากยอดมาก ผมจึงทำฟอร์มปรับโครงสร้างเพื่อดึงเวลาผ่อน 1,000 บาท/เดือน (ลดค่าปรับดอกเบี้ยค้างทั้งหมด) ผมยอมผ่อนเพื่อดึงเวลาไป 12 เดือน แล้วค่อยหยุดอีกรอบอีก 1 ปี ยอดหนี้ตอน HC (กลางปี 2553) ประมาณ 170,000บาท เจรจาปิดหนี้ที่ 85,000 บาท ปิดหนี้เรียบร้อยแล้ว
8.บัตรเครดิตซิตี้แบงก์
หยุดจ่าย 25,000 บาท ยอดหนี้ตอน HC (กลางปี 2552) ประมาณ 30,000บาท เจรจาปิดหนี้ที่ 15,000 บาท 2 งวด ปิดหนี้เรียบร้อยแล้ว
9.สินเชื่อไทยธนาคาร
หยุดจ่าย 90,000 บาท ยอดหนี้ตอน HC (ต้นปี 2553) ประมาณ 100,000บาท เจรจาปิดหนี้ที่ 50,000 บาท ปิดหนี้เรียบร้อยแล้ว
10.บัตรเครดิต SBC วิซ่า
หยุดจ่าย 80,000 บาท ยอดหนี้ตอน HC (ปลายปี 2552) ประมาณ 92,000บาท เจรจาปิดหนี้ที่ 47,000 บาท ปิดหนี้เรียบร้อยแล้ว
11.บัตรกดงินสด SBC speedy cash
หยุดจ่าย 90,000 บาท ยอดหนี้ตอน HC (กลาง-ปลายปี 2552) ประมาณ 115,000บาท เจรจาปิดหนี้ที่ 63,000 บาท ปิดหนี้เรียบร้อยแล้ว
12.บัตรเครดิต Kbank วิซ่า
หยุดจ่าย 75,000 บาท ยอดหนี้ตอน HC (ต้นปี 2553) ประมาณ 85,000บาท เจรจาปิดหนี้ที่ 50,000 บาท ปิดหนี้เรียบร้อยแล้ว
อยู่ระหว่างผ่อนชำระ 3 รายการ
1และ 2 .บัตรเครดิตนครหลวงไทย วีซ่า และ บัตรกดเงินสด
ยอดหนี้ตอนหยุดจ่าย2 บัตรรวม 180,000 บาท เจ้าหนี้ฟ้องศาล(ต้นปี 2553) ยอดฟ้อง 207,000 บาท เนื่องจากธนาคารมันกวนทีน ผมเลยยื่นคำให้การเลื่อนไป ศาลตัดสิน (กลาง-ปลายปี 2553) ดอกเบี้ย 10% โดยจำเป็นทำยอม เหตุผลคือ ผมต้องการจ่าย 1-2 ปีแรกน้อยๆ เพราะดอกเบี้ยน้อย ตอนนี้ผ่อนมา 2,400 บาท จำนวน 10 เดือนแล้ว กำลังจะทำหนังสือขอปิดบัญชี ถ้ามันยอมลดก็จะปิด ถ้าไม่ลดก็จ่ายน้อยๆไปเรื่อยๆ ไม่รีบ
3.บ.หลักทรัพย์ UOB
ยอดหนี้ตอนโดนฟ้อง 270,000 ศาลตัดสิน (ต้นปี 2551) ไม่มีดอกเบี้ย ผมไม่ได้ทำยอม ช่วงแรกจึงหักคอจ่ายไปก่อนแล้วก็ทำหนังสือตาม ตอนนี้ผ่อนเดือนละ 2,000 บาท ผ่อนมา 4 ปีแล้ว โดยนานๆจะแกล้งหยุดจ่ายสักเดือนแล้วแต่อารมณ์
จ่ายไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีดอกเบี้ย
ก็หวังว่าเผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆสมาชิกครับ สรุปตอนนี้ถ้าเอาเงินที่ผมเก็บสะสมอยู่ในบัญชี ลบ หนี้ที่กำลังผ่อนอยู่ --- > ผมไม่มีหนี้แล้วครับ แต่ที่ผมยังไม่จ่ายเพราะความเขี้ยวของนครหลวงไทย ถ้ายังไม่ยอมเปลี่ยนนโยบาย เรื่อง HC ผมก็ไม่ยอมจ่ายเงินก้อนเต็มจำนวนเหมือนกัน ก็ผ่อนน้อยๆไปเรื่อยๆๆ ผมไม่เดือนร้อน (โทษฐานเขี้ยวแบบโง่ๆๆ จนต้องขายกิจการ)
ที่สำคัญที่ผมได้ประโยชน์กับจากการเป็นหนี้ครั้งนี้คือ
1. ผมมีวินัยในการใช้เงินมากขึ้นมากๆๆๆ ตอนนี้ผมสามารถออมจากรายได้ 80% เลย คือแกล้งยังทำตัวเหมือนเดิมว่าตัวเองเก็บเงินเพื่อใช้หนี้อะไรทำนองนั้น ฝึกจนเคยชินแล้วนั่นเอง
2. เข้าใจอะไรมากขึ้น รักพ่อแม่มากขึ้น รักตัวเองมากขึ้น แถมมีเงินเพื่อหาสิ่งดีๆตอบแทนพ่อแม่ เช่น อาหารเสริมสุขภาพ ยาบำรุงร่างกาย ดีกว่าไปเสียดอกเบี้ยมหาโหดเหมือนในอดีต
3. ที่สำคัญมีความสุขทางใจมากครับ เงินเดือนออกเหลือเต็มเม็ดเต็มหน่วย มองแล้วก็สุขใจ ทำให้มีกำลังใจทำงานต่อไปครับ
ถ้ามีเวลาอีก ผมจะเอารายละเอียดของแต่ละแบงค์มาวิเคราะห์ให้ฟัง ว่าแบงค์ไหนโทรทวงโหดมาก โหดน้อย แบงค์ไนใจดีที่สุด แบงค์ไหนคุยง่ายที่สุด แบงค์ไหนชอบฟ้องเร็ว แบงค์ไหนไม่จำเป็นก็ไม่อยากฟ้อง --- > เพราะผมจดไว้หมด
เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
...ใกล้เป็นไท....