3 ขั้นที่สาม
การไปศาลตามนัดสืบ ส่วนนัดไกล่เกลี่ย จะไปก็ได้ไม่ไปก็ได้ ในกรณีบางคนได้รับการนัดไปศาล 2 ครั้งค่ะ อยากให้อ่านลิงค์นี้ น้องเขาทำดีมาก เล่าถึงการบรรยากาศไปศาลที่ไม่น่ากลัว ตั้งแต่เดินเข้าประตูจนถึงออกค่ะ
www.debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=6&id=18108&Itemid=64
3.1 นัดแรก
เพื่อไปรับฟังข้อเสนอจากเจ้าหนี้ โดยทั่วไป ทนายโจทก์จะได้รับมอบหมายอำนาจจากเจ้าหนี้ให้เจรจาต่อรองได้ แต่บางคนก็ไม่มี ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนก็ตาม หากรับทราบข้อมูลแล้ว ไม่สามารถทำตามได้ อย่าด่วนใจร้อน ให้กลับมาตั้งหลักใหม่ คุณสามารถเลื่อนนัดศาลครั้งนี้ไปก่อน ด้วยเหตุผลว่า ขอเวลาทนายโจทก์และศาลในการเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้นอกรอบค่ะ การเลื่อนด้วยปากเปล่าอาจได้รับการเห็นชอบประมาณ 1 เดือน หรืออาจมากกว่านั้นแต่ไม่เกิน 2 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณงานที่ศาลค่ะ ทำให้คุณมีเวลารวบรวมเงินเพื่อไปต่อรองกับเจ้าหนี้ แต่ขึ้นอยู่กับฝ่ายโจทก์ยอมด้วยหรือไม่ค่ะ
3.2 ช่วงระหว่างรอการขึ้นศาลนัดที่ 2 คุณสามารถโทรสอบถามข้อเสนอจากสำนักงานที่ได้รับมอบหมายหรือเจ้าหนี้ตัวจริงได้ค่ะ และต่อรองยื่นข้อเสนอตัวเองได้เช่นกัน การเจรจาจะสำเร็จผลได้ ต้องเป็นที่พอใจทั้ง 2 ฝ่าย อยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ บางครั้ง การไม่มีอะไรเป็นของตัวเองทำให้คุณได้เปรียบในการต่อรอง (นี้คือที่มาของการปล่อยวางค่ะ ถ้าทำได้คุณจะไม่มีอะไรต้องเสีย) และบางทีเราต้องใช้จิตวิทยาในการเจราจา ทำให้เจ้าหนี้เข้าใจเจตนาของลูกหนี้ที่ดีว่า ไม่หนี แต่มีไม่พอ หรือ ไม่มีแต่อยากปิดใจจะขาดหากได้ตัวเลขที่ทำได้ จะนำมาถวาย 555 เทคนิคการเจรจา สำคัญที่เราต้องทำให้ตัวเองมั่นใจก่อน จึงสามารถโน้มน้าวเจ้าหนี้ได้ค่ะ อย่าผูกมัดตัวเองด้วยการรีบตกลงในสิ่งที่ทำไม่ได้ หรือเป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะหากคุณผิดนัดชำระตามสัญญา เจ้าหนี้อาจคุยต่อยากขึ้น งอแงและเขี้ยวมากขึ้น อีกทั้ง เจ้าหนี้สามารถเร่งกระบวนการทางกฎหมายเร็วขึ้น (การอายัดเงินเดือน/ทรัพย์สิน)
ในการนี้
ข้อตกลงดังกล่าว สามารถกระทำได้ 2 กรณี
1 ส่งเป็นหนังสือหนังสือยืนยันหลักฐาน ไม่ว่าจะทาง FAX หรือ ทาง Email ไม่จำเป็นต้องรอบุรุษไปรษณีย์ค่ะ ก่อนนัดที่ 2 ในกรณีนี้ หากการชำระปิดหนี้เกิดขึ้นหลังจากนัดที่ 2 คุณต้องไปตามนัดที่ 2 เพื่อขอเลื่อนนัดอีกครั้ง จนกว่าการชำระจะเสร็จสิ้น แล้วทางเจ้าหนี้จะเป็นผู้ดำเนินการถอนฟ้องค่ะ
หรือ
2 เมื่อถึงนัดที่ 2 ไปศาล เพื่อเซ็นในเอกสารชื่อ สัญญาประนีประนอมยอมความหน้าศาลซึ่งจะระบุรายละเอียดตามที่คุณได้ตกลงกับเจ้าหนี้ก่อนหน้านี้ และถือว่าการฟ้องคดีเป็นอันสิ้นสุด หากคุณผิดนัดชำระ เจ้าหนี้จะดำเนินการเรียกเก็บดอกเบี้ย 15% ตามกฎหมายกับยอดหนี้ที่เหลือค่ะ
สิ่งสำคัญที่สุด คือ ขอให้ตรวจสอบเอกสารให้ละเอียดว่า ตรงกับข้อตกลงที่คุยกันหรือไม่ หากมีข้อสงสัย สามารถแจ้งแก้ไขได้ค่ะ อย่าได้เกรงใจใคร
การทำสัญญาประนอมยอมความหน้าศาลนั้น ไม่แนะนำให้ทำหากเกินความสามารถของคุณ
คุณต้องประมาณการรายได้ตัวเองหลังหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็น และจำนวนเจ้าหนี้ที่เหลือให้รอบคอบ หากรับยอมความเกิน 30 % ของรายได้หลังหัก คุณอาจกลับไปสู่วังวนขั้นต่ำเหมือนเดิม
แก้วจ๋าใช้วิธียอมความหน้าศาลเกือบทุกเคส ยกเว้น Amex เพราะพิจารณาแล้วว่า ตัวเองรับไหว
และแก้วจ๋าได้ต่อรองจนถึงที่สุดแล้วด้วยค่ะ หากเจ้าหนี้ไม่ลดหนี้ให้ แก้วจ๋าขอผ่อนรายเดือนต่ำไว้ก่อน
แต่ต้องปลอดดอกเบี้ยเท่านั้น จึงจะคุ้มค่าค่ะ แล้วพอผ่อนมาระยะหนึ่ง จะได้ส่วนลดจากเจ้าหนี้ เพื่อปิดหนี้ที่เหลือค่ะ
ในความเห็นของแก้วจ๋า เมื่อใดที่เจ้าหนี้ได้คำพิพากษามาอยู่ในมือแล้ว ลูกหนี้จะเป็นรองในการต่อรองค่ะ เจ้าหนี้จะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมลด ไม่ยอมคุย ไม่มีนโยบาย เพราะเขาเล็งเห็นว่า เขาถือไพ่เหนือกว่า เขาสามารถส่งคำพิพากษาไปขออายัดเงินเดือน ในกรณีที่ลูกหนี้ได้รับเงินเดือนผ่านแบงค์ค่ะ แต่ข้อเสียสำหรับเจ้าหนี้ คือ เขาไม่ได้เงินทันที อีกทั้งคำพิพากษามักกำหนดให้จ่ายยอดเงิน (อาจตามคำฟ้อง) บวกกับดอกเบี้ยตามกฎหมายของเงินต้นนับตั้งแต่วันหยุดชำระ ในการนี้ ลูกหนี้ต้องจ่ายคืนในส่วนของดอกเบี้ยที่ค้างหมดก่อน เงินที่หัก 30% จึงมาหักเงินต้นทีหลัง ซึ่งแก้วจ๋าคิดเองว่า ไม่คุ้มเพราะแก้วจ๋าอยากลดหนี้ ไม่อยากได้หนี้เพิ่มค่ะ
3.3 เมื่อถึงกำหนดเวลานัดที่ 2 แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ ไม่ว่าจะพยายามไกล่เกลี่ยกันหลายรอบแล้วก็ตาม คุณอาจตัดสินใจใช้วิธีสู้คดี ด้วยการเขียนคำให้การ ในประเด็นเรื่องดอกเบี้ย แต่ขอให้นึกด้วยว่า หากสู้คดีในประเด็นนี้ คุณต้องทำใจว่า ผลที่ออกมาอาจไม่ชนะ ผู้พิพากษาบางศาลอาจเห็นพ้องกับคำให้การ เห็นด้วยกับตารางหนี้ที่ส่งให้ แต่ก็มีหลายท่าน ไม่เห็นด้วย ท่านอาจมองว่า การเป็นหนี้เกิดขึ้นจริงด้วยความสมัครใจ และเมื่อเป็นหนี้ต้องชดใช้หนี้ค่ะ
คุณสามารถ
ยื่นคำให้การเมื่อขึ้นนัด 2 ศาลอาจให้เวลาก่อนนัดสืบพยาน 2-3 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณงานของศาลแต่ละแห่งค่ะ
คุณอาจใช้ช่วงเวลานี้เจรจากับเจ้าหนี้ หากผลตอบรับดี คุณอาจปิดหนี้ได้ก่อนนัดสืบ ทางฝ่ายทนายโจทก์และจำเลยก็จะดำเนินการถอนฟ้องค่ะ
3.4 นัดสืบพยาน หลังจากสืบพยานจบสิ้น ยังมีช่วงเวลารอคำพิพากษาอีกประมาณ 1 เดือน คุณอาจใช้โอกาสนี้ ถ้ายังไม่เห็นแววตกลงกันได้
พิจาณาทางเลือกว่า
1 จะยอมให้เจ้าหนี้
อายัดเงินเดือน หรือทรัพย์สินไหม (ถ้ามี) การอายัดเงินเดือนสามารถอ่านได้จากลิงค์นี้ค่ะ
ข้อดีจากการถูกอายัด คือ ถือว่าเป็นการจัดระเบียบเจ้าหนี้หากมีมากกว่า 1 ราย และลูกหนี้ยังไม่มีความสามารถชำระหนี้ได้ไม่ว่างวดเดียวหรือผ่อนชำระ
2 ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาเป็นอีก 1 ทางเลือกค่ะ ถ้าฝ่ายโจทก์ชนะคดี และคำพิพากษานั้นออกมาทำให้คุณเสียเปรียบมาก การยื่นคำอุทธรณ์ต้องดำเนินการภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับคำพิพากษาค่ะ ในการยื่นอุทธรณ์นั้นมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ต้องพิจารณาให้ดีด้วยค่ะ แต่การยื่นอุทธรณ์จะทำให้คุณมีเวลาเก็บเงินอีกหลายเดือนค่ะ
3 หักคอจ่าย ซึ่งตัวแก้วจ๋าเองเคยหักคอจ่ายไปแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากเจ้าหนี้ต้องการมากกว่าจำนวนเงินที่จ่ายไปแต่ละเดือน 1 เท่าตัว วิธีนี้ ใช้ได้กับเจ้าหนี้บางรายเท่านั้นค่ะ และควรพิจารณาจำนวนเงินที่ต้องจ่ายให้เหมาะสมกับยอดหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมดอกเบี้ยค่ะ
แก้วจ๋า ขออภัยหากมีตกหล่น เก็บตกจากศาลไม่ครบ และหากมีผู้ใดมีข้อมูลดีกว่า ก็มาแชร์กันนะค่ะ หวังว่าสิ่งที่แก้วจ๋าเล่ามา คงช่วยสมาชิกให้คลายกังวลไประดับ 1 และมีกำลังใจดีขึ้นเมื่อได้รับหมายศาลค่ะ